ช่วงเวลานี้ กระทั่งในความฝันสุเมธยังไม่กล้าคิด เขากำลังยืนอยู่ในห้องพักส่วนตัวของธีร์วรา ชายหนุ่มทั้งตกใจทั้งสับสน ด้วยปกติหญิงสาวมักเยือกเย็น ควบคุมตัวเองได้ยอดเยี่ยม สิ่งที่หล่อนเพิ่งทำไปไม่ใช่วิสัยของธีร์วราเลย
“เดี๋ยวคุณแก้ว!” สุเมธพยายามฝืนตัว “ผมไปดีกว่า”
แต่หญิงสาวยังคงลากเขาไปถึงบริเวณครัวแถวใกล้ประตู “รู้ไหมตอนฉันเฝ้าพ่อที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ช่วงนั้นแม่แทบไม่มีสติ กายก็ต้องกลับเมืองไทย เหลือฉันคนเดียวแบกเอาไว้ทุกอย่าง คอยแต่วิ่งล้างหน้าไม่ให้หลับเพราะกลัวฝันร้าย” หมุนตัวเผชิญหน้าเขา “มองคุณตอนนี้...เหมือนเห็นตัวเองตอนนั้นเลย”
สุเมธนิ่งอึ้ง หยุดขัดขืนในที่สุด หล่อนดึงเขานั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ในครัวแล้วถึงยอมปล่อยมือ ชายหนุ่มใจหายวูบ
ยามเมื่อความอบอุ่นจากการเกาะกุมหายไปนั่นแหละ จึงเพิ่งรู้สึกว่ามือตนเย็นเฉียบแค่ไหน
“ได้กินข้าวบ้างไหมคะ”
เขาต้องเรียกสติชั่วครู่ถึงตอบคำถามได้ “ดูเหมือนครูจุงจะเอามาวางให้ แต่ผมมัวจัดของแม่แล้วเจอซีดี...”
“เลยขับรถมาที่นี่ยังไม่ได้กินใช่ไหมคะ” หล่อนต่อประโยคพลางส่ายศีรษะ หันไปเปิดตู้เย็น “สปาเก็ตตี้คงกินได้นะคะ”
เขาห้ามด้วยความเกรงใจแต่ธีร์วราไม่ฟัง สักพักจานอาหารก็วางตรงหน้าแถมมีเจ้าของห้องคอยกอดอกมอง จึงจำใจตักเข้าปาก พออีกทีก็หมดเกลี้ยงแล้ว เล่นเอาเขาจ้องจานเปล่าอึ้งๆ ไม่ยักรู้ตัวเลยว่าหิว
ธีร์วราเก็บจาน “พยายามกินให้เป็นเวลานะคะ”
“นั่นสิ” ตอบด้วยดวงตาหม่นเศร้า “แม่เองก็ชอบบ่นแบบนี้บ่อยๆ...” เขาเงียบไป ส่วนหล่อนวางแก้วน้ำให้พลางว่า
“ได้ระบายเรื่องน้าชมนาดกับใครบ้างหรือยังคะ”
“ผมเสียใจที่แม่ตายกะทันหัน ถึงงั้นก็ไม่ใช่เรื่องต้องบอกใครนี่ครับ”
“วิธีจัดการความเศร้ามีหลายแบบนะคะ แต่การเก็บกดไว้คนเดียวไม่ใช่หนึ่งในวิธีพวกนั้นแน่ๆ” ชายหนุ่มเงยหน้า หล่อนจ้องตอบอย่างไม่หลบตา “แค่มองก็รู้ ในความเสียใจของคุณ...มันมีความเกลียดชังอยู่ด้วย”
เขาเบิกตากว้าง “เห็นชัดขนาดนั้นเชียว” แล้วคำตอบพลันตามมาติดๆ ระหว่างพวกเขาที่เคยรู้ใจราวเป็นคนเดียวกันยังมีอะไรปิดบังได้อีกหรือ สุเมธก้มหัวยอมรับ “ผม...เกลียดตัวเอง”
“ที่น้าชมนาดเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดใคร อย่าโทษตัวเองสิคะ”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้โกรธตัวเองเรื่องนั้น แต่มัน...” สุเมธลูบหน้า กัดปากแน่น หญิงสาวถอนใจรับรู้
“ความรู้สึกคาราคาซังทิ้งไว้รังแต่จะแย่ หาคนไว้ใจระบายออกมาเถอะค่ะ อย่างครูจุง...”
