มนต์เมฆา ตอนที่ 11,12

กระทู้สนทนา
สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกคนนะคะ  ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคนค่ะ

เพราะหายไปนาน คราวนี้เลยนำมาฝาก 2 ตอนทีเดียวเลย ^^


ตอนที่ 11




เชิงเขาอีกด้านหนึ่งของไร่ทะเลเมฆ  เมื่อพฤกษ์เดินพารวิวารขึ้นมาถึงจุดหมายแล้ว  หญิงสาวก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยกับภาพของเมฆสีแดงอมส้มตัดกับเส้นขอบฟ้าสีน้ำเงินของยามสนธยา  ซึ่งตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงเธอไม่เคยได้เห็นภาพธรรมชาติที่งดงามน่าตื่นตาตื่นใจเท่านี้มาก่อนเลย

“โห  สวยจังเลยค่ะ”

“เมฆสี   เป็นลักษณะของเมฆที่ไม่ใช่ว่าจะได้พบเห็นกันง่ายๆนะครับ   ต้องอยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลพอสมควร  และถ้าเป็นคืนเดือนมืดก็จะยิ่งเห็นได้ชัดขึ้น บางวันก็เป็นสีออกชมพู   ผมดีใจที่คุณชอบ”

พฤกษ์หันมามองหญิงสาว ที่กำลังมองภาพข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง ยิ่งเห็นประกายของความดีใจในดวงตาของเธอฉายชัด เขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้  

“ผมรู้ว่าคุณต้องอยากถ่ายรูปแน่ๆ  วันหลังผมจะพามาใหม่  จะช่วยถืออุปกรณ์กล้องขึ้นมาด้วย”

รวิวารหันมาสบตาเขาอย่างขอบคุณโดยไม่พูดอะไร  

“นั่งลงก่อนไหม  ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณหลายเรื่องเลย”

พฤกษ์เลือกที่จะนั่งขัดสมาธิบนพื้น  และรวิวารก็นั่งลงตามเขาบ้าง

“ดูเหมือนคุณจะมีความรู้เรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  แล้วก็พวกภูมิอากาศ ภูมิประเทศไม่น้อยเลยนะคะ  ฉันเคยได้ยินอ้อคุยกับพี่โอ๊ตว่าคุณเรียนจบทางภูมิศาสตร์มา”

“ครับ  ผมเติบโตมากับธรรมชาติก็เลยอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวให้มากที่สุด  แล้วก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ทำอยู่ได้ด้วย   แล้วคุณล่ะ ผมเดาว่าคุณน่าจะเรียนทางนิเทศฯหรือไม่ก็วารสารฯ”

หญิงสาวส่ายหน้ายิ้มๆ

“ไม่ใช่ค่ะ  แต่ก็ใกล้เคียง ฉันเรียนจบศิลปกรรมศาสตร์ สาขานิเทศศิลป์”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้

“น่าสนใจดี  ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ และจบมาก็ยังได้ทำงานที่ตัวเองถนัดด้วย ก็คือการถ่ายภาพ คราวนี้ผมพูดถูกรึเปล่า”

“ก็ถูก แต่ไม่หมดค่ะ  ฉันยังไม่ได้เป็นช่างภาพอิสระเต็มตัวอย่างที่อยากเป็นหรอกค่ะ  ก่อนหน้านี้ฉันก็ทำงานประจำในตำแหน่งเจ้าหน้าที่กราฟิคดีไซน์ในบริษัทโฆษณา  จริงๆคือ  เพิ่งจะมารุ่งเอากับงานช่างภาพช่วงปีนี้เองหลังจากพยายามมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ  เพราะสำหรับผู้หญิง การจะได้รับการยอมรับเทียบเท่ากับผู้ชายในสายงานนี้ค่อนข้างยากพอสมควร ต้องมีฝีมือเป็นที่ยอมรับในวงกว้างจริงๆ”

“ทำไมคุณถึงชอบถ่ายรูป  พอจะเล่าให้ผมฟังได้รึเปล่า”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนรวิวารคงจะย้อนกลับไปแล้ว ว่า เขาจะอยากรู้ไปทำไม  ทว่า ในเวลานี้ จะเป็นเพราะว่าบรรยากาศรอบตัวที่ชวนให้รู้สึกปลอดโปร่ง และสบายใจที่สุดในรอบหลายๆวันหรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอกลับรู้สึกอยากบอกเล่าเรื่องที่เขาอยากรู้ให้เขาได้รับฟังอย่างเต็มใจที่สุด

