มนต์เมฆา ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 5

ภายในห้องทำงานส่วนตัวของพฤกษ์ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเสียบเมมโมรี่การ์ดกับโน้ตบุ๊คเพื่อโหลดไฟล์ภาพถ่ายลงมาไว้ในเครื่อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ใคร”

“ผม ไกวัลเองครับนายใหญ่”

“เข้ามา ประตูไม่ได้ล็อค”

พฤกษ์ตอบลูกน้องคนสนิทก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง โดยไม่ไกวัลนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ผมให้คนงานตรวจดูทั่วทั้งไร่ตามคำสั่งแล้วนะครับ  แต่ ยังดูได้ไม่ทั่ว นายน้อยก็มาสั่งให้ไปทำอย่างอื่น เขาจะให้พวกลูกน้องคนสนิทของเขาจัดการเรื่องนี้เอง  ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยรีบมาบอกนายใหญ่เนี่ยแหละครับ”

สีหน้าท่าทางของผู้ดูแลคนงานอาวุโส ที่พฤกษ์ให้ความไว้วางใจมากที่สุด ดูอึดอัดใจเป็นอย่างมาก  

“นายภูอีกแล้วเหรอ   ยุ่งได้ทุกเรื่องสิ   ยังไงก็ฝากเป็นหูเป็นตาดูแลไร่กับคนงานช่วยฉันหน่อยนะ  ฉันคนเดียวอาจจะไม่ทั่วถึง ฉันสังหรณ์ใจว่า ที่ไปเจอมาเมื่อเช้า จะเป็นพวกคนงานวัยรุ่นที่แอบเสพยากัน  ถ้าพอมีหลักฐานหรือรู้ว่าเป็นใคร พวกไหน รีบรายงานฉันทันที เข้าใจไหม”

“ครับนายใหญ่”

เมื่อผู้เป็นนายไม่มีคำพูดอะไรอีก นอกจากพยักหน้าตอบรับ ไกวัลก็ขออนุญาตออกไปทำงานของตนต่อ  พฤกษ์จึงกลับไปนั่งหน้าจอโน้ตบุ๊คเพื่อดูรูปถ่ายในกล้องของรวิวารที่เขาใช้อำนาจขู่เข็ญเอามาจากเธอเมื่อตอนเช้า สายตาคมไล่ดูภาพถ่ายตั้งแต่ภาพแรกอย่างสนใจ  พอไม่เห็นว่าจะมีวี่แววของภาพพรีเว้ดดิ้งที่เขาเห็นว่าถ่ายกันไปเมื่อวานตั้งเยอะแยะ  พฤกษ์ก็เดาเอาว่า เมมโมรี่การ์ดอันนี้น่าจะเป็นอันที่เจ้าของเอาไว้ถ่ายรูปตามความชอบของตนเองมากกว่า เพราะเท่าที่ไล่เปิดดูก็มีแต่ภาพวิว ทิวทัศน์กับภาพระยะใกล้มากๆหรือที่เรียกว่ามาโคร ซึ่งเป็นภาพในมุมแปลกตาอย่างที่ชายหนุ่มไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน ยิ่งดูภาพถ่ายแต่ละภาพอย่างพินิจพิจารณา คนที่พอมีความรู้เรื่องการถ่ายภาพมาบ้างอย่างเขา ก็รู้สึกชื่นชมฝีมือและความสมารถของหญิงสาวไม่น้อย ถ้าเป็นในแง่ของทฤษฎี หลักการตามตำรา เขามองว่า คนที่มีความพยายามและสนใจ ก็ศึกษาหาความรู้กันได้เท่าเทียมกัน ทว่า ในแง่ของความสามารถพิเศษส่วนตัว มุมมอง มุมกล้อง สีสันและอารมณ์ที่สื่อออกมา เขามองว่ามันเป็นความพิเศษของแต่ละคน ที่ไม่มีใครจะลอกเลียนแบบใครได้  