อีกฝ่ายส่ายหน้าตัดบท “ช่วงนี้ครูยุ่งมากทั้งงานศพและที่เจ้าพฤกษ์จะไปนอก ไม่อยากให้แกเครียดเรื่องผมอีก”
“งั้นคุณครามล่ะคะ”
ลายคราม...การระลึกถึงเพื่อนสนิทยิ่งทำให้หัวคิ้วขมวดมุ่น พักหลังลายครามทำตัวห่างเหินแปลกๆ กับเขาตลอด มาดีขึ้นหน่อยตอนช่วงงานศพแม่ แต่หลังจากนั้นบิดาลายครามก็ป่วยหนักจนเพื่อนยุ่งหัวปั่น สุเมธไม่อยากสุมปัญหาใส่อีกฝ่ายมากเกินไปนัก
“อย่ากวนเจ้าครามเลยครับ”
“อือ ครูจุงก็ไม่เอา คุณครามก็ไม่ได้ งั้นคุณคงเหลือแค่ฉันแล้วละค่ะ”
แววตาคนพูดยั่วเย้าแต่กลับสัมผัสชัดถึงความห่วงใย หัวใจอ่อนยวบ...ชายหนุ่มเริ่มแยกแยะไม่ออกแล้วว่าเขานั้นอ่อนแอยามอยู่ใกล้หล่อน หรือเพราะยามอ่อนแอถึงอยากมาอยู่ใกล้หล่อนกันแน่
“ผมไม่เห็นเหตุผลที่ต้องรบกวนคุณขนาดนั้น”
“ใครว่า เหตุผลมีออกเยอะแยะ” คนเจ้าเหตุผลแจกแจงคล่องปาก “อย่างแรกเพราะคุณเคยบอกว่าแคร์ฉัน ฉะนั้นฉันก็มีสิทธิแคร์คุณได้เหมือนกัน ส่วนข้อสองคุณระบายกับฉันได้เต็มที่เพราะฉันเก็บความลับเก่งจะตาย หรือคุณจะปฏิเสธ”
“ต่อให้ปฏิเสธคุณก็ไม่ฟังหรอก ดื้อเหมือนเดิมเลยนะครับ”
หญิงสาวค้อนวงเล็กที่น่ารักนักหนา “และอีกอย่าง ลองสังเกตห้องฉันดูสิคะ”
เขาทำตาม ตรงที่นั่งอยู่คือเคาน์เตอร์ยาวขวางระหว่างครัวกับทางเดินจนถึงห้องนอนสองห้อง ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องนั่งเล่นต่อกับระเบียงกว้าง ผนังกระจกกั้นด้วยม่านหนาหนักแหวกเป็นช่องพอให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำ มุมด้านในติดระเบียงวางเก้าอี้นวมสำหรับเอนนอนข้างตู้หนังสือ เห็นชัดจากสภาพหนังสือเบียดแออัดบนนั้นว่าไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์แขก กำแพงแขวนรูปวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่สองรูป เป็นภาพทิวทัศน์เหมือนจริงแต่การสะบัดแปรงให้สีดูฟุ้งๆ ฝันๆ จะว่าไปห้องนี้ก็คล้ายนิสัยธีร์วรา มองเผินๆ เหมือนเจ้าระเบียบ เย็นชาเหินห่าง แต่ที่จริงอ่อนไหว...สดใสคล้ายแดดยามเช้าที่อบอุ่นแต่ไม่ร้อนแรง
“ห้องคุณเหมือนรังนกครับ ส่วนห้องผมน่ะรังหนู”
หล่อนจ้องแขกเคืองๆ เวลาแบบนี้ยังอุตส่าห์มีอารมณ์พูดเล่น
“ฉันอยากให้คุณดูว่าที่นี่ไม่ใช่บริษัทลายหงส์ ฉะนั้นคนที่อยู่กับคุณก็ไม่ใช่เจ้าของลายหงส์เหมือนกัน เป็นแค่เพื่อนของคุณเท่านั้น เพื่อนที่จะไม่ตัดสินใดๆ ถึงสิ่งที่คุณพยายามเก็บซ่อนไว้จะทำให้คุณเกลียดตัวเอง แต่ฉัน...ไม่มีวันเกลียดคุณหรอกค่ะ”