“อาจเป็นเพราะฉันใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่จำความได้มั้งคะ  คุณพ่อของฉันเป็นอาจารย์สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในมหาวิทยาลัย  ที่บ้านมีอุปกรณ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพครบทุกอย่าง  มีแม้กระทั่งห้องล้างฟิล์ม พูดง่ายๆว่าอยากเรียนรู้อะไร อยากใช้อุปกรณ์ชิ้นไหนก็มีให้ศึกษาให้เรียนรู้ จนเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยล่ะค่ะ”

“แล้ว แม่ของคุณล่ะ”

พอเห็นหญิงสาวนิ่งและมองไปทางอื่น  พฤกษ์ก็เริ่มใจคอไม่ดี

“บางที ผมอาจจะถามเรื่องส่วนตัวคุณมากเกินไป  เราเดินลงไปข้างล่างกันเถอะครับ เริ่มมืดมากแล้ว เดี๋ยวน้ำค้างลงจะทำให้ไม่สบายเอาได้”

“ฉันไม่ได้คิดว่าคุณถามมากไปหรอกค่ะ  ไม่ต้องคิดมากนะคะ”

รวิวารบอกพลางลุกขึ้นเดินตามร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเพื่อลงไปด้านล่างด้วยกัน

“ที่ฉันไม่ค่อยพูดถึงแม่ ก็คงเป็นเพราะ แม่แยกทางกับคุณพ่อตั้งแต่ฉันยังเล็กอยู่มาก  เลยจำอะไรเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลย  คุณพ่อเองก็ไม่มีแม้กระทั่งรูปถ่ายสักใบ  แต่ไม่รู้สิ เพื่อนๆบางคนที่ฟังฉันเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง  เขาบอกว่า เป็นไปไม่ได้หรอกที่อาจารย์สอนถ่ายภาพจะไม่มีรูปภรรยาตัวเองเลย”

“แล้วคุณโกรธแม่คุณไหม  ที่ไม่เคยกลับไปหาหรือส่งข่าวถึงคุณบ้างเลย”

พฤกษ์ถามเมื่อหญิงสาวพูดจบประโยค

“คงเป็นความโชคดีของฉันที่คุณพ่อไม่เคยพูดหรือสอนให้โกรธเกลียดแม่เลย  มีแต่บอกให้เข้าใจ ทุกคนมีเหตุผลและความจำเป็นของตัวเอง  และที่สำคัญฉันอยู่กับคุณพ่อสองคนก็มีความสุขดี ไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไร”

“ฟังจากที่คุณเล่า  คุณพ่อคุณดูจะเป็นแฟมิลี่แมนและเลี้ยงดูคุณมาอย่างดีมากๆ  งั้น ถ้าสมมติว่า วันหนึ่งคุณได้เจอแม่แท้ๆของคุณอีกครั้ง  คุณจะดีใจรึเปล่า”

อีกครั้งที่รวิวารหยุดชะงักและหันมาขมวดคิ้วมองคนถาม  หากเธอยังไม่ทันตอบหรือพูดอะไร เสียงเรียกของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก

“พี่พฤกษ์  มาอยู่นี่เอง  ว่านตามหาตั้งนาน  เห็นแม่บอกว่าพี่พฤกษ์จะมาทานมื้อค่ำด้วย แต่ว่านไม่เห็นมาสักที รอนานแล้วก็เลยเดินตามหา  เอ๊ะ  พี่ป่านก็อยู่ด้วยเหรอคะ”

ประโยคสุดท้าย รวิวารหันไปพูดกังรวิวารด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“พี่เป็นคนชวนคุณป่านขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดินมา แล้วก็ตั้งใจว่าจะชวนไปทานข้าวด้วยกันด้วย  ไปด้วยกันนะครับคุณป่าน “

“ไปทานข้าวด้วยกันนะคะ  ว่านเตรียมกับข้าวไว้เยอะแยะเลยค่ะ “

วรินทร์ธารเอ่ยป่ากชวนอีกคน  รวิวารดูมีท่าทีลังเลเล็กน้อย  เพราะตั้งใจว่าจะรีบไปสะสางงานที่ค้างไว้ต่อจากเมื่อคืนนี้  แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามสองหนุ่มสาวไปยังสวนหน้าบ้านของวรินทร์ธาร  ที่มีการจัดเตรียมอาหารรออยู่ และพยาบาลพิเศษของอิงอรก็เข็นรถพาหญิงวัยกลางคนออกมาร่วมโต๊ะด้วย

