ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรก็บอกกันได้ ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น ทุกคำติชมค่ะ
บทนำ
2 ปีก่อน ท่าอากาศยานเชียงใหม่
ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมาประปรายในเวลาเช้าตรู่ในเดือนสุดท้ายของปีที่อากาศเย็นจัด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทั้งชุด ซึ่งซ่อนดวงตาคมกล้าอันแดงช้ำจากการร้องไห้มาอย่างหนักไว้ภายใต้แว่นตาสีดำ กำลังก้าวเดินไปหาอีกคนที่ดูเหมือนจะมารออยู่นานแล้ว ร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงของชายอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับเป็นคนๆเดียวตรงเข้ามาสวมกวดผู้มาใหม่เอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกและบอกเล่าเรื่องราวแสนเจํบปวดด้วยดวงตาแดงก่ำ
“พวกมันใส่ร้ายพ่อ หาว่าไร่เราเป็นที่ซุกซ่อนอาวุธเถื่อน ไว้ส่งต่อตามแนวชายแดนไปขายประเทศที่สาม มันส่งมือปืนมายิงพ่อ แล้วก็กำลังจะเข้ายึดครองที่ดินของเรา”
“ไม่มีทาง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่มีวันยอมให้ใครมาเอาของๆพวกเราไปได้ อย่าเพิ่งให้ใครรู้ว่าฉันกลับมาแล้ว แล้วก็ช่วยไปส่งฉันที่บ้านใครคนหนึ่งหน่อย”
“แล้วนายจะไม่เข้าไปไหว้พ่อที่วัดก่อนเหรอพฤกษ์”
“ฉันมีบางอย่างต้องทำ นายแค่ไปส่งฉัน เสร็จธุระแล้ว จะรีบกลับไป”
สองพี่น้องฝาแฝดเดินเคียงกันออกมาจากท่าอากาศยาน ภูผาขับรถไปส่งพฤกษ์ตามเส้นทางที่พี่ชายบอก ด้วยความสงสัยและคำถามอะไรในใจมากมาย หากก็เชื่อว่า สิ่งที่พฤกษ์คิดจะทำอยู่ คงเป็นสิ่งที่เขาไคร่ครวญไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
“ผมมาขอพบท่านชัยณรงค์”
พฤกษ์เดินไปบอกกับยามรักษาความปลอดภัยตรงป้อมยามริมรั้วบ้านหลังใหญ่ ของพลตำรวจโท ชัยณรงค์ นายตำรวจตงฉินผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเขตพื้นที่ภาคเหนือ
“เห็นจะไม่ได้มั้งครับ คุณเป็นใครไม่รู้ อยู่ดีๆ มาขอพบท่าน ตอนนี้เนี่ยนะ สุ่มสี่สุ่มห้าให้เข้าไปกันง่ายๆได้ไง”
คำตอบกับสายตาที่มองมาอย่างไม่ต้อนรับ ไม่ทำให้พฤกษ์หมดความตั้งใจ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งบอกเวลาาเจ็ดนาฬิกาตรง แล้วก็ตัดสินใจแยกตัวไปยืนรออยู่ข้างรั้วด้านหนึ่ง รอ อย่างอดทนจนกระทั่งมีเสียงความเคลื่อนไหวของประตูรั้วและรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังแล่นออกมา ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบวิ่งตรงไปขวางหน้ารถยนต์ไว้ทันที
“เฮ้ย อยากตายรึไงวะ”
นายตำรวจชั้นประทวนผู้ทำหน้าที่ขับรถเปิดประตูลงมาตวาดชายหนุ่มอย่างหัวเสีย หากพฤกษ์ไปสนใจ เขาเดินตรงเข้าไปกระชากร่างนายตำรวจผู้นั้นออกไป และก้มหน้าลงไปพูดกับคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ท่านครับ ผม พฤกษ์ ลูกชายของ พ่อเลี้ยงพนา ผมมีเรื่องอยากคุยกับท่านครับ”
พลตำรวจโทชัยณรงค์ เงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยแววตาหนักใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“เข้าไปคุยกันในบ้าน คุณเข้ามานั่งในรถสิ จ่ามิ่ง เดี๋ยวกลับเข้าบ้านก่อนนะ”
