20.
จะว่าเป็นเรื่องงี่เง่าก็ได้ แต่ธีร์วราเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองง้อใครไม่เป็น
ระหว่างหล่อนกับธีทัต สองพี่น้องเคยทะเลาะกันบ่อยครั้ง และทุกทีน้องชายจะเป็นฝ่ายขอคืนดีก่อนเสมอ เมื่อย้อนนึกทบทวนก็ละอายใจ ที่ผ่านมาธีทัตต้องอดทนมากแค่ไหนกัน คราวล่าสุดคงเกินขีดกำจัดเขาแล้ว จึงมึนตึงใส่ตลอดไม่ว่าหล่อนจะพยายามเข้าหาสักเพียงใด จนแม่เริ่มเหล่มองบรรยากาศอึมครึมบนโต๊ะอาหารยามธีร์วราแวะกินข้าวด้วย หญิงสาวกลัวท่านกังวล เลยทำเป็นอ้างเรื่องงานเพื่อไม่ต้องกลับบ้าน
จนวันหนึ่งหล่อนยังอยู่บริษัทฯ หลังเวลาเลิกงานดังเช่นปกติ ปานเรขาก็ติดต่อหาด้วยเสียงสั่นพร่า “อาแก้วขา ป่าน...ป่านขอมาค้างกับอาที่คอนโดฯ นะคะ ไม่อยากกลับบ้าน”
“ป่าน! เกิดอะไรขึ้น”
หลานสาวตอบไปสะอื้นไปจับความแทบไม่ได้นอกจากมีชื่อพฤกษ์หลุดมาเป็นระยะ ธีร์วราตะล่อมถามจนทราบว่าสาวน้อยรออยู่ที่อาคารชุดแล้วแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ให้เข้า โชคดียามคุ้นเคยเสียงธีร์วรา จึงสามารถขอร้องผ่านโทรศัพท์ให้ช่วยพาหลานสาวขึ้นไปตรงส่วนโถงพักคอยประจำชั้นที่หล่อนอาศัย ระหว่างประธานบอร์ดลายหงส์รีบเดินทางกลับ
ทันทีที่ประตูลิฟต์ภายในอาคารชุดเปิดกว้าง ปานเรขาก็ถลาเข้ากอดอาสาวที่อ้าแขนรับ น้ำตาปริ่มซุกหน้ากับอกคนอายุมากกว่า
“ป่านเสียใจค่ะอาแก้ว พี่พฤกษ์ทำกับป่านหยั่งงี้ได้ไง!”
ธีร์วราระบายลมหายใจโล่งอกที่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้เป็นอะไรมาก “ทะเลาะกับพฤกษ์เหรอ”
“ป่านไม่กล้าเล่าให้แม่ฟังค่ะ” สาวน้อยปาดน้ำตา “แต่ขืนร้องไห้อยู่บ้านต้องโดนซักแน่ เลยขอมาค้างกับอาแก้ว”
ธีร์วราช่วยหิ้วกระเป๋าพาเข้าห้อง ปานเรขาเดินไปนั่งคุดคู้ตรงโซฟายาวริมผนังกระจก ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ยามโพล้เพล้แลขมุกขมัว ดวงไฟจากอาคารพร่าเลือนราวหิ่งห้อยทอแสงโรยรา ธีร์วรานั่งข้างสาวน้อย ลูบผมหล่อนเบาๆ
“อยากเล่าไหม”
ปานเรขากัดริมฝีปาก “พี่พฤกษ์บอกว่าเขาได้งานแล้วที่สิงคโปร์ เรียนจบเทอมหน้าเมื่อไหร่ก็บินไปทันที”
มือที่กำลังลูบผมชะงัก “สิงคโปร์? จับผลัดจับผลูไปถึงนั่นได้ยังไง”
“มันเป็นบริษัทที่พี่พฤกษ์เคยฝึกงานนอกเวลาเรียนค่ะ เทอมหน้าก็จะไปฝึกอีกครั้ง เป็นบริษัทร่วมทุนไทย-สิงคโปร์ เห็นว่าที่อยู่สิงคโปร์น่ะแค่ปีแรกเท่านั้น แล้วก็จะโดนย้ายไปอินโดนิเซียอีกที บริษัทเขาทาบทามเด็กฝึกงานทุกคน ส่วนใหญ่ปฏิเสธเพราะต้องห่างบ้านหลายปี แต่เงินมันดีพี่พฤกษ์เลยสนใจมาก เขาอยากคืนเงินที่ครอบครัวยืมอาเมธมาเร็วๆ”