“แม่คะ วันนี้พี่ป่าน เพื่อนของพี่พฤกษ์จะมาทานข้าวกับเราด้วยนะคะ”

วรินทร์ธารเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างมารดาและบอก  ในขณะที่อิงอรก็เงยหน้ามองรวิวารด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความดีใจจนน้ำตาคลอ  ซึ่งก็คงมีแต่ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในที่นี้ที่สังเกตเห็น

“คุณป่าน นั่งก่อนสิครับ  ลองทานอาหารฝีมือน้องว่านด้วยกัน  นานๆ พวกเราจะมีเวลาว่างได้ทานอาหารพร้อมกันสักครั้ง”

“ขอบคุณมากนะคะ  อาหารน่าทานทุกอย่างเลยค่ะ  น้องว่านเก่งจัง มีฝีมือทั้งทำขนมและทำกับข้าว  ผิดกับพี่  เรื่องเข้าครัวนี่ เป็นเรื่องไกลตัวมากๆ”

“ทานๆเยอะนะหนู  อาหารฝีมือน้อง แม่ .. เอ่อ น้ารับรองว่าอร่อยทุกอย่าง  ตักข้าวเลยสิจ๊ะ”

อิงอรหันไปพูดกับสาวใช้ที่เพิ่งนำโถใส่ข้าวสวยเดินออกมา

“ว้าว    หิวจังเลยครับ  อาหารเยอะแยะน่าทานมาก ขอร่วมโต๊ะด้วยคนนะครับ”

การปรากฏตัวของภูผา ทำเอาทุกคนในโต๊ะหันไปมองเป็นตาเดียว  วรินทร์ธารกำช้อนส้อมในมือแน่นขึ้น ราวกับกำลังต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างสูง ไม่ให้ลุกขึ้นไล่ตะเพิดคนที่เธอไม่อยากเห็นหน้าที่สุดในตอนนี้

“ไปทำอะไรมาเนี่ย  กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว”

พฤกษ์ทำเสียงตำหนิน้องชายฝาแฝด ขณะที่อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ตัวหนึ่ง

“ทานด้วยกันค่ะคุณภู  นานๆจะได้ทานข้าวด้วยกันที”

อิงอรบอกกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงใจดี

“ความจริงผมก็อยากมาทานข้าวบ้านนี้บ่อยๆเหมือนกันนะครับ  แต่คงต้องถามน้องว่านว่ายินดีต้อนรับผมเหมือนต้อนรับพี่พฤกษ์สุดที่รักรึเปล่า”

ภูผาทำเสียงเยาะและหันไปมองสบตาวรินทร์ธารด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นมาจนหญิงสาวนึกกลัวอยู่ในใจ

“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ  ว่านก็รักทั้งคุณพฤกษ์และคุณภูเหมือนกันแหละค่ะ”

อิงอรแก้ต่างให้ลูกสาวอย่างมองโลกในแง่ดี โดยไม่ทันได้สังเกตแววตาของภูผา

“นั่นสิ  นายจะมาพูดจาไร้สาระอะไรให้น้องไม่สบายใจทำไม  ทุกวันนี้ว่านก็ดูแลทุกคนในไร่เป็นอย่างดีไม่เคยขาดตกบกพร่องอยู่แล้ว”

“ช่างเถอะค่ะพี่พฤกษ์ ทานข้าวกันดีกว่านะคะ  วันนี้มีปลาผัดคื่นช่ายของโปรดพี่พฤกษ์ด้วยค่ะ”

หญิงสาวพยายามไม่มองชายหนุ่มอีกคนที่คอยจ้องมองเธอด้วยสายตาที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดได้เสมอ  บรรยากาศดูจะไม่ค่อยดีนักในความรู้สึกของรวิวาร ในฐานะที่เป็นแขกของครอบครัวนี้  เธอจึงก้มหน้าก้มตาตักอาหารเงียบๆ ไม่พูดอะไร ทว่า ภูผาที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอมาร่วมทานอาหารด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะมองอย่างสงสัย

“ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณป่านที่นี่นะครับ”

“ฉันชวนมาเองแหละ  วันนี้คุณป่านเลิกงานเร็ว ก็เลยชวนมาทานมื้อค่ำด้วยกัน”

พฤกษ์ตอบเสียงเรียบ และรวิวารก็พยักหน้าตาม โดยไม่มีคำพูดอะไร  หากภูผาก็ยังมองสองหนุ่มสาวสลับกันไปมาอย่างคลางแคลงใจ  

