ตะวันพลัดฟ้า

กระทู้สนทนา
เคยโพสมาแล้วแต่ติดธุระเลยไม่ได้อัพต่อเนื่อง
วันนี้เอามาปรับแก้ไขเพิ่มเติม หวังว่าคงจะชอบกันนะคะ
เรื่องราวของเจ้านางเมืองเหนือที่พลัดถิ่นมาอยู่ยุโรป กรุ่นไอรักหอมหวาน อีกทั้งยังต้องทำภารกิจของบ้านเมืองให้ลุล่วง

หวานนิดๆ เศร้าหน่อยๆ ลุ้นระทึกอยู่เรื่อยๆ กับภารกิจตามล่าหาสมบัติ และความยอกย้อนซ่อนกลของคนรอบข้าง
มาร่วมกันลุ้นนะคะ

-----
บทนำ
    ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยามห้าทุ่มผู้คนแน่นขนัดทั้งผู้โดยสารชาวไทยและต่างประเทศ ต่างคนต่างสาละวนอยู่กับข้าวของสัมภาระของตัวเอง ไม่มีใครใส่ใจใครมากนัก หากกระนั้น หญิงสาวร่างเพรียวในชุดกระโปรงยาวสีครีมทับด้วยแจ็กเก็ตสีงาช้างเข้ารูปก็อดประหม่ามิได้เมื่อเข็นรถขนกระเป๋าเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินสัญชาติอาหรับ หัวใจเต้นระรัว นึกอุปาทานไปว่า คนรอบข้างกำลังจ้องมองเธออยู่พร้อมกับส่งสายตาสงสัย ราวกับจะรู้ว่าเธอเป็นใคร
    หญิงสาวหันไปหาสตรีร่างท้วมวัยหกสิบเศษในชุดกางเกงผ้าป่านสีน้ำตาลเข้ม ตัดเย็บอย่างประณีต พยักหน้าเป็นสัญญาณรู้กัน จากนั้นหญิงชราผู้นั้นจึงหยิบหนังสือเดินทางของเธอส่งให้สตรีสาวอย่างนอบน้อม
    “ไปแมนเชสเตอร์ ไฟลท์ตีสองนะคะ” พนักงานสายการบินรับหนังสือเดินทางทั้งสองเล่มมาแล้วทวนเที่ยวบินเพื่อความมั่นใจ ผู้โดยสารสาวยิ้มรับน้อยๆ พยายามระงับความตื่นเต้นที่ทำให้มือของเธอสั่นระริก
    พนักงานสาวพิจารณาหนังสือเดินทางของหญิงชุดน้ำตาลอย่างไม่สู้ใส่ใจนัก หากเมื่อถึงหนังสือเดินทางของสาวน้อยหน้าตาพริ้มเพราตรงหน้า หล่อนก็ชะงักไปหน่อยเมื่อเห็นนามที่ปรากฏ อีกทั้งยังมีบัตรทำจากหนังนิ่มสีน้ำตาล ลงตราประทับสีทองรูปดวงอาทิตย์ พร้อมอักษรย่อสองตัวไขว้กันเสียบไว้ด้านในหนังสือเดินทาง หล่อนจึงเงยหน้ายิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยนที่สุด
    “จะอัพเกรดเป็นเฟิร์สคลาสไหมคะ”
    ดวงตากลมโตมีร่องรอยลังเลพาดผ่าน หล่อนจดจำมาเพียงแต่ว่าจองบัตรโดยสารเดินทางชั้นประหยัด แต่ ‘ที่บ้าน’ ยืนกรานว่าแม้ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจยามเดินทาง หากชั้นประหยัดจะทำให้คนไม่เคยคุ้นกับการเดินทางด้วยเครื่องบินอย่างหล่อนลำบาก จึงจองชั้นธุรกิจให้เพราะหล่อนยืนยันว่าไม่ต้องการความเอิกเริก หรือฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น
    อันที่จริงหล่อนก็ไม่รู้หรอกว่าชั้นเฟิร์สคลาสที่ว่านั้นเป็นอย่างไร จะว่าไปชั้นประหยัดหรือชั้นธุรกิจเป็นอย่างไรเธอก็ไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากไม่เคยโดยสารเครื่องบินร่วมกับผู้โดยสารแปลกหน้ามาก่อน