“ฟังดูมีเหตุผลนี่นา”
“แต่ทำไมต้องใจร้อนขนาดนั้น ทำงานเมืองไทยแล้วค่อยๆ เก็บเงินก็ได้ พอบอกงี้พี่พฤกษ์เขาว่าป่านไม่เข้าใจ นอกจากเงินยืมแล้วเขาต้องส่งน้องสองคนเรียนต่อ เก็บเงินให้ที่บ้านด้วย อยู่เมืองไทยทำงานตลอดชาติก็ไม่มีวันใช้หนี้อาเมธหมด”
ธีร์วรายิ้มแห้ง “ก็คิดได้สมกับพฤกษ์ละนะ”
“อาแก้วอย่าเข้าข้างเขาสิคะ!” ปานเรขาทุบตักตัวเอง “ป่านเลยเถียงไป อาเมธรวยแล้วก็ใจดีออกต้องใช้หนี้ทำไม พี่พฤกษ์รีบห้ามบอกทำไม่ได้ โอ๊ย! ป่านเซ็งพ่อคนเถรตรงจริงๆ เลยถามเขาว่าหนี้เท่าไหร่ ป่านยืมอาแก้วมาใช้แทนก็ได้ หลังแต่งงานค่อยทยอยคืนทีหลัง เท่านั้นแหละพี่พฤกษ์โมโหดุป่านใหญ่เลย เรา...เราเลยทะเลาะกัน เกือบเดือนมานี่คุยทีไรต้องทะเลาะกันทุกทีเลยค่ะ”
หลานสาวน้ำตาปริ่ม ผู้เป็นอาส่ายหัว สถานการณ์ตอนนี้คือสิ่งที่มุ่งหวังมาตลอด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ กลับรู้สึกหมดแรงจนต้องเอนพิงพนักโซฟา
“แล้วเคยปรึกษากันไหม ถ้าพฤกษ์ไปอยู่เมืองนอกจะทำยังไงกับการคบหา”
“พี่พฤกษ์ให้รอสักสองสามปี พอเข้าที่เข้าทางเขาจะรับป่านไปอยู่ด้วย แล้วค่อยหาวิธีกลับมาทำงานที่สาขาในไทย ป่านเลยยิ่งโมโหบอกจะรอนานขนาดนั้นได้ไง เขา...เขาก็พูดว่างั้นเลิกกันเถอะ เขาอยากให้ป่านเจอคนที่ดีกว่านี้” สาวน้อยปล่อยโฮ “ป่านไม่ได้อยากเลิก แต่ทำไมพี่พฤกษ์ถึงเห็นครอบครัวมาก่อนตลอด อย่างน้อยฟังป่านสักครั้งไม่ได้หรือ”
ธีร์วราดึงหลานสาวมากอดปลอบขวัญ ปานเรขาร้องไห้จนเพลียหลับไป ตอนที่ธีร์วราดูแลให้สาวน้อยนอนสงบใต้ผ้าห่มในห้องนอนแขก ฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว หล่อนหยิบโทรศัพท์ส่งออกไปหนึ่งข้อความ
เราควรจะคุยกัน พอมีที่เป็นส่วนตัวไหมคะ
*****
สถานที่นัดพบของสุเมธคือร้านอาหารบนดาดฟ้าของตึกสูง ลูกค้าเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น คนแน่นแต่บรรยากาศค่อนข้างสงบ พอบอกชื่อบริกรก็นำทางหล่อนขึ้นชั้นลอยแบบน็อคดาวน์ที่สร้างเหนือบาร์ บนนั้นวางชุดโต๊ะเก้าอี้หวายเรียงแถวเดี่ยวหันรับทิวทัศน์นอกอาคาร ตัวหวายยังสานเป็นแผ่นขึ้นสูงทางด้านหลังแล้วโอบงุ้มลงมาแทนหลังคา บังคนนั่งให้เห็นเพียงเลาๆ เท่านั้น โซฟารูปตัวยูล้อมโต๊ะกระจกขาหวาย เบาะนั่งนุ่มสบายพร้อมหมอนอิง และที่โต๊ะในสุดซึ่งบริกรพามาถึงนั่นเอง สุเมธกำลังนอนทอดตัวตามยาว หลับตานิ่ง