“แล้ว ช่วงนี้คุณป่านทำงานทุกวันเลยเหรอครับ  พอจะมีเวลาว่างบ้างรึเปล่า  ผมยังรอพอไปเที่ยวอยู่นะ  มีสถานที่สวยๆหลายที่ ที่อยากพาไป”

ภูผาบอกพร้อมทั้งตักอาหารให้อย่างเอาใจ ทว่าก็ยังไม่วายปรายตามองไปที่หญิงสาวอีกคน ซึ่งกำลังตักอาหารให้พี่ชายฝาแฝดของเขาอยู่เช่นกัน

“ยังไม่มีช่วงว่างเลยค่ะ คุณภู ช่วงนี้ป่านยังต้องออกกองทุกวัน”

รวิวารตอบยิ้มๆ  และก็ทำให้อิงอรที่คอยลอบมองเธออยู่ตลอดต้องถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ทำงานตลอดแบบนี้ หนูเหนื่อยรึเปล่า  หาเวลาพักผ่อนบ้างนะจ๊ะ  น้าว่า ตาหนูดูโรยๆเหมือนคนไม่ค่อยได้นอน”

“อาจจะเป็นเพราะว่าป่านยังแปลกที่อยู่ด้วยล่ะค่ะ  ก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ  แต่อีกสักพักคงชิน”

คำตอบที่ได้รับ  ทำให้อิงอรอดคิดถึงใครคนหนึ่งไม่ได้  ใครคนนั้นก็เป็นคนที่หลับยาก ยามต้องไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นซึ่งไม่ใช่ที่บ้าน  รวิวารคงมีนิสัยหลายๆอย่างคล้ายบิดาผู้ให้กำเนิด รวมไปถึงรูปร่างหน้าตา ที่เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อเต็มๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาคมสีดำสนิทที่มีเสน่ห์ชวนมอง
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอไปชมการทำงานกองถ่ายของคุณป่านบ้างได้รึเปล่าครับ  อยากรู้ว่า วงการการบันเทิงเขาทำงานกันยังไง  เกิดมายังไม่เคยเห็นกองถ่ายหนังหรือละครสักที”

ภูผาถามอีกครั้ง  หากคราวนี้คนตอบกลับเป็นพฤกษ์ ที่ชิงตอบก่อนหญิงสาว

“ไม่เอาน่า ภู  อย่าไปยุ่งหรือไปรบกวนการทำงานของทีมงานเลย  เราตกลงกันรู้เรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ”

“แต่ความจริงก็ไปชมได้นะคะ ไม่เป็นไร”

รวิวารบอกอย่างเกรงใจชายหนุ่มเจ้าของไร่ทั้งสอง

“เห็นมั้ย  คุณป่านอนุญาตแล้ว  นายไม่ต้องห่วงหรอกน่าพฤกษ์  ฉันโตแล้ว  ไม่ใช่เด็กๆ  เกิดทีหลังนายไม่กี่นาที  ฉันรู้ว่าควรทำตัวยังไง   แค่ขอไปดูการทำงาน  อีกอย่างเขามาใช้พื้นที่ไร่เรา ทำไมเราจะไปดูบ้างไม่ได้”

ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  พฤกษ์จึงเงียบ และยกแก้วน้ำขึ้นจิบ

“อิ่มแล้วเหรอคะ พี่พฤกษ์  ว่านคิดว่าพี่พฤกษ์จะเติมข้าวอีก”

พฤกษ์ยิ้มอ่อนโยนกับผู้เป็นน้องสาว

“ไม่ดีกว่า  พี่อิ่มแล้วจริงๆ  คุณป่านล่ะครับ เติมข้าวอีกมั้ย”

รวิวารส่ายหน้ายิ้มๆ

“ไม่ไหวแล้วค่ะ  แค่นี้ก็อิ่มจะแย่  ขอบคุณทุกคนมากนะคะ  อาหารมื้อนี้อร่อยมาก”

“ถ้าหนูชอบก็มาทานด้วยกันบ่อยๆได้นะจ๊ะ”

พูดจบอิงอรก็ปิดปากเพื่อกลั้นอาการไอถี่ๆ  จนวรินทร์ธารเห็นแล้วต้องรีบรินน้ำให้

“อากาศเริ่มเย็นมากแล้ว  แม่เข้าไปพักผ่อนข้างในเถอะค่ะ เดี๋ยวว่านพาไป”

หญิงสาวค่อยๆใสรถเข็นช่วยพยาบาลพิเศษพามารดาเข้าไปในบ้าน  โดยมีสายตาของทุกคนคอยมองตาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่