    “ไม่ค่ะ”
    “แต่เรียนเชิญที่เลานจ์ของเฟิร์สคลาสได้นะคะ” พนักงานภาคพื้นดินส่งยิ้มหวานให้อีกครั้ง ก่อนจะหันไปพยักเพยิดให้ชายหนุ่มที่ยืนจังก้าอยู่ตรงสายพานกระเป๋า
    “ต๋อม มาช่วยยกกระเป๋า...ท่านหน่อย”
    ชายร่างใหญ่ที่ชื่อต๋อมรับคำแข็งขัน กุลีกุจอช่วยยกกระเป๋าของสตรีสาวร่างอรชรและสตรีวัยกลางคนที่ดูจะมีความสำคัญ หญิงสาวหันไปมองเคาน์เตอร์ข้างเคียง ผู้โดยสารล้วนต้องยกกระเป๋าวางบนสายพานเพื่อวัดน้ำหนักด้วยตัวเอง ไม่มีใครมีคนช่วยอย่างหล่อน
    หญิงสาวบิดมือไปมาด้วยความกังวล นึกกลัวไปสารพัดว่าคนจะจำได้ กลัวว่านาทีใดนาทีหนึ่ง จะมีคนปราดเข้ามาขัดขวางการเดินทางและพาหล่อน ‘กลับบ้าน’
ไม่เคยคุ้นมาก่อนจึงไม่รู้ว่าสนามบินนานาชาติแห่งนี้มีบุคคลสำคัญที่มากด้วยยศศักดิ์ ฐานันดร หรือทรัพย์สินเดินทางสัญจรตลอดเวลา มิมีใครนำพาหรือเพ่งเล็งผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างหล่อนมากมายนัก
    พนักงานสาวยื่นบัตรโดยสารให้หล่อนอย่างนอบน้อม รอยยิ้มยังคงประดับแต่งแต้มไว้อย่างงดงาม
    “เรียบร้อยค่ะ ขึ้นเครื่องได้เวลา...ที่ประตู...” หล่อนวงตัวเลขเวลาบนบัตรโดยสารให้ “เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
    ร่างในชุดสีงาช้างพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะค่อยหันหลังเดินจากมาโดยมีร่างท้วมในชุดผ้าป่านเดินตามอย่างนอบน้อม ขณะที่หญิงสาวดูลังเลเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ครู่หนึ่งหล่อนเห็นร่างสูงใหญ่ ผมสีทองแซมเงินแบบชาวยุโรปของชายที่คุ้นเคยจึงค่อยฉีกยิ้มกว้าง สาวเท้าเดินตรงไปที่นายฝรั่งชราหน้าตาเป็นมิตร
    “อาจารย์เจมส์ นึกว่าจะไม่มาส่งข้าเจ้าเสียแล้ว”

    “เจ้าที่ไหนล่ะพี่”
    เมื่อคล้อยหลังสาวน้อยร่างอรชรที่บัดนี้กำลังยืนสนทนากับฝรั่งสูงอายุท่าทางภูมิฐาน เด็กหนุ่มผิวเข้มตัวใหญ่หนา คนขนกระเป๋าก็ถามรุ่นพี่ผู้เป็นพนักงานภาคพื้นดินทันที
    “เวียงสรองตา” หญิงสาวตอบทันควัน
    “เวียงอะไรมีสองตา สามตาไม่ได้รึ” เด็กหนุ่มหัวเราะร่วน ขณะที่อีกฝ่ายค้อนควับ
    “ลามปามนะเรา...สะกดว่า สรอง เหมือนอ่าน สะ-หรอง แต่อ่านว่าสอง แปลว่าดินแดนสวรรค์ชั้นฟ้า”
    “โอ้โห ความรู้แน่นมาก ว่าแต่ประเทศอะไรเนี่ย ไม่เคยได้ยินชื่อเลย อยู่แถวไหนหรือ”
    “ทางเหนือนู่น แถวเชียงราย เชียงตุง สิบสองปันนา อะไรแถวๆ นั้นล่ะฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ไกลนะ มีแต่ภูเขา ไปยาก”