บริกรถามด้วยสายตาว่าจะให้ช่วยปลุกไหม หญิงสาวส่ายหน้า สั่งน้ำแร่แล้วนั่งริมโซฟาตัวยูฝั่งตรงข้าม
ผมสุเมธยุ่งกระเซิงจนอยากช่วยเสยปัด เชิ้ตพับแขนเหนือศอก ม้วนไทด์ส่งๆ ยัดกระเป่าเสื้อ ใบหน้าอิดโรย คงเพราะช่วงนี้อมรา Freedom! ขายดีเกินคาดในตลาดต่างประเทศ เขาน่าจะยุ่งจนหัวหมุน พอได้นั่งบนดาดฟ้าลมโชยเย็นๆ จึงเผลอหลับ หล่อนเองก็เคยผ่านโมงยามแบบนี้มา เลยไม่อยากรบกวนเวลาพักอันมีค่า
ราวห้านาทีสุเมธค่อยลืมตา พอเห็นหล่อนก็รีบลุกนั่ง “ขอโทษด้วยครับ กะพักสายตาแป๊บเดียวดันแท้ๆ คุณแก้วรอนานไหม น่าจะปลุกผม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...” คำพูดที่คิดตามมาหยุดค้าง ในฐานะประธานบอร์ดลายหงส์หล่อนควรคุยอย่างไรเล่า งานหนักไหม คุณคงเหนื่อย อย่าหักโหม มีเป็นล้านประโยคซึ่งคนคุ้นเคยจะเอ่ยด้วยความห่วงใย แต่ระหว่างเขากับหล่อน...คำที่สามารถพูดให้กันกลับน้อยเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้า
สุเมธเขย่าแก้ววิสกี้จนไอซ์บอลกระทบเบาๆ นอกนั้นก็ไร้ซึ่งสุ้มเสียงอื่น ต่างไม่ต้องการเริ่มบทสนทนาที่ทราบจุดจบอยู่แก่ใจ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของสุเมธพลันดังขึ้น ชายหนุ่มขอรับสายเพราะมารดาติดต่อมา
“ครับแม่ อ๋อ กินข้าวเย็นแล้วครับ ตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ คือ...กำลังคุยกับคะ...” รีบกัดลิ้นยั้งคำว่าคุณไว้ทัน “...แก้วเขาน่ะครับแม่ ครับคืนดีกันแล้วครับ หือ? อยากคุยกับแก้วด้วย”
ชายหนุ่มเหลือบมอง ธีร์วราพยักหน้า
“ได้ครับแม่ เดี๋ยวผมส่งโทรศัพท์ให้นะ...” เขาเอียงคอฟังปลายสาย ก่อนปิดหูโทรศัพท์ทำหน้ายุ่งกับหล่อน “แม่อยากคุยเฟชไทม์ครับ ได้ไหม”
หญิงสาวยินดี สุเมธจึงเปลี่ยนโหมดโทรศัพท์พลางหันหน้าจอยื่นให้ ธีร์วรายิ้มแป้นทักทายชมนาดเสียงใส คุยกระหนุงกระหนิงสักพักผู้อาวุโสกว่าเริ่มเอะใจ
“ทำไมพวกเธอนั่งคนละฟาก แล้วแม่จะเจอพร้อมกันได้ไง เปลี่ยนๆ เลยนะ”
ธีร์วราสุเมธต่างมองหน้า ชมนาดยังคงเร่งเร้าไม่หยุดปาก จึงจำใจกระเถิบจากริมโซฟารูปตัวยูทั้งสองด้านมานั่งข้างใน
“แม่ยังไม่เห็นสองคนในจอเลย เถิบอีก”
พวกเขาขยับตามสั่ง จนไหล่แตะกันแล้วต่างสะดุ้งเขินๆ นั่นแหละ ชมนาดถึงพอใจ “ดีๆ ไม่ต้องหมุนจอไปมาแม่เวียนหัว อ้อ...หนูแก้วจะมาฟังแม่ร้องเพลงเมื่อไหร่จ้ะ”