ความรู้สึกของการถูกเติมเต็มมันคงเป็นเช่นนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนสุเมธกำลังล้าสุดขีด ปกติถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะหนีไปหาแม่ แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้...บ้านที่เคยมีแม่กลายเป็นอดีตเสียแล้ว เบื้องหน้ามืดมัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าอาคารชุดของธีร์วรา เดินดุ่มเข้าไปแม้ทราบแก่ใจว่าคงได้รับเพียงความผิดหวัง
แต่แล้วหล่อนก็ปรากฏตัวตรงหน้า มอบความอบอุ่น เติมเต็มความหิวโหย หยิบยื่นสายตาและถ้อยคำที่อยากฟังใจแทบขาด ละลายกำแพงในหัวใจแล้วเผยส่วนลึกที่เขาเองก็ไม่เคยทราบว่าตนมี...แต่ธีร์วรากลับค้นพบอย่างง่ายดาย
สุเมธทอดสายตาลง น้ำเสียงตัวเองเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล “วันนี้ตอนเก็บของในห้องนอนแม่ นอกจากซีดีนั่นแล้วผมยังเจอไดอารี่ที่แม่เคยเขียนไว้...”
ปลายประโยคเบาลงเรื่อยๆ หญิงสาวจึงกระตุ้นถาม “ในไดอารี่มีอะไรหรือคะ”
ชายหนุ่มยกมือบังริมฝีปาก เป็นนานกว่าจะยอมลดมือลง “แม่ผมมาจากครอบครัวหาเช้ากินค่ำ พอจบมอปลายเลยออกมาทำอาชีพนักร้องตระเวนตามงานแต่ง งานเลี้ยงทั่วไป แล้วมีผมกับผู้ชายที่พร้อมจะปัดความรับผิดชอบต่อพวกเรา ตาของผมพยายามเค้นชื่อผู้ชายคนนั้นหวังเรียกค่าเสียหาย แต่แม่ไม่ยอมบอก ตาโกรธไล่แม่จากบ้าน แม่เลยหอบผมออกมาอยู่กันลำพัง เลี้ยงตัวด้วยอาชีพนักร้องตามร้านอาหาร”
จู่ๆ เขากลับเปลี่ยนเรื่อง ทว่าธียายังคงฟังไปเงียบๆ
“พอผมจำความได้ ทุกๆ วันจะเริ่มด้วยการตื่นมาเห็นแม่อยู่ข้างๆ รอปลุกกินข้าวเช้า ไปส่งที่โรงเรียนเย็นก็รับกลับ ดูผมทำการบ้านส่วนตัวเองทำงานบ้านไปด้วย จับผมเข้านอนแล้วถึงไปทำงานที่ร้านอาหารข้างๆ พยายามหลบงานแวะมาดูผมตอนหลับเท่าที่ทำได้ แต่บางทีผมก็ตื่นกลางดึกโดยไม่เห็นใคร ต้องเดินไปเงี่ยหูแถวหน้าต่าง รอจนได้ยินแม่ร้องเพลงถึงหลับได้อีกครั้ง” แววตาของสุเมธยามเล่าเรื่องดูอ่อนโยน...โหยหา “พวกเรามีเงินแค่พอประทังต่อวัน ถ้าไม่ได้ยายของผมแอบสั่งน้า...คนที่เป็นพ่อพฤกษ์นั่นน่ะ คอยส่งเงินช่วยบ้าง เราแม่ลูกคงแย่กว่านั้นเยอะ”
“ชีวิตลำบากน่าดูเลยนะคะ” ธีร์วราผู้เกิดมาด้วยความรักและการดูแลพรั่งพร้อมจากพ่อแม่ นึกสภาพดังกล่าวไม่ออกจริงๆ
