October 2008 ซื้อหุ้นยามวิกฤติ - หุ้นดิ่งเหว -

กระทู้สนทนา
หุ้นดิ่งเหว
พอดีผมไปอ่านเจอ บทความนี้เหมาะกับตลาดตอนนี้มากครับ เขียนตอนเกิดsubprime น่ะ ตอนนั้นจำได้เลยว่า 3 วันหุ้นลงเป็นร้อยกว่าจุด ลงแรงไม่แพ้ตอนนี้เลยครับ ลองอ่านดูน่ะครับ มีประโยชน์ดี : Monday, 13 October 2008 ซื้อหุ้นยามวิกฤติ « วิกฤติหรือโอกาส

ตลาดหมีรอบนี้ดูเหมือนว่าจะรุนแรงและมาอย่างรวดเร็วแทบไม่ทันตั้งตัว    เหตุคงเป็นเพราะว่ามันมาจากต่างประเทศ   ณ. ขณะที่เขียนอยู่นี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาแล้วประมาณ 47%  นับจากต้นปี   มองย้อนหลังไปในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยกว่า 30 ปี    ไม่เคยมีปีไหนยกเว้นปี 2540 ที่หุ้นไทยจะตกลงมาหนักเท่าปีนี้ที่ผ่านมายังไม่ครบสิบเดือน    แต่สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ  ตลาดหมีที่รุนแรงมากนี้   เกิดขึ้นในยามที่ภาวะเศรษฐกิจและการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในภาวะที่ปกติ   นอกจากนั้น  ราคาของหุ้นก็ไม่ได้สูงกว่าพื้นฐานที่ควรเป็นเลย   ผลก็คือ  ดัชนีวัดความถูกแพงของหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ยลดต่ำลงจนกลายเป็น  “ตลาดหุ้นคุณค่า”  นั่นคือ  ค่า  PE  ของตลาดลดลงเหลือเพียงประมาณ  6.8 เท่า  PB  ประมาณ 1  เท่า   และค่าผลตอบแทนเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6.4%  ต่อปี   และทำให้ตลาดหุ้นตอนนี้มีราคา  “ถูกที่สุด” ในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่งและถูกพอ ๆ  กับช่วงปี 2540 ที่เราประสบวิกฤติครั้งใหญ่

ผมคงไม่ต้องพูดว่านี่เป็นช่วงเวลาของการขายหุ้นหรือซื้อหุ้น    แน่นอน  ภาวะเศรษฐกิจต่อจากนี้มีความไม่แน่นอนสูง   โลกอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย  ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนอาจจะชะลอตัวลง   ในสถานการณ์ที่เลวร้าย   อาจจะมีการล้มละลายของบริษัทขนาดใหญ่ตามมาอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐ  ยุโรป  และแม้กระทั่งญี่ปุ่น  แต่ในความคิดของผมแล้ว   โอกาสที่บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากในประเทศไทยจะล้มละลายหรือใกล้ล้มละลายอย่างที่เราเห็นในช่วงปี 2540 นั้นน่าจะมีน้อยมาก   เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว  บริษัทของไทยในขณะนี้มีหนี้น้อยลงไปมาก  หลายบริษัทมีเงินสดมากมาย   ดังนั้น  การซื้อหุ้นในยามนี้จึงน่าจะเป็นโอกาสทองที่เราจะได้ผลตอบแทนงดงามในระยะยาวอย่างน้อย 3-4  ปีข้างหน้า    อย่างไรก็ตาม   “หุ้นที่ว่าถูกแล้วก็ยังอาจจะมีหุ้นที่ถูกกว่า”  ด้วยเหตุนี้   นักลงทุนจำนวนมากจึงยังไม่กล้าที่จะซื้อหุ้น  พวกเขาอยากรอจนกว่าตลาดจะ  “นิ่ง”  คือ  หุ้นไม่ตกลงไปต่อแล้วจึงจะซื้อหุ้น

กลยุทธ์การรอคอยนั้น   ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย   เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะตกถึงพื้นแล้วจริง ๆ   กลยุทธ์ที่ทำได้ง่ายกว่าก็คือ  การซื้อเฉลี่ย   นั่นคือ  ทยอยซื้อไปเรื่อย ๆ  ตั้งแต่จุดที่เราเห็นว่ามันถูกมาก ๆ  อยู่แล้ว   กลยุทธ์แบบนี้เราจะต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าในช่วงแรกที่เราเข้าลงทุน  เราอาจจะต้อง  “ขาดทุน”  อยู่บ้าง  และอาจต้องขาดทุนเป็นระยะเวลาหนึ่ง  บางทีอาจจะเป็นปี   เหตุผลก็เพราะว่าในยามที่เกิดวิกฤตินั้น  ในบางครั้ง   หุ้นอาจจะเหงาหงอยไปนานพอสมควรประเภทที่เรียกว่า  “ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”  แต่เมื่อไรก็ตามที่เริ่มมีแสงเข้ามา  กำไรจะมากมหาศาล   สรุปก็คือ   การลงทุนซื้อหุ้นในยามวิกฤตินั้น   มันควรทำเหมือนกับว่า  เรากำลังซื้อธุรกิจที่ดีและมั่นคงเพื่อเก็บไว้เป็นสมบัติที่จะสามารถเก็บกินในอนาคตระยะยาวในราคาที่ต่ำมาก    ส่วนว่าซื้อแล้วราคากลับลดลงไปอีกนั้น  เราต้องคิดว่าเป็นเรื่องความโชคดีของคนอื่นที่ซื้อได้ถูกกว่าเรา   อย่าไปอิจฉาเขา   เราควรพอใจในสิ่งที่เราได้มาซึ่งคุ้มค่ามากอยู่แล้ว