    “โห...เดี๋ยวนี้ยังมีคุ้ม มีเวียง เจ้าหลวง เจ้านางอะไรอย่างนี้อยู่อีกหรือนี่ แล้วคนเมื่อกี้เขาเป็นเจ้าหญิงหรือ น่ารักดีนะ”
    เขานึกถึงสาวน้อยหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต ผมยาวดำขลับขมวดเป็นมวยต่ำอยู่บริเวณท้ายทอยอย่างเรียบร้อย กิริยาดูนิ่มนวล สบายตา
    เอวิกาทำหน้าคิดครู่หนึ่ง
    “ก็คงใช่มั้ง แค่รู้สึกว่าดูเรียบง่ายมากๆ เลยเจ้าหญิงประเทศนี้”
    เธอนึกถึงท่าทางของเจ้านายเวียงสรองตาเมื่อครู่ ดูเรียบร้อย ไม่ถือตัวหากสง่างามอยู่ในที เสื้อผ้าสีนวลสวยงามประณีตดูพอเหมาะพอเจาะหากไม่สามารถระบุไปได้ว่าเป็นสินค้าแบรนด์ดังยี่ห้อใด ทั้งที่มั่นใจว่ามีสายตาคมเฉียบแหลม มองปราดเดียวก็บอกได้ว่าเครื่องแต่งกายสวยงามนั้นมาจากดีไซเนอร์คนใด อีกทั้งก็เคยชินว่าพวกเจ้านายราชวงศ์ต่างๆ หรือคนเด่นคนดังทั้งหลาย ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราจากห้องเสื้อชั้นนำทั้งนั้น
    หากชุดกระโปรงยาวผ้ามัสลินสีครีมเรียบนั้นหล่อนแน่ใจว่าไม่เคยผ่านตามาก่อน หากมันก็ทำให้ผู้สวมใส่ดูภูมิฐานหากก็ลำลองสบายเหมาะแก่การเดินทางดี
    ส่วนกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเบจที่เจ้าตัวคล้องไว้อยู่นั่นเล่า ช่างเรียบแสนเรียบ หากตัวผ้าต่างหากเล่าที่สวยงามจนแทบไม่ต้องมีลวดลายหรือลูกเล่นใดๆ คงจะเป็นผ้าไหมผ้าทอจากทางบ้านเมืองนั้นกระมัง
    “ไม่มีคนติดตามแวดล้อมอะไรเลยนะ มีแต่คุณป้าคนนั้น” คนพูดหมายถึงสตรีร่างท้วมที่ดูอย่างไรก็คงเป็นผู้ติดตาม
    “ฝรั่งคนนั้นก็คงมาส่ง ฉันว่าคงมีสักคนล่ะที่คอยดูแลตอนตรวจพาสปอร์ต ตม.” หล่อนหมายถึงขั้นตอนตรวจคนเข้า-ออกเมืองที่จะต้องมีการตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่าอย่างเป็นทางการ “จะให้เจ้าหญิงเจ้านางต่อคิวตรวจพาสปอร์ตก็คงแปลกๆ ล่ะ”
    “อายุเท่าไหร่ล่ะ ผมว่าไม่ถึงสิบแปดแน่ๆ”
    “ย่างสิบเก้าแล้วย่ะ” อีกฝ่ายตอบทันควัน
    “โห พี่แม่นมาก ดูพาสปอร์ตเค้าแป๊บเดียวจำได้ทุกรายละเอียด”
    “ชมใช่ไหม”
    “แล้วเค้าไปทำอะไรที่แมนเชสเตอร์ล่ะพี่ ไปเชียร์บอลเหรอ” รุ่นน้องหนุ่มถามยียวน
    “ฉันจะไปรู้เหรอ อยากรู้ทำไมแกไม่ถามเค้าเองล่ะเมื่อกี้” คนเป็นรุ่นพี่แหวเสียงเขียว
    “มัวแต่ดูเพลิน เพราะน่ารักดี” ต๋อมหัวเราะร่วน “ว่าแต่เจ้านาง เจ้าหญิงองค์นี้ชื่ออะไรล่ะพี่...เผื่อผมจะลองไปเสิร์ชกูเกิ้ลดู”
    หญิงสาวตรึกตรองถึงนามบนหนังสือเดินทางและบัตรหนังประทับตราอาทิตย์สีทอง เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
    “เอื้องอริน แห่งราชสกุลอโณทัย เวียงสรองตา”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่