“เด็กน่ะครับคุณแก้ว แค่มีกิน มีเพื่อนเล่น มีแม่อยู่ใกล้ๆ จะรู้สึกลำบากที่ไหนกัน” เขากลืนน้ำลายช้าๆ “นั่นจนผมโตพอจะเริ่มรู้ถึงความแตกต่างระหว่างฐานะตัวเองกับเพื่อน โดนล้อว่าเป็นลูกนักร้องหากิน พอโดนล้อหนักเข้าถึงลองสังเกต ปกติแม่จะกลับมานอนกับผมทุกคืน แต่มีบางคืนที่กว่าจะกลับก็เช้า ส่งผมไปโรงเรียนแทบไม่ทัน มันมักเป็นช่วงที่แม่จำเป็นต้องใช้เงิน อย่างเวลาผมใกล้เปิดเทอมหรือผมป่วยต้องเสียค่ารักษา ถึงงั้นผมก็ยังไม่เข้าใจ จนวันหนึ่งแอบเห็นแม่ที่เพิ่งกลับมาตอนเช้า กำเงินหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำ ผม...ผมควรจะเข้าไปปลอบท่าน พูดให้ท่านรู้สึกดี แต่ผม...ทำไม่ได้ นอกจากยืนแข็งทื่อตรงนั้นแล้วผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
ความเงียบลอยอ้อยอิ่งระหว่างพวกเขา สุเมธทอดสายตาลงต่ำกว่าเดิม พื้นเคาน์เตอร์หินแกรนิตสะท้อนเงาของเขาเลือนราง เปล่งเสียงเบาเสียยิ่งกว่าคำกระซิบ
“หลังจากนั้นผมโตขึ้น เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มัน...” เขาหลับตาคล้ายไม่อยากเห็นกระทั่งเงาพร่าเลือนของตัวเอง “ถ้าผมไม่เกิดมา แม่คงสบายกว่านี้มาก...”
“ไม่จริงหรอกค่ะ อย่างน้อยที่สุดน้าชมนาดก็ไม่เคยคิดอย่างนั้นแน่ๆ”
สุเมธเลิกเปลือกตา ธีร์วรามองมาจากฝั่งตรงข้าม ไร้ซึ่งวี่แววรังเกียจหรือตัดพ้อที่เขาปิดบังความจริงเรื่องแม่ ดวงตาคู่นั้นยังคงกระจ่างเยือกเย็นดังเคยเป็นมาตลอด และเขาก็ต้องการแค่นี้ ผู้รับฟังโดยไม่ตัดสินใดๆ มองทุกอย่างตามที่มันควรเป็น ไม่ได้อยากเจอความสงสารหดหู่ซึ่งทำให้เกลียดตัวเองมากกว่าเดิม
คู่เล่ห์เคียงรัก ตอนที่ 22
“เดี๋ยวคุณแก้ว!” สุเมธพยายามฝืนตัว “ผมไปดีกว่า”
แต่หญิงสาวยังคงลากเขาไปถึงบริเวณครัวแถวใกล้ประตู “รู้ไหมตอนฉันเฝ้าพ่อที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ช่วงนั้นแม่แทบไม่มีสติ กายก็ต้องกลับเมืองไทย เหลือฉันคนเดียวแบกเอาไว้ทุกอย่าง คอยแต่วิ่งล้างหน้าไม่ให้หลับเพราะกลัวฝันร้าย” หมุนตัวเผชิญหน้าเขา “มองคุณตอนนี้...เหมือนเห็นตัวเองตอนนั้นเลย”
สุเมธนิ่งอึ้ง หยุดขัดขืนในที่สุด หล่อนดึงเขานั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ในครัวแล้วถึงยอมปล่อยมือ ชายหนุ่มใจหายวูบ
ยามเมื่อความอบอุ่นจากการเกาะกุมหายไปนั่นแหละ จึงเพิ่งรู้สึกว่ามือตนเย็นเฉียบแค่ไหน
“ได้กินข้าวบ้างไหมคะ”
เขาต้องเรียกสติชั่วครู่ถึงตอบคำถามได้ “ดูเหมือนครูจุงจะเอามาวางให้ แต่ผมมัวจัดของแม่แล้วเจอซีดี...”