ภาพถ่ายของเธอมีชีวิต ในความรู้สึกของเขา แม้สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม  ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่อนล เพื่อนสนิทที่เมื่อก่อนได้รับฉายาว่าคุณชายเพอร์เฟค จะเลือกให้เธอมาเป็นตากล้องถ่ายภาพงานสำคัญของเขา  ไม่ใช่เหตุผลเพราะความสนิทสนมหรือเพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทหญิงสาวคนรักแค่อย่างเดียวหรอก  เมื่อไม่มีภาพไหนเข้าข่ายผิดปกติ น่าสงสัย ชายหนุ่มก็จัดการเก็บเมมโมรี่การ์ดใส่ในกระเป๋าเสื้อ ตั้งใจว่าจะคืนให้เจ้าของก่อนจะเดินทางกลับกันในช่วงเย็นวันนี้  พฤกษ์อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น  แล้วก็ต้องยอมรับว่า เขาแสดงกิริยาไม่ดีต่อเธอมาก ทั้งคำพูดและการกระทำ ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างรู้สึกไม่สบายใจนัก  แต่มันจำเป็นต้องทำเพื่อให้เธอกลัว  จะได้ไม่กล้าหาเรื่องเสี่ยงอันตรายอีก เธอจะโกรธจะไม่พอใจ จะมองเขาเป็นแบบไหน ก็คงแล้วแต่เธอ  ชายหนุ่มกำมือแน่นเมื่อนึกถึงความเป็นจริงข้อนี้   ที่ผ่านมาเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ไร่ทะเลเมฆ เป็นสถานที่ที่ขาวสะอาดทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทว่า ดูเหมือนมันช่างเหนื่อยยากเหลือเกิน กับการต้องต่อสู้กับความสกปรก โสมม ที่กำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ  ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังละเลงสีดำลงมาอย่างน่าหวาดกลัวที่สุด ทว่าเขา จะต้องต้านทานมันให้ได้ เพราะหน้าที่ของเขาคือการปกป้องแผ่นดินผืนนี้ให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่…

หลังจากการถ่ายภาพแบบมาราธอนตามจุดต่างๆทั่วไร่ทะเลเมฆผ่านไป ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตากล้อง ทีมงานจากร้านสตูดิโอเช่าอุปกรณ์ที่อนลจ้างมา ต่างก็หมดแรงไปตามๆกัน  ภูผา ที่มาคอยดูแลทุกคนอย่างใกล้ชิดราวกับตนเองเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานครั้งนี้ ก็ชวนทุกคนไปทานอาหารมื้อพิเศษที่ได้สั่งให้ครัวของทางไร่เตรียมไว้ เพื่อเป็นการส่งท้ายก่อนทุกคนจะกลับ  

“ป่าน  เรื่องที่ป่านคุยกับพี่ตอนนั่งรถมา พี่ว่า ป่านคุยกับภูตอนนี้เลยก็ได้นะ”

ภูผาหันไปมองสบตาหญิงสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองสบตาเขาพอดี  รวิวารทำหน้างงๆเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“ป่านลืมเรื่องนี้อีกแล้ว  ขอบคุณพี่โอ๊ตนะคะที่เตือน”

“แล้วตกลงว่าคุณป่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”

“ก็เรื่องที่จะขออนุญาตใช้ไร่ทะเลเมฆเป็นโลเกชั่นในการถ่ายทำภาพยนต์น่ะค่ะ  พอดี รุ่นพี่ของป่านที่ทำงานอยู่กับค่ายหนัง เขาทราบว่าป่านจะมาถ่ายงานพรีเว้ดดิ้งที่นี่ เลยขอร้องให้ลองพูดกับเจ้าของไร่ดู  เพราะว่าเคยทำเรื่องขอมาแล้วครั้งนึงแต่ถูกปฏิเสธไปค่ะ”

ทั้งน้ำเสียงและแววตาของคนพูด ดูเกรงอกเกรงใจผู้เป็นเจ้าของไร่อย่างมาก ในขณะที่เจ้าตัวก็ยิ้มมองหญิงสาวด้วยความเข้าใจเป็นอย่างดี

“พฤกษ์เขาไม่ชอบให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายในไร่น่ะครับ ไม่ว่าจะค่ายหนัง ค่ายละคร ที่ผ่านๆมา มีติดต่อมาไม่น้อยก็โดนปฏิเสธกันแบบหมดหวังทุกราย  แต่เดี๋ยวผมจะคุยให้แล้วกัน เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า จะพูดจาหว่านล้อมชักแม่น้ำทั้งห้า ให้เขายอมคล้อยตามให้ได้  เพื่อคุณป่านคนเดียวเลยนะครับ”

เขาแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยและไม่คิดจะสงวนท่าที ทำเอาดอกอ้อกับอนลต้องหันมามองสบตากันโดยอัตโนมัติ ในขณะที่รวิวารก็เพียงแต่กล่าวขอบคุณและก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าต่อ และแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ความรู้สึกที่ชายหนุ่มพยายามจะบอกให้เธอรับรู้ ซึ่งมันทำให้ภูผาตีความหมายเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่ากิริยาที่เธอแสดงออกคืออาการของคนกำลังเขินอาย

รวิวารกลับมาเก็บข้าวของที่ห้องเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปท่าอากาศยานเชียงใหม่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ความเหนื่อยล้าจากการทำหน้าที่เป็นช่างภาพมาครึ่งค่อนวัน บวกกับความกังวลเรื่องงานที่ต้องพรีเซ้นต์ในวันพรุ่งนี้ ทำให้หญิงสาวไม่ได้นึกถึงเรื่องเมมโมรี่การ์ดเลย เรียกว่าลืมไปเสียสนิท แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะนึกออก จนเมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยและเปิดประตูห้องนอนเปิดออก ก็ต้องตกใจจนเกือบจะกรีดร้องออกมา เมื่อพบกับร่างสูงใหญ่หน้าตานิ่งสนิทปราศจากความมีชีวิตชีวาของใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่