รถยนต์คันใหญ่เลี้ยวกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง และผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก็เชิญผู้มาเยือนให้ไปนั่งคุยกันถึงในห้องทำงานส่วนตัวที่ค่อนข้างมิดชิดบนชั้นสอง
“เสียใจด้วยนะ เรื่องพ่อของคุณ ผมได้ข่าวว่าลูกชายคนโตของพ่อเลี้ยงพนาไปเรียนอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ แสดงว่าคุณเพิ่งกลับมาสินะ”
น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยถามเมื่อชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกแล้ว
“ครับ กลับมาถึงเมื่อเช้า แล้วก็ตรงมาหาท่านเลย ผมมีข้อเสนออะไรบางอย่างมาให้ท่าน แลกกับอิสรภาพของครอบครัวผมครับ”
“ว่ามา ผมฟังอยู่”
“ผมอยากให้ท่านช่วยเรื่องการพยายามรุกล้ำที่ดินที่เป็นสิทธิ์ของครอบครัวผม โดยผมจะให้ข้อมูลเรื่องการนำอาวุธมาเถื่อนมาซุกซ่อนเพื่อลำเลียงต่อไปชายแดน รวมไปถึง ข้อมูลเรื่องการลำเลียงยาเสพติดจากทุกไร่ ของพวกนักการเมืองท้องถิ่นหลายๆคนด้วย ส่วนใหญ่พวกนี้มีนักการเมืองระดับ สส กับ นายทหารชั้นผู้ใหญ่หนุนหลังกันและไม่เคยมีใครมาจัดการปัญหาพวกนี้ได้ซะที พวกมันได้คืบจะเอาศอก อยากจะกว้านซื้อรวบทุกที่ดินที่อยู่ติดกันไปเป็นของตัวเอง รวมทั้งไร่ของผมด้วย”
นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล มองชายหนุ่มอย่างพิจารณา
“คุณพูดแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยนะว่า ข่าวลือเรื่องของไร่พ่อเลี้ยงพนา ที่ว่าใช้ไร่กาแฟบังหน้าธุรกิจมืดเป็นความจริง”
“แต่ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของพ่อเลยนะครับ ผมเคยขอร้องให้พ่อเลิก แต่พ่อไม่ฟัง แล้วตอนนี้พ่อก็โดนพวกมันหักหลัง ต้องแลกด้วยชีวิต ผมจะชดใช้ในสิ่งที่พ่อเคยทำผิดกฏหมายด้วยการ นำไร่ของผมเข้าร่วมกับโครงการวิจัยของสถานีเกษตรประจำจังหวัด แล้วก็ให้ความร่วมมือ กับท่านในทุกๆเรื่อง เพียงแค่ขอให้ท่านช่วยครอบครัวของผม พวกเราต้องการชีวิตที่สงบสุข และพัฒนาพื้นที่เพื่อการเกษตรอย่างจริงจังที่สุด”
แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายแรงกล้าด้วยความหวัง และมันก็ทำให้อีกฝ่ายที่อาวุโสกว่านึกทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวของเขาไม่น้อย
“ตกลง ผมเชื่อคุณ และขอรับประกันว่า ตลอดช่วงเวลาที่คุณให้ความร่วมมือหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามการทำผิดกฏหมายตามแนวชายแดนทั้งหลาย คุณและครอบครัว จะได้รับการคุ้มครองดูแลอย่างดีที่สุด”
สีหน้าของพฤกษ์ดูโล่งใจและสบายใจขึ้นมามาก นี่คือสิ่งที่เขาปรารถนาจะทำ มิใช่เพียงเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว แต่ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่อาศัยมาตั้งแต่เกิดด้วย แผนพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ไร่กาแฟของเขา จะไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้าขายเพื่อแสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่มันจะต้องมีคุณค่าต่อผู้คนในท้องถิ่นได้มากกว่านั้น แม้ว่าจะต้องแลกกับสวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตของตัวเขาเองก็ตาม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มนต์เมฆา บทนำ+ตอนที่ 1