“เลยขับรถมาที่นี่ยังไม่ได้กินใช่ไหมคะ” หล่อนต่อประโยคพลางส่ายศีรษะ หันไปเปิดตู้เย็น “สปาเก็ตตี้คงกินได้นะคะ”
เขาห้ามด้วยความเกรงใจแต่ธีร์วราไม่ฟัง สักพักจานอาหารก็วางตรงหน้าแถมมีเจ้าของห้องคอยกอดอกมอง จึงจำใจตักเข้าปาก พออีกทีก็หมดเกลี้ยงแล้ว เล่นเอาเขาจ้องจานเปล่าอึ้งๆ ไม่ยักรู้ตัวเลยว่าหิว
ธีร์วราเก็บจาน “พยายามกินให้เป็นเวลานะคะ”
“นั่นสิ” ตอบด้วยดวงตาหม่นเศร้า “แม่เองก็ชอบบ่นแบบนี้บ่อยๆ...” เขาเงียบไป ส่วนหล่อนวางแก้วน้ำให้พลางว่า
“ได้ระบายเรื่องน้าชมนาดกับใครบ้างหรือยังคะ”
“ผมเสียใจที่แม่ตายกะทันหัน ถึงงั้นก็ไม่ใช่เรื่องต้องบอกใครนี่ครับ”
“วิธีจัดการความเศร้ามีหลายแบบนะคะ แต่การเก็บกดไว้คนเดียวไม่ใช่หนึ่งในวิธีพวกนั้นแน่ๆ” ชายหนุ่มเงยหน้า หล่อนจ้องตอบอย่างไม่หลบตา “แค่มองก็รู้ ในความเสียใจของคุณ...มันมีความเกลียดชังอยู่ด้วย”
เขาเบิกตากว้าง “เห็นชัดขนาดนั้นเชียว” แล้วคำตอบพลันตามมาติดๆ ระหว่างพวกเขาที่เคยรู้ใจราวเป็นคนเดียวกันยังมีอะไรปิดบังได้อีกหรือ สุเมธก้มหัวยอมรับ “ผม...เกลียดตัวเอง”
“ที่น้าชมนาดเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดใคร อย่าโทษตัวเองสิคะ”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้โกรธตัวเองเรื่องนั้น แต่มัน...” สุเมธลูบหน้า กัดปากแน่น หญิงสาวถอนใจรับรู้
“ความรู้สึกคาราคาซังทิ้งไว้รังแต่จะแย่ หาคนไว้ใจระบายออกมาเถอะค่ะ อย่างครูจุง...”
อีกฝ่ายส่ายหน้าตัดบท “ช่วงนี้ครูยุ่งมากทั้งงานศพและที่เจ้าพฤกษ์จะไปนอก ไม่อยากให้แกเครียดเรื่องผมอีก”
“งั้นคุณครามล่ะคะ”
ลายคราม...การระลึกถึงเพื่อนสนิทยิ่งทำให้หัวคิ้วขมวดมุ่น พักหลังลายครามทำตัวห่างเหินแปลกๆ กับเขาตลอด มาดีขึ้นหน่อยตอนช่วงงานศพแม่ แต่หลังจากนั้นบิดาลายครามก็ป่วยหนักจนเพื่อนยุ่งหัวปั่น สุเมธไม่อยากสุมปัญหาใส่อีกฝ่ายมากเกินไปนัก
“อย่ากวนเจ้าครามเลยครับ”
“อือ ครูจุงก็ไม่เอา คุณครามก็ไม่ได้ งั้นคุณคงเหลือแค่ฉันแล้วละค่ะ”
แววตาคนพูดยั่วเย้าแต่กลับสัมผัสชัดถึงความห่วงใย หัวใจอ่อนยวบ...ชายหนุ่มเริ่มแยกแยะไม่ออกแล้วว่าเขานั้นอ่อนแอยามอยู่ใกล้หล่อน หรือเพราะยามอ่อนแอถึงอยากมาอยู่ใกล้หล่อนกันแน่
“ผมไม่เห็นเหตุผลที่ต้องรบกวนคุณขนาดนั้น”
“ใครว่า เหตุผลมีออกเยอะแยะ” คนเจ้าเหตุผลแจกแจงคล่องปาก “อย่างแรกเพราะคุณเคยบอกว่าแคร์ฉัน ฉะนั้นฉันก็มีสิทธิแคร์คุณได้เหมือนกัน ส่วนข้อสองคุณระบายกับฉันได้เต็มที่เพราะฉันเก็บความลับเก่งจะตาย หรือคุณจะปฏิเสธ”