ประเด็นสำคัญต่อมาก็คือ  เราต้องเลือกซื้อหุ้นที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนมากเมื่อสภาวะวิกฤติคลี่คลายลง   การซื้อหุ้นโดยไม่ดูพื้นฐานแต่ดูที่ราคาหุ้นที่ตกลงมาเป็นหลักนั้นไม่ปลอดภัย   เหตุก็เพราะ  กิจการหลายแห่งอาจจะประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ตามมาและทำให้มันมีปัญหาล้มละลายหรือผลการดำเนินงานด้อยลงไปมาก   แบบนี้   การที่ราคาหุ้นตกลงมามากก็อาจจะช่วยอะไรไม่ได้   การเลือกหุ้นที่จะซื้อนั้น   วิธีที่ปลอดภัยกว่าจึงน่าจะอยู่ที่การวิเคราะห์แล้วพบว่า   เมื่อเหตุการณ์วิกฤติผ่านพ้นไป   ผลการดำเนินงานของบริษัทจะต้องกลับมาที่เดิมหรือใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในอดีตหรือปัจจุบันที่จะทำให้หุ้นนั้นมีค่า PE  ต่ำมากและมีปันผลสูง   นอกจากนั้น  เราจะต้องมั่นใจด้วยว่า  บริษัทที่เราซื้อนั้น  แม้ว่าภาวะวิกฤติจะรุนแรงแค่ไหน   กิจการของบริษัทก็จะต้องยังอยู่   เพราะ   “มันตายไม่ได้”   เนื่องจากมันอาจจะเป็นรายเดียวหรือรายที่ใหญ่มากที่สังคมหรือประเทศต้องมี   หรือมันตายไม่ได้เนื่องจากถ้ามันตาย  รายอื่นจะต้องตายก่อนเพราะมันคือตัวที่แข็งแกร่งที่สุด

จากเหตุผลข้างต้น  ผมคิดว่า  เราน่าจะมีหุ้นอย่างน้อยกลุ่มหนึ่งที่น่าจะปลอดภัยพอสมควรที่เราจะซื้อลงทุนในยามวิกฤติ   นั่นก็คือ  หุ้นที่มีอำนาจทางการตลาดสูงโดยเฉพาะกิจการที่มีอำนาจผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดและมีผู้ขายหรือให้บริการน้อยรายและกิจการนั้นเป็นสิ่ง  “จำเป็น”  หรือเป็นอะไรที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะยังใช้อยู่พอสมควรแม้ในยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ    

ด้วยเงื่อนไขข้างต้น  ผมคิดว่า  หุ้นที่ไม่อยู่ในข่ายน่าจะรวมถึงหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายที่มักจะไม่มีอำนาจทางการตลาดเลย   ราคาสินค้าขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลกเป็นหลัก      หุ้นที่เป็นโรงงานผลิตสินค้าผมก็คิดว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าข่ายนักเนื่องจากสินค้ามักจะมีการแข่งขันกันสูงทั้งจากภายในและต่างประเทศ    หุ้นที่จะผ่านเกณฑ์ขั้นต้นนั้นผมคิดว่าน่าจะอยู่ในกลุ่มบริการเป็นหลัก   แต่จะเป็นกลุ่มไหนหรือตัวไหนนั้น  นักลงทุนคงต้องวิเคราะห์กันเอง   ประเด็นที่สำคัญสุดท้ายก็คือ   เมื่อได้หุ้นที่เข้าข่ายแล้ว   ราคาที่จะซื้อก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก    เราต้องการว่าราคานั้นจะต้องถูกมาก   เกณฑ์ง่าย ๆ  ก็คือ  ถ้าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้อง   เราจะต้องหวังว่าเราจะได้กำไรจากการลงทุนถือหุ้น 3- 4 ปีไม่น้อยกว่า 1-2 เท่าของราคาที่เราซื้อ  ถ้าราคาหุ้นยังลงมาไม่ถึงก็อาจจะต้องรอไปก่อน   เมื่อราคาตกลงมาถึงจุดแล้วเราก็อาจทยอยซื้อไปตามกลยุทธ์ซื้อเฉลี่ยที่กล่าวถึงแล้ว  

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงกลยุทธ์การลงทุนซื้อหุ้นในภาวะวิกฤติแบบหนึ่งที่เน้นความปลอดภัยพอสมควร    แน่นอนว่ายังมีกลยุทธ์การลงทุนแบบอื่น ๆ  อีกมากมายที่แต่ละคนจะคิดกันได้    คำแนะนำสุดท้ายของผมก็คือ  ในยามที่เกิดวิกฤตินั้น   “อย่ากลัว”  วิธีที่จะลดความกลัวก็คือ   มองที่ตัวธุรกิจหรือบริษัทที่เราจะลงทุน  ถ้าเราเห็นว่าเขาก็ยังทำงานกันเป็นปกติ   ความกลัวของเราจะลดลง   แล้วเราก็จะพบว่าราคาหุ้นที่ดิ่งลงมานั้น  ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว   แต่เป็นโอกาสที่สำคัญในชีวิต

Cr. from email Tisco
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่