ชมนาดแทนตัวเองว่าแม่อย่างเนียนจนสุเมธแอบเหล่คนข้างกาย แต่นอกจากรอยยิ้มแบบรู้สึกผิดก็ไม่เห็นกิริยาผิดปกติอะไรอีก “ขอโทษนะคะ ช่วงนี้หนูไม่ว่างเลย”
“ไม่เป็นไรจ้ะ มีหนูแก้วอยู่กรุงเทพฯ ก็ดี ช่วยดูๆ เมธเขาแทนแม่ด้วยนะ รายนี้ชอบทำงานจนลืมกินข้าว”
“โธ่! แม่ครับ”
ชมนาดหัวเราะใส่เสียงโอดครวญของบุตรชายก่อนวางหูไป สุเมธเกาจมูกเก้อๆ “ขอโทษนะครับที่ทำคุณอึดอัด”
“ฉันต่างหากต้องขอโทษที่โกหกน้าชมนาดเรื่องจะไปฟังเพลง รู้สึกผิดจังค่ะ”
“อย่าคิดมาก ก็แค่การโกหกสีขาวให้อีกฝ่ายสบายใจ”
ธีร์วราทอดสายตายังความเวิ้งว้างเหนือดาดฟ้า “แล้วที่เราทำกับป่านและพฤกษ์นั่น...ถือเป็นโกหกสีขาวไหมคะ”
สุเมธจิบวิสกี้ สุรารสชาติเยี่ยม สายลมโชยพัดสดชื่น กลับไม่ชวนผ่อนคลายแม้แต่น้อย “พฤกษ์บอกว่าพอเรียนจบจะบินไปทันที ผมอยากให้อยู่รับปริญญาก่อน...แต่เขาไม่เอา”
“บริษัทยอมรับแล้วหรือคะ ทำไมคุยกันง่ายจัง”
“คนรู้จักน่ะ ผมแนะนำพฤกษ์ฝึกงานบริษัทนี้เอง”
คู่เล่ห์เคียงรัก ตอนที่ 20-21
จะว่าเป็นเรื่องงี่เง่าก็ได้ แต่ธีร์วราเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองง้อใครไม่เป็น
ระหว่างหล่อนกับธีทัต สองพี่น้องเคยทะเลาะกันบ่อยครั้ง และทุกทีน้องชายจะเป็นฝ่ายขอคืนดีก่อนเสมอ เมื่อย้อนนึกทบทวนก็ละอายใจ ที่ผ่านมาธีทัตต้องอดทนมากแค่ไหนกัน คราวล่าสุดคงเกินขีดกำจัดเขาแล้ว จึงมึนตึงใส่ตลอดไม่ว่าหล่อนจะพยายามเข้าหาสักเพียงใด จนแม่เริ่มเหล่มองบรรยากาศอึมครึมบนโต๊ะอาหารยามธีร์วราแวะกินข้าวด้วย หญิงสาวกลัวท่านกังวล เลยทำเป็นอ้างเรื่องงานเพื่อไม่ต้องกลับบ้าน
จนวันหนึ่งหล่อนยังอยู่บริษัทฯ หลังเวลาเลิกงานดังเช่นปกติ ปานเรขาก็ติดต่อหาด้วยเสียงสั่นพร่า “อาแก้วขา ป่าน...ป่านขอมาค้างกับอาที่คอนโดฯ นะคะ ไม่อยากกลับบ้าน”
“ป่าน! เกิดอะไรขึ้น”
หลานสาวตอบไปสะอื้นไปจับความแทบไม่ได้นอกจากมีชื่อพฤกษ์หลุดมาเป็นระยะ ธีร์วราตะล่อมถามจนทราบว่าสาวน้อยรออยู่ที่อาคารชุดแล้วแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ให้เข้า โชคดียามคุ้นเคยเสียงธีร์วรา จึงสามารถขอร้องผ่านโทรศัพท์ให้ช่วยพาหลานสาวขึ้นไปตรงส่วนโถงพักคอยประจำชั้นที่หล่อนอาศัย ระหว่างประธานบอร์ดลายหงส์รีบเดินทางกลับ
ทันทีที่ประตูลิฟต์ภายในอาคารชุดเปิดกว้าง ปานเรขาก็ถลาเข้ากอดอาสาวที่อ้าแขนรับ น้ำตาปริ่มซุกหน้ากับอกคนอายุมากกว่า
“ป่านเสียใจค่ะอาแก้ว พี่พฤกษ์ทำกับป่านหยั่งงี้ได้ไง!”