“โอ๊ย  ตกใจหมด คุณชอบโผล่ไปไหนมาไหนแบบไม่ให้คนอื่นรู้ตัวแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ”

หญิงสาวตวัดตามองค้อนพร้อมกับด้วยน้ำเสียงระอา  แต่ชายหนุ่มดูจะไม่ใส่ใจกับท่าทีของเธอเท่าใดนัก เขาล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเอาเมมโมรี่การ์ดยื่นไปตรงหน้าเธอ

“ผมเอามาคืน”

ทั้งน้ำเสียงและแววตาท่าทางของเขา ช่างไร้ซึ่งความรู้สึกสมกับเป็นมนุษย์ต้นไม้ในความรู้สึกของรวิวาร หญิงสาวเอื้อมมือไปรับมันคืนมาเงยหน้าสบตามองเขาก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า

“ขอบคุณมากๆเลยนะคะ”

“ไม่เป็นไร”

ชายหนุ่มตอบแล้วหมุนตัวเดินหนีไปทันที  ทำเอาคนอีกคนได้แต่ถอนใจออกมาหนักๆ  ก่อนส่งเสียงตะโกน
ตามหลังไป

“นี่คุณแล้วที่บอกว่าถ้าพังจะรับผิดชอบล่ะ ฉันยังไม่ได้ทดสอบดูเลยนะว่ามันยังมีสภาพดีเหมือนเดิมรึเปล่า”

แต่มันก็คงไม่ต่างจากการตะโกนพูดกับสายลมหรือแสงแดดเอาเสียเลย รวิวารถอนใจยาว มีอีกสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวยังข้องใจ เขาไม่รู้จริงๆเหรอว่า เขาควรจะกล่าวคำขอโทษที่แย่งเอาเมมโมรี่การ์ดจากกล้องของเธอไปแบบไร้มารยาท แถมยังพูดจาไม่ชวนฟังใส่เธออีก เป็นคนประเภทไหนกันแน่นะ แต่ที่น่าสงสัยไปกว่านั้น คือ แท้จริงแล้วสถานที่แห่งนี้มีความลับเรื่องใดซ่อนอยู่กันแน่  หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับตัวเอง  เริ่มจากเจ้าของไร่ก็ทำให้เธอรู้สึกถึงพฤติกรรมลับๆล่อ ชวนให้สงสัยในเบื้องลึกเบื้องหลังของเขาเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบเดินทางกลับภายในวันนี้ เธอก็อยากจะค้นหาคำตอบให้หายข้องใจอยู่ไม่น้อย

“อ้อกับพี่โอ๊ตล่ะคะ มากันรึยัง”

เธอเอ่ยถามภูผาพลางมองไปรอบๆ  เมื่อมาถึงรถตู้ที่จอดรอเตรียมพาไปส่งยังสนามบิน

“ยังครับ คุณป่านมาคนแรกเลย เก็บของรวดเร็วมากๆ  เดี๋ยวพอกลับมาจากไปส่งคุณป่านที่สนามบินแล้ว ผมจะรีบไปคุยเรื่องขอสถานที่ถ่ายหนังกับพฤกษ์ให้ แล้วจะโทรไปรายผลให้ทราบนะครับ”

เขาบอกกับหญิงสาวด้วยท่าทางมั่นใจว่า จะสามารถให้คำตอบที่เธออยากฟังได้แน่นอน

“ขอบคุณมากๆอีกครั้งนะคะ  คุณภู ป่านเอาใจช่วยนะคะ ขอให้ทำสำเร็จ  เอ๊ะแล้ววันนี้คุณว่านไปไหนเหรอคะ วันนี้ทั้งวันแทบไม่ได้เจอเลย”

“ผมก็ยังไม่เห็นเหมือนกันครับ  ปกติ ว่านจะมีหน้าที่พิเศษคือเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องธุรกิจร้านกาแฟตามวิทยาลัยอาชีวะหรือศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนน่ะครับ  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวันนี้ออกไปไหนรึเปล่า หรือบางทีอาจจะช่วยพฤกษ์ทำงานอยู่ก็ได้”

ทั้งสองยืนพูดคุยกันไปเรื่อยๆ  สักพัก อนลกับดอกอ้อ ก็เดินเคียงข้างกันมาพร้อมสัมภาระแบบเตรียมพร้อมจะเดินทางกลับแล้ว  

