ตอนที่ 9
ช่วงพิธีการสำคัญในค่ำคืนงานแต่งงานของอนลกับดอกอ้อผ่านพ้นไปท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุข หลังจากนั้นแขกผู้มาร่วมงานก็เริ่มทยอยเดินทางกลับ เหลือเพียงเพื่อนสนิทของฝ่ายเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวที่ยังอยู่พูดคุยสังสรรค์กันเพราะนานๆจะได้รวมตัวกันสักที บ่อยครั้งที่รวิวารอดใจไม่ไหวต้องหยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพบรรยากาศเก็บไว้ โดยเฉพาะช่วงที่คู่บ่าวสาวมาทักทายและร่วมพูดคุยที่โต๊ะ
“มางานวันนี้แล้ว ต้องตามไปงานที่เชียงใหม่กันด้วยนะ รับรองสนุกกว่านี้แน่ๆ”
เจ้าบ่าวหมาดๆเอ่ยชวนทุกคนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
“ไปแน่ๆค่ะพี่โอ๊ต อยากไปเที่ยวไร่ที่พี่โอ๊ตกับอ้อถ่ายพรีเว้ดดิ้งด้วย ป่านถ่ายมาสวยมากๆเลยค่ะ “
กุลภาตอบรับคำชวนของชายหนุ่มอย่างไม่ลังเล
“สรุปแกอยากไปงานฉันหรืออยากไปเที่ยวไร่กันแน่กล้วย ไว้ให้ป่านพาไปสิ เดี๋ยวป่านก็จะได้ไปทำงานที่นั่นแล้ว”
ดอกอ้อหมายถึงงานที่รวิวารรับเป็นช่างภาพของกองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังเตรียมความพร้อมเดินทางไปถ่ายทำที่ไร่ทะเลเมฆเร็วๆนี้
ระหว่างกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินมาก็ทำเอาทั้งโต๊ะถึงกับชะงักและหยุดการสนทนาไปโดยอัตโนมัติ
“จะมาบอกลากลับบ้านแล้วนะโอ๊ต ยินดีด้วยอีกครั้งว่ะเพื่อน ยินดีด้วยจริงๆนะครับน้องอ้อ”
เตวิชบอกพลางตบไหล่แสดงความยินดีกับอนล ขณะที่อีกมือหนึ่งก็จับมือแฟนสาวไว้แน่น
“ขอบคุณมากค่ะพี่เต”
ดอกอ้อพนมมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม และอดไม่ได้ที่จะปรายตามองไปยังเพื่อนสนิทที่นั่งสงบนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
“คุณโอ๊ตกับคุณดอกอ้อ อย่าลืมไปร่วมงานของเราสองคนด้วยนะคะ เพื่อนๆทุกคนด้วยนะคะ”
หญิงสาวคนรักของเตวิชบอกกับคู่บ่าวสาวและทุกคนรอบตัวอย่างเป็นมิตร ก่อนที่ทั้งคู่จะชวนกันเดินแยกไป ช่วงเวลาอันแสนอึดในความรู้สึกของรวิวารดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเพื่อนๆสนิทดูเหมือนจะเข้าใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะดอกอ้อ
“ป่าน มาถ่ายรูปด้วยกันอีกรูปเร็ว วันนี้เรายังไม่มีรูปคู่กันเลย ”
ดอกอ้อเดินไปโอบไหล่เพื่อนสนิทให้หันไปหาช่างภาพที่ยือรอกดชัตเตอร์อยู่
“อ้อ เดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดฉี่”
รวิวารกระซิบบอก หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก่อนจะเดินออกไป โดยมีสายตาของเพื่อนๆคอยมองตามอย่างเป็นห่วง
“ฉันว่าฉันตามไปดูหน่อยดีกว่า กลัวคิดมากจัง”
กุลภาทำท่าจะเดินตามไปแต่ดอกอ้อดึงแขนไว้
“ไม่ต้องหรอกกล้วย ป่านไม่เป็นไรหรอก แกก็รู้ว่า บางทีมันก็เป็นแบบนี้ ชอบหนีไปอยู่คนเดียว ไม่ชอบให้ใครยุ่งด้วย เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละน่า”
ถึงจะยังมีท่าทางลังเล หากกุลภาก็ยอมทำตามที่ดอกอ้อบอกด้วยการนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิม
“แล้วพี่ภูไปไหนแล้วล่ะกล้วย ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้กับป่านตลอดไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เขาหายไปตั้งแต่ช่วงที่แกกับพี่โอ๊ตลงมาจากเวทีแล้ว ไม่รู้มีธุระที่ไหนต่อรึเปล่า”
“พี่ว่าน่าจะอยู่แถวๆนี้มั้ง วันนี้มีเพื่อนที่มาจากเชียงใหม่หลายคนที่พักค้างคืนที่นี่ ไอ้ภูมันคงไปสังสรรค์กับพวกเพื่อนๆนั่นแหละ”
อนลพูดยังไม่ทันขาดคำ คนที่ถูกพูดถึงก็เดินตรงเข้ามาพอดี
“เฮ้ย โอ๊ต ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆทางโน้นกันหน่อย ทุกคนรอแกอยู่ ขอตัวเจ้าบ่าวแป๊บนึงนะครับน้องอ้อ”