ธีร์วราระบายลมหายใจโล่งอกที่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้เป็นอะไรมาก “ทะเลาะกับพฤกษ์เหรอ”
“ป่านไม่กล้าเล่าให้แม่ฟังค่ะ” สาวน้อยปาดน้ำตา “แต่ขืนร้องไห้อยู่บ้านต้องโดนซักแน่ เลยขอมาค้างกับอาแก้ว”
ธีร์วราช่วยหิ้วกระเป๋าพาเข้าห้อง ปานเรขาเดินไปนั่งคุดคู้ตรงโซฟายาวริมผนังกระจก ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ยามโพล้เพล้แลขมุกขมัว ดวงไฟจากอาคารพร่าเลือนราวหิ่งห้อยทอแสงโรยรา ธีร์วรานั่งข้างสาวน้อย ลูบผมหล่อนเบาๆ
“อยากเล่าไหม”
ปานเรขากัดริมฝีปาก “พี่พฤกษ์บอกว่าเขาได้งานแล้วที่สิงคโปร์ เรียนจบเทอมหน้าเมื่อไหร่ก็บินไปทันที”
มือที่กำลังลูบผมชะงัก “สิงคโปร์? จับผลัดจับผลูไปถึงนั่นได้ยังไง”
“มันเป็นบริษัทที่พี่พฤกษ์เคยฝึกงานนอกเวลาเรียนค่ะ เทอมหน้าก็จะไปฝึกอีกครั้ง เป็นบริษัทร่วมทุนไทย-สิงคโปร์ เห็นว่าที่อยู่สิงคโปร์น่ะแค่ปีแรกเท่านั้น แล้วก็จะโดนย้ายไปอินโดนิเซียอีกที บริษัทเขาทาบทามเด็กฝึกงานทุกคน ส่วนใหญ่ปฏิเสธเพราะต้องห่างบ้านหลายปี แต่เงินมันดีพี่พฤกษ์เลยสนใจมาก เขาอยากคืนเงินที่ครอบครัวยืมอาเมธมาเร็วๆ”
“ฟังดูมีเหตุผลนี่นา”
“แต่ทำไมต้องใจร้อนขนาดนั้น ทำงานเมืองไทยแล้วค่อยๆ เก็บเงินก็ได้ พอบอกงี้พี่พฤกษ์เขาว่าป่านไม่เข้าใจ นอกจากเงินยืมแล้วเขาต้องส่งน้องสองคนเรียนต่อ เก็บเงินให้ที่บ้านด้วย อยู่เมืองไทยทำงานตลอดชาติก็ไม่มีวันใช้หนี้อาเมธหมด”
ธีร์วรายิ้มแห้ง “ก็คิดได้สมกับพฤกษ์ละนะ”
“อาแก้วอย่าเข้าข้างเขาสิคะ!” ปานเรขาทุบตักตัวเอง “ป่านเลยเถียงไป อาเมธรวยแล้วก็ใจดีออกต้องใช้หนี้ทำไม พี่พฤกษ์รีบห้ามบอกทำไม่ได้ โอ๊ย! ป่านเซ็งพ่อคนเถรตรงจริงๆ เลยถามเขาว่าหนี้เท่าไหร่ ป่านยืมอาแก้วมาใช้แทนก็ได้ หลังแต่งงานค่อยทยอยคืนทีหลัง เท่านั้นแหละพี่พฤกษ์โมโหดุป่านใหญ่เลย เรา...เราเลยทะเลาะกัน เกือบเดือนมานี่คุยทีไรต้องทะเลาะกันทุกทีเลยค่ะ”
หลานสาวน้ำตาปริ่ม ผู้เป็นอาส่ายหัว สถานการณ์ตอนนี้คือสิ่งที่มุ่งหวังมาตลอด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ กลับรู้สึกหมดแรงจนต้องเอนพิงพนักโซฟา
“แล้วเคยปรึกษากันไหม ถ้าพฤกษ์ไปอยู่เมืองนอกจะทำยังไงกับการคบหา”