“ต่อให้ปฏิเสธคุณก็ไม่ฟังหรอก ดื้อเหมือนเดิมเลยนะครับ”
หญิงสาวค้อนวงเล็กที่น่ารักนักหนา “และอีกอย่าง ลองสังเกตห้องฉันดูสิคะ”
เขาทำตาม ตรงที่นั่งอยู่คือเคาน์เตอร์ยาวขวางระหว่างครัวกับทางเดินจนถึงห้องนอนสองห้อง ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องนั่งเล่นต่อกับระเบียงกว้าง ผนังกระจกกั้นด้วยม่านหนาหนักแหวกเป็นช่องพอให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำ มุมด้านในติดระเบียงวางเก้าอี้นวมสำหรับเอนนอนข้างตู้หนังสือ เห็นชัดจากสภาพหนังสือเบียดแออัดบนนั้นว่าไม่ได้มีไว้ตั้งโชว์แขก กำแพงแขวนรูปวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่สองรูป เป็นภาพทิวทัศน์เหมือนจริงแต่การสะบัดแปรงให้สีดูฟุ้งๆ ฝันๆ จะว่าไปห้องนี้ก็คล้ายนิสัยธีร์วรา มองเผินๆ เหมือนเจ้าระเบียบ เย็นชาเหินห่าง แต่ที่จริงอ่อนไหว...สดใสคล้ายแดดยามเช้าที่อบอุ่นแต่ไม่ร้อนแรง
“ห้องคุณเหมือนรังนกครับ ส่วนห้องผมน่ะรังหนู”
หล่อนจ้องแขกเคืองๆ เวลาแบบนี้ยังอุตส่าห์มีอารมณ์พูดเล่น
“ฉันอยากให้คุณดูว่าที่นี่ไม่ใช่บริษัทลายหงส์ ฉะนั้นคนที่อยู่กับคุณก็ไม่ใช่เจ้าของลายหงส์เหมือนกัน เป็นแค่เพื่อนของคุณเท่านั้น เพื่อนที่จะไม่ตัดสินใดๆ ถึงสิ่งที่คุณพยายามเก็บซ่อนไว้จะทำให้คุณเกลียดตัวเอง แต่ฉัน...ไม่มีวันเกลียดคุณหรอกค่ะ”
ความรู้สึกของการถูกเติมเต็มมันคงเป็นเช่นนี้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนสุเมธกำลังล้าสุดขีด ปกติถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะหนีไปหาแม่ แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้...บ้านที่เคยมีแม่กลายเป็นอดีตเสียแล้ว เบื้องหน้ามืดมัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าอาคารชุดของธีร์วรา เดินดุ่มเข้าไปแม้ทราบแก่ใจว่าคงได้รับเพียงความผิดหวัง
แต่แล้วหล่อนก็ปรากฏตัวตรงหน้า มอบความอบอุ่น เติมเต็มความหิวโหย หยิบยื่นสายตาและถ้อยคำที่อยากฟังใจแทบขาด ละลายกำแพงในหัวใจแล้วเผยส่วนลึกที่เขาเองก็ไม่เคยทราบว่าตนมี...แต่ธีร์วรากลับค้นพบอย่างง่ายดาย
สุเมธทอดสายตาลง น้ำเสียงตัวเองเหมือนลอยมาจากที่ไกลแสนไกล “วันนี้ตอนเก็บของในห้องนอนแม่ นอกจากซีดีนั่นแล้วผมยังเจอไดอารี่ที่แม่เคยเขียนไว้...”