บทนำ
2 ปีก่อน ท่าอากาศยานเชียงใหม่
ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมาประปรายในเวลาเช้าตรู่ในเดือนสุดท้ายของปีที่อากาศเย็นจัด ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำทั้งชุด ซึ่งซ่อนดวงตาคมกล้าอันแดงช้ำจากการร้องไห้มาอย่างหนักไว้ภายใต้แว่นตาสีดำ กำลังก้าวเดินไปหาอีกคนที่ดูเหมือนจะมารออยู่นานแล้ว ร่างสูงใหญ่ใกล้เคียงของชายอีกคนที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับเป็นคนๆเดียวตรงเข้ามาสวมกวดผู้มาใหม่เอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกและบอกเล่าเรื่องราวแสนเจํบปวดด้วยดวงตาแดงก่ำ
“พวกมันใส่ร้ายพ่อ หาว่าไร่เราเป็นที่ซุกซ่อนอาวุธเถื่อน ไว้ส่งต่อตามแนวชายแดนไปขายประเทศที่สาม มันส่งมือปืนมายิงพ่อ แล้วก็กำลังจะเข้ายึดครองที่ดินของเรา”
“ไม่มีทาง ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่มีวันยอมให้ใครมาเอาของๆพวกเราไปได้ อย่าเพิ่งให้ใครรู้ว่าฉันกลับมาแล้ว แล้วก็ช่วยไปส่งฉันที่บ้านใครคนหนึ่งหน่อย”
“แล้วนายจะไม่เข้าไปไหว้พ่อที่วัดก่อนเหรอพฤกษ์”
“ฉันมีบางอย่างต้องทำ นายแค่ไปส่งฉัน เสร็จธุระแล้ว จะรีบกลับไป”
สองพี่น้องฝาแฝดเดินเคียงกันออกมาจากท่าอากาศยาน ภูผาขับรถไปส่งพฤกษ์ตามเส้นทางที่พี่ชายบอก ด้วยความสงสัยและคำถามอะไรในใจมากมาย หากก็เชื่อว่า สิ่งที่พฤกษ์คิดจะทำอยู่ คงเป็นสิ่งที่เขาไคร่ครวญไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
“ผมมาขอพบท่านชัยณรงค์”
พฤกษ์เดินไปบอกกับยามรักษาความปลอดภัยตรงป้อมยามริมรั้วบ้านหลังใหญ่ ของพลตำรวจโท ชัยณรงค์ นายตำรวจตงฉินผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเขตพื้นที่ภาคเหนือ
“เห็นจะไม่ได้มั้งครับ คุณเป็นใครไม่รู้ อยู่ดีๆ มาขอพบท่าน ตอนนี้เนี่ยนะ สุ่มสี่สุ่มห้าให้เข้าไปกันง่ายๆได้ไง”
คำตอบกับสายตาที่มองมาอย่างไม่ต้อนรับ ไม่ทำให้พฤกษ์หมดความตั้งใจ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งบอกเวลาาเจ็ดนาฬิกาตรง แล้วก็ตัดสินใจแยกตัวไปยืนรออยู่ข้างรั้วด้านหนึ่ง รอ อย่างอดทนจนกระทั่งมีเสียงความเคลื่อนไหวของประตูรั้วและรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังแล่นออกมา ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบวิ่งตรงไปขวางหน้ารถยนต์ไว้ทันที
“เฮ้ย อยากตายรึไงวะ”
นายตำรวจชั้นประทวนผู้ทำหน้าที่ขับรถเปิดประตูลงมาตวาดชายหนุ่มอย่างหัวเสีย หากพฤกษ์ไปสนใจ เขาเดินตรงเข้าไปกระชากร่างนายตำรวจผู้นั้นออกไป และก้มหน้าลงไปพูดกับคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“ท่านครับ ผม พฤกษ์ ลูกชายของ พ่อเลี้ยงพนา ผมมีเรื่องอยากคุยกับท่านครับ”
พลตำรวจโทชัยณรงค์ เงยหน้ามองชายหนุ่มด้วยแววตาหนักใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“เข้าไปคุยกันในบ้าน คุณเข้ามานั่งในรถสิ จ่ามิ่ง เดี๋ยวกลับเข้าบ้านก่อนนะ”