“พี่พฤกษ์ให้รอสักสองสามปี พอเข้าที่เข้าทางเขาจะรับป่านไปอยู่ด้วย แล้วค่อยหาวิธีกลับมาทำงานที่สาขาในไทย ป่านเลยยิ่งโมโหบอกจะรอนานขนาดนั้นได้ไง เขา...เขาก็พูดว่างั้นเลิกกันเถอะ เขาอยากให้ป่านเจอคนที่ดีกว่านี้” สาวน้อยปล่อยโฮ “ป่านไม่ได้อยากเลิก แต่ทำไมพี่พฤกษ์ถึงเห็นครอบครัวมาก่อนตลอด อย่างน้อยฟังป่านสักครั้งไม่ได้หรือ”
ธีร์วราดึงหลานสาวมากอดปลอบขวัญ ปานเรขาร้องไห้จนเพลียหลับไป ตอนที่ธีร์วราดูแลให้สาวน้อยนอนสงบใต้ผ้าห่มในห้องนอนแขก ฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทแล้ว หล่อนหยิบโทรศัพท์ส่งออกไปหนึ่งข้อความ
เราควรจะคุยกัน พอมีที่เป็นส่วนตัวไหมคะ
*****
สถานที่นัดพบของสุเมธคือร้านอาหารบนดาดฟ้าของตึกสูง ลูกค้าเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น คนแน่นแต่บรรยากาศค่อนข้างสงบ พอบอกชื่อบริกรก็นำทางหล่อนขึ้นชั้นลอยแบบน็อคดาวน์ที่สร้างเหนือบาร์ บนนั้นวางชุดโต๊ะเก้าอี้หวายเรียงแถวเดี่ยวหันรับทิวทัศน์นอกอาคาร ตัวหวายยังสานเป็นแผ่นขึ้นสูงทางด้านหลังแล้วโอบงุ้มลงมาแทนหลังคา บังคนนั่งให้เห็นเพียงเลาๆ เท่านั้น โซฟารูปตัวยูล้อมโต๊ะกระจกขาหวาย เบาะนั่งนุ่มสบายพร้อมหมอนอิง และที่โต๊ะในสุดซึ่งบริกรพามาถึงนั่นเอง สุเมธกำลังนอนทอดตัวตามยาว หลับตานิ่ง
บริกรถามด้วยสายตาว่าจะให้ช่วยปลุกไหม หญิงสาวส่ายหน้า สั่งน้ำแร่แล้วนั่งริมโซฟาตัวยูฝั่งตรงข้าม
ผมสุเมธยุ่งกระเซิงจนอยากช่วยเสยปัด เชิ้ตพับแขนเหนือศอก ม้วนไทด์ส่งๆ ยัดกระเป่าเสื้อ ใบหน้าอิดโรย คงเพราะช่วงนี้อมรา Freedom! ขายดีเกินคาดในตลาดต่างประเทศ เขาน่าจะยุ่งจนหัวหมุน พอได้นั่งบนดาดฟ้าลมโชยเย็นๆ จึงเผลอหลับ หล่อนเองก็เคยผ่านโมงยามแบบนี้มา เลยไม่อยากรบกวนเวลาพักอันมีค่า
ราวห้านาทีสุเมธค่อยลืมตา พอเห็นหล่อนก็รีบลุกนั่ง “ขอโทษด้วยครับ กะพักสายตาแป๊บเดียวดันแท้ๆ คุณแก้วรอนานไหม น่าจะปลุกผม”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...” คำพูดที่คิดตามมาหยุดค้าง ในฐานะประธานบอร์ดลายหงส์หล่อนควรคุยอย่างไรเล่า งานหนักไหม คุณคงเหนื่อย อย่าหักโหม มีเป็นล้านประโยคซึ่งคนคุ้นเคยจะเอ่ยด้วยความห่วงใย แต่ระหว่างเขากับหล่อน...คำที่สามารถพูดให้กันกลับน้อยเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้า