ปลายประโยคเบาลงเรื่อยๆ หญิงสาวจึงกระตุ้นถาม “ในไดอารี่มีอะไรหรือคะ”
ชายหนุ่มยกมือบังริมฝีปาก เป็นนานกว่าจะยอมลดมือลง “แม่ผมมาจากครอบครัวหาเช้ากินค่ำ พอจบมอปลายเลยออกมาทำอาชีพนักร้องตระเวนตามงานแต่ง งานเลี้ยงทั่วไป แล้วมีผมกับผู้ชายที่พร้อมจะปัดความรับผิดชอบต่อพวกเรา ตาของผมพยายามเค้นชื่อผู้ชายคนนั้นหวังเรียกค่าเสียหาย แต่แม่ไม่ยอมบอก ตาโกรธไล่แม่จากบ้าน แม่เลยหอบผมออกมาอยู่กันลำพัง เลี้ยงตัวด้วยอาชีพนักร้องตามร้านอาหาร”
จู่ๆ เขากลับเปลี่ยนเรื่อง ทว่าธียายังคงฟังไปเงียบๆ
“พอผมจำความได้ ทุกๆ วันจะเริ่มด้วยการตื่นมาเห็นแม่อยู่ข้างๆ รอปลุกกินข้าวเช้า ไปส่งที่โรงเรียนเย็นก็รับกลับ ดูผมทำการบ้านส่วนตัวเองทำงานบ้านไปด้วย จับผมเข้านอนแล้วถึงไปทำงานที่ร้านอาหารข้างๆ พยายามหลบงานแวะมาดูผมตอนหลับเท่าที่ทำได้ แต่บางทีผมก็ตื่นกลางดึกโดยไม่เห็นใคร ต้องเดินไปเงี่ยหูแถวหน้าต่าง รอจนได้ยินแม่ร้องเพลงถึงหลับได้อีกครั้ง” แววตาของสุเมธยามเล่าเรื่องดูอ่อนโยน...โหยหา “พวกเรามีเงินแค่พอประทังต่อวัน ถ้าไม่ได้ยายของผมแอบสั่งน้า...คนที่เป็นพ่อพฤกษ์นั่นน่ะ คอยส่งเงินช่วยบ้าง เราแม่ลูกคงแย่กว่านั้นเยอะ”
“ชีวิตลำบากน่าดูเลยนะคะ” ธีร์วราผู้เกิดมาด้วยความรักและการดูแลพรั่งพร้อมจากพ่อแม่ นึกสภาพดังกล่าวไม่ออกจริงๆ
“เด็กน่ะครับคุณแก้ว แค่มีกิน มีเพื่อนเล่น มีแม่อยู่ใกล้ๆ จะรู้สึกลำบากที่ไหนกัน” เขากลืนน้ำลายช้าๆ “นั่นจนผมโตพอจะเริ่มรู้ถึงความแตกต่างระหว่างฐานะตัวเองกับเพื่อน โดนล้อว่าเป็นลูกนักร้องหากิน พอโดนล้อหนักเข้าถึงลองสังเกต ปกติแม่จะกลับมานอนกับผมทุกคืน แต่มีบางคืนที่กว่าจะกลับก็เช้า ส่งผมไปโรงเรียนแทบไม่ทัน มันมักเป็นช่วงที่แม่จำเป็นต้องใช้เงิน อย่างเวลาผมใกล้เปิดเทอมหรือผมป่วยต้องเสียค่ารักษา ถึงงั้นผมก็ยังไม่เข้าใจ จนวันหนึ่งแอบเห็นแม่ที่เพิ่งกลับมาตอนเช้า กำเงินหลบไปร้องไห้ในห้องน้ำ ผม...ผมควรจะเข้าไปปลอบท่าน พูดให้ท่านรู้สึกดี แต่ผม...ทำไม่ได้ นอกจากยืนแข็งทื่อตรงนั้นแล้วผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
ความเงียบลอยอ้อยอิ่งระหว่างพวกเขา สุเมธทอดสายตาลงต่ำกว่าเดิม พื้นเคาน์เตอร์หินแกรนิตสะท้อนเงาของเขาเลือนราง เปล่งเสียงเบาเสียยิ่งกว่าคำกระซิบ
“หลังจากนั้นผมโตขึ้น เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มัน...” เขาหลับตาคล้ายไม่อยากเห็นกระทั่งเงาพร่าเลือนของตัวเอง “ถ้าผมไม่เกิดมา แม่คงสบายกว่านี้มาก...”
“ไม่จริงหรอกค่ะ อย่างน้อยที่สุดน้าชมนาดก็ไม่เคยคิดอย่างนั้นแน่ๆ”
สุเมธเลิกเปลือกตา ธีร์วรามองมาจากฝั่งตรงข้าม ไร้ซึ่งวี่แววรังเกียจหรือตัดพ้อที่เขาปิดบังความจริงเรื่องแม่ ดวงตาคู่นั้นยังคงกระจ่างเยือกเย็นดังเคยเป็นมาตลอด และเขาก็ต้องการแค่นี้ ผู้รับฟังโดยไม่ตัดสินใดๆ มองทุกอย่างตามที่มันควรเป็น ไม่ได้อยากเจอความสงสารหดหู่ซึ่งทำให้เกลียดตัวเองมากกว่าเดิม