“อ้าวภู แล้วพฤกษ์ล่ะ ยังไม่ได้ขอบอกขอบใจกันเลย ไม่คิดจะมาร่ำลาเพื่อนหน่อยเหรอ”

“ฉันก็เป็นตัวแทนมาส่งแล้วไง  พอดีว่าพฤกษ์ถูกเรียกตัวไปที่โครงการส่งเสริมการปลูกกาแฟกะทันหันน่ะ  เลยฝากให้ฉันมาส่ง แล้วก็ฝากบอกว่า คราวหน้าถ้ามาเที่ยวอีกจะดูแลและพาเที่ยวชมทุกซอกทุกมุมของไร่ด้วยตัวเองเลย  แต่คราวนี้แกมาถ่ายรูปงานของแกไง เวลามันก็จำกัดด้วยแหละ”

“นั่นสิ  เดี๋ยวต้องหาโอกาสมาอีกให้ได้เลย มาคราวนี้มันเหมือนไม่ได้มาเที่ยวไงไม่รู้   ยังไงก็ฝากขอบใจพฤกษ์ด้วยนะ ที่อำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี  อาหารที่นี่อร่อยมาก ทุกอย่างเลย ทั้งกาแฟ ทั้งขนม ”

อนลพูดจบก็หันไปเปิดประตูรถตู้ให้ดอกอ้อ และทุกคนก็เดินทางไปยังสนามบินเชียงใหม่เพื่อกลับสู่กรุงเทพโดยมีภูผาร่วมเดินทางไปส่งด้วยความเต็มใจเป็นที่สุด


ค่ำวันเดียวกัน ภูผานั่งดูรายการทีวีซึ่งกำลังถ่ายทอดสดฟุตบอลต่างประเทศทีมที่เขาเชียร์อยู่ระหว่างรอการกลับมาของพี่ชายฝาแฝดที่ป่านนี้ยังไม่กลับเข้าไร่ สลับกับการชำเลืองมองนาฬิกาแขวนตรงฝาผนังด้วยอาการเริ่มจะเบื่อหน่ายกับการรอคอย  จนกระทั่งเสียงบานประตูกระจกถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินก้าวเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

“กลับมาพร้อมบอลจบลงด้วยชัยชนะของสิงโตน้ำเงินครามพอดีเลยว่ะ “

ภูผาเอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี เพราะทีมฟุตบอลที่เขาชอบและติดตามเชียร์เก็บชัยชนะได้ในนัดนี้

“รอฉันอยู่เหรอ”

เพราะรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่า ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องรอพบเขา ภูผาคงขึ้นไปนอนดูโทรทัศน์สบายใจบนห้องนอนส่วนตัว ไม่มานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกแบบนี้แน่นอน

“มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย  นั่งก่อนสิ”

พฤกษ์เดินไปทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งเงียบๆ รอให้ภูผาเป็นฝ่ายพูดในเรื่องที่อยากพูด

“ช่วงนี้มีค่ายหนัง ค่ายละครติดต่อขอสถานที่ถ่ายทำหนังบ้างไหม”

“มี แต่ฉันไม่ได้สนใจ ยังไงก็ให้ไม่ได้ นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบความวุ่นวาย  พวกกองถ่ายทำภาพยนต์จะทำให้งานในไร่ของเราต้องสะดุด และอาจจะมาทำให้บรรยากาศไร่เราเปลี่ยนไปหรือก่อให้เกิดความเสียหายไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์ตรงไหน”

“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธนักสิ  ขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้ฉันสักเรื่องไม่ได้เหรอ  ฉันจะดูแลและรับผิดชอบเอง”

ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน  ในขณะที่พฤกษ์ก็มองตอบอย่างรู้ทัน

“ไปรับปากอะไรใครไว้อีกแล้วล่ะสิ  แล้วก็มาเดือดร้อนฉันทุกที”

“ฉันขอร้องล่ะนะ  ฉันสารภาพตามตรงก็ได้  คือ ฉันคิดว่าฉันชอบคุณป่าน เพื่อนของน้องอ้อเข้าแล้ว  แล้วพอเขามาคุยเรื่องที่อยากขออนุญาตใช้สถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องหนึ่งที่รุ่นพี่เป็นทีมงาน  ฉันเลยรับปากว่าจะมาคุยกับนายให้  ได้โปรดเถอะพฤกษ์  ฉันสัญญาว่าฉันจะดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ให้พวกทีมงานทำอะไรที่นายไม่ชอบ”

พฤกษ์ต้องยอมรับว่าชื่อของบุคคลที่ชายหนุ่มอ้างอิงมีผลต่อความรู้สึกของเขาพอสมควร หากก็ต้องระงับอาการและไม่แสดงท่าทีใดๆที่จะทำให้แฝดผู้น้องผิดสังเกตเอาได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่