สุเมธเขย่าแก้ววิสกี้จนไอซ์บอลกระทบเบาๆ นอกนั้นก็ไร้ซึ่งสุ้มเสียงอื่น ต่างไม่ต้องการเริ่มบทสนทนาที่ทราบจุดจบอยู่แก่ใจ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของสุเมธพลันดังขึ้น ชายหนุ่มขอรับสายเพราะมารดาติดต่อมา
“ครับแม่ อ๋อ กินข้าวเย็นแล้วครับ ตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ คือ...กำลังคุยกับคะ...” รีบกัดลิ้นยั้งคำว่าคุณไว้ทัน “...แก้วเขาน่ะครับแม่ ครับคืนดีกันแล้วครับ หือ? อยากคุยกับแก้วด้วย”
ชายหนุ่มเหลือบมอง ธีร์วราพยักหน้า
“ได้ครับแม่ เดี๋ยวผมส่งโทรศัพท์ให้นะ...” เขาเอียงคอฟังปลายสาย ก่อนปิดหูโทรศัพท์ทำหน้ายุ่งกับหล่อน “แม่อยากคุยเฟชไทม์ครับ ได้ไหม”
หญิงสาวยินดี สุเมธจึงเปลี่ยนโหมดโทรศัพท์พลางหันหน้าจอยื่นให้ ธีร์วรายิ้มแป้นทักทายชมนาดเสียงใส คุยกระหนุงกระหนิงสักพักผู้อาวุโสกว่าเริ่มเอะใจ
“ทำไมพวกเธอนั่งคนละฟาก แล้วแม่จะเจอพร้อมกันได้ไง เปลี่ยนๆ เลยนะ”
ธีร์วราสุเมธต่างมองหน้า ชมนาดยังคงเร่งเร้าไม่หยุดปาก จึงจำใจกระเถิบจากริมโซฟารูปตัวยูทั้งสองด้านมานั่งข้างใน
“แม่ยังไม่เห็นสองคนในจอเลย เถิบอีก”
พวกเขาขยับตามสั่ง จนไหล่แตะกันแล้วต่างสะดุ้งเขินๆ นั่นแหละ ชมนาดถึงพอใจ “ดีๆ ไม่ต้องหมุนจอไปมาแม่เวียนหัว อ้อ...หนูแก้วจะมาฟังแม่ร้องเพลงเมื่อไหร่จ้ะ”
ชมนาดแทนตัวเองว่าแม่อย่างเนียนจนสุเมธแอบเหล่คนข้างกาย แต่นอกจากรอยยิ้มแบบรู้สึกผิดก็ไม่เห็นกิริยาผิดปกติอะไรอีก “ขอโทษนะคะ ช่วงนี้หนูไม่ว่างเลย”
“ไม่เป็นไรจ้ะ มีหนูแก้วอยู่กรุงเทพฯ ก็ดี ช่วยดูๆ เมธเขาแทนแม่ด้วยนะ รายนี้ชอบทำงานจนลืมกินข้าว”
“โธ่! แม่ครับ”
ชมนาดหัวเราะใส่เสียงโอดครวญของบุตรชายก่อนวางหูไป สุเมธเกาจมูกเก้อๆ “ขอโทษนะครับที่ทำคุณอึดอัด”
“ฉันต่างหากต้องขอโทษที่โกหกน้าชมนาดเรื่องจะไปฟังเพลง รู้สึกผิดจังค่ะ”
“อย่าคิดมาก ก็แค่การโกหกสีขาวให้อีกฝ่ายสบายใจ”
ธีร์วราทอดสายตายังความเวิ้งว้างเหนือดาดฟ้า “แล้วที่เราทำกับป่านและพฤกษ์นั่น...ถือเป็นโกหกสีขาวไหมคะ”
สุเมธจิบวิสกี้ สุรารสชาติเยี่ยม สายลมโชยพัดสดชื่น กลับไม่ชวนผ่อนคลายแม้แต่น้อย “พฤกษ์บอกว่าพอเรียนจบจะบินไปทันที ผมอยากให้อยู่รับปริญญาก่อน...แต่เขาไม่เอา”
“บริษัทยอมรับแล้วหรือคะ ทำไมคุยกันง่ายจัง”
“คนรู้จักน่ะ ผมแนะนำพฤกษ์ฝึกงานบริษัทนี้เอง”