รถยนต์คันใหญ่เลี้ยวกลับเข้าไปในตัวบ้านอีกครั้ง และผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก็เชิญผู้มาเยือนให้ไปนั่งคุยกันถึงในห้องทำงานส่วนตัวที่ค่อนข้างมิดชิดบนชั้นสอง
“เสียใจด้วยนะ เรื่องพ่อของคุณ ผมได้ข่าวว่าลูกชายคนโตของพ่อเลี้ยงพนาไปเรียนอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ แสดงว่าคุณเพิ่งกลับมาสินะ”
น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยถามเมื่อชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกแล้ว
“ครับ กลับมาถึงเมื่อเช้า แล้วก็ตรงมาหาท่านเลย ผมมีข้อเสนออะไรบางอย่างมาให้ท่าน แลกกับอิสรภาพของครอบครัวผมครับ”
“ว่ามา ผมฟังอยู่”
“ผมอยากให้ท่านช่วยเรื่องการพยายามรุกล้ำที่ดินที่เป็นสิทธิ์ของครอบครัวผม โดยผมจะให้ข้อมูลเรื่องการนำอาวุธมาเถื่อนมาซุกซ่อนเพื่อลำเลียงต่อไปชายแดน รวมไปถึง ข้อมูลเรื่องการลำเลียงยาเสพติดจากทุกไร่ ของพวกนักการเมืองท้องถิ่นหลายๆคนด้วย ส่วนใหญ่พวกนี้มีนักการเมืองระดับ สส กับ นายทหารชั้นผู้ใหญ่หนุนหลังกันและไม่เคยมีใครมาจัดการปัญหาพวกนี้ได้ซะที พวกมันได้คืบจะเอาศอก อยากจะกว้านซื้อรวบทุกที่ดินที่อยู่ติดกันไปเป็นของตัวเอง รวมทั้งไร่ของผมด้วย”
นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล มองชายหนุ่มอย่างพิจารณา
“คุณพูดแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยนะว่า ข่าวลือเรื่องของไร่พ่อเลี้ยงพนา ที่ว่าใช้ไร่กาแฟบังหน้าธุรกิจมืดเป็นความจริง”
“แต่ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของพ่อเลยนะครับ ผมเคยขอร้องให้พ่อเลิก แต่พ่อไม่ฟัง แล้วตอนนี้พ่อก็โดนพวกมันหักหลัง ต้องแลกด้วยชีวิต ผมจะชดใช้ในสิ่งที่พ่อเคยทำผิดกฏหมายด้วยการ นำไร่ของผมเข้าร่วมกับโครงการวิจัยของสถานีเกษตรประจำจังหวัด แล้วก็ให้ความร่วมมือ กับท่านในทุกๆเรื่อง เพียงแค่ขอให้ท่านช่วยครอบครัวของผม พวกเราต้องการชีวิตที่สงบสุข และพัฒนาพื้นที่เพื่อการเกษตรอย่างจริงจังที่สุด”
แววตาของชายหนุ่มเป็นประกายแรงกล้าด้วยความหวัง และมันก็ทำให้อีกฝ่ายที่อาวุโสกว่านึกทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวของเขาไม่น้อย
“ตกลง ผมเชื่อคุณ และขอรับประกันว่า ตลอดช่วงเวลาที่คุณให้ความร่วมมือหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามการทำผิดกฏหมายตามแนวชายแดนทั้งหลาย คุณและครอบครัว จะได้รับการคุ้มครองดูแลอย่างดีที่สุด”
สีหน้าของพฤกษ์ดูโล่งใจและสบายใจขึ้นมามาก นี่คือสิ่งที่เขาปรารถนาจะทำ มิใช่เพียงเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว แต่ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่อาศัยมาตั้งแต่เกิดด้วย แผนพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ไร่กาแฟของเขา จะไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้าขายเพื่อแสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่มันจะต้องมีคุณค่าต่อผู้คนในท้องถิ่นได้มากกว่านั้น แม้ว่าจะต้องแลกกับสวัสดิภาพความปลอดภัยในชีวิตของตัวเขาเองก็ตาม
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------