“ก็ไปด้วยกันเลยสิ ให้อ้อไปถ่ายด้วย”
อนลตอบพลางจูงมือเจ้าสาวเดินตามภูผาไปด้วยกัน
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ด้านนอกห้องจัดเลี้ยง ในบริเวณระเบียงที่ปราศจากผู้คน รวิวารยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นคนเดียว หญิงสาวไม่ได้ไปห้องน้ำตามที่บอกเพื่อนๆไว้ หากเลือกมาหลบมุมอยู่คนเดียวตรงนี้ ภาพเตวิชที่จับจูงมือหญิงสาวคนรักไว้ตลอดงาน แม้จะเป็นภาพที่ไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ แต่มันกลับตามมาคอยหลอกหลอนไม่เลิก การพบเจอกันครั้งนี้ ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ตรงกันข้ามต่างฝ่ายต่างทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะวันนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มีคนข้างกายมาด้วย จะให้มาทำตัวสนิทสนมคุ้นเคยก็คนที่เป็นเพียงอดีต ก็ใช่เรื่อง
“มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว”
รวิวารสะดุ้งนิดๆอย่างไม่อยากเชื่อหู หญิงสาวหันหลังกลับมองเจ้าของเสียงด้วยแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน
“ไหนว่าจะกลับแล้วไงคะ”
เตวิชระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“พี่ถามว่ามายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ทำไมไม่ตอบ ผู้ชายคนที่คอยเดินตามป่านเป็นเงา เขาหายไปไหนแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของพี่เต พี่น่าจะรีบกลับไปหาคนของพี่นะคะ แต่ถ้ายังไม่ไป ป่านไปเองก็ได้”
หญิงสาวบอกเสียแข็งก่อนเดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่อยากจะหนีหน้าชายหนุ่มไปให้ไกล แต่ไม่อยากกลับเข้าไปในงานแต่งงาน ทำให้รวิวารเลือกที่จะเดินเลี่ยงไปตามทางที่ไร้ผู้คนของโรงแรม ทว่า เสียงฝีเท้าของเตวิชก็ยังตามมาไม่ห่างพร้อมด้วยเสียงเรียกของเขา
“ป่าน เดี๋ยวก่อน ทำไมต้องหนีพี่ด้วย เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
ยิ่งได้ยินสิ่งที่เขาพูด รวิวารก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และด้วยความที่รีบจนไม่ทันระมัดระวัง จึงทำให้ไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งที่โผล่มาคว้าตัวเธอไว้จนเกิดเป็นแรงปะทะกันทำเอาหญิงสาวเสียหลักเกือบล้ม หากอีกฝ่ายไม่ประคองไว้เสียก่อน
“ดูเหมือนคุณกำลังต้องการความช่วยเหลือนะ”
รวิวารจำเสียงพูดของชายหนุ่มได้ทันที หญิงสาวเงยหน้ามองสบตาที่ไร้ความรู้สึกของเขาเหมือนไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
แล้วอยู่ดีๆเขาก็พาเธอเข้าไปในลิฟท์ที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่มีใครพูดอะไรเลย
“ถ้าคุณกำลังหนีเขา สบายใจได้ ลิฟท์ตัวนี้สำหรับ ผู้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น”
หญิงสาวสังเกตเห็นตอนเขาสแกนลายนิ้วมือก่อนประตูลิฟท์จะเปิดแล้วก็พอเข้าใจ
“ขอบคุณมากนะคะ คุณพฤกษ์”
“รู้สึกว่า จะเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ที่คุณหนีผู้ชายคนนั้น ครั้งแรกก็ตอนคอนเสิร์ต”
“คุณจำได้ ?”
หญิงสาวถามกลับอย่างแปลกใจ พฤกษ์เพียงแต่พยักหน้า และประตูลิฟท์ก็เปิดออก รวิวารเดินตามเขาออกมาแล้วกวาดตามองไปรอบๆบริเวณที่ดูเหมือนจะเป็นไพรเวท ลอบบี้ อันโอ่โถง ชั้นใดชั้นหนึ่งของโรงแรมที่ไม่คุ้นตาเท่าใดนัก เดาไม่ยากว่าน่าจะเป็นชั้นที่พักส่วนตัวของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของโรงแรม
“นั่งตรงนี้สักพัก จนกว่าคุณจะสบายใจแล้วค่อยกลับเข้าไปในงานก็ได้”
“คุณออกมาจากงานนานแล้วเหรอคะ”
รวิวารถามเมื่อทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวหนึ่งด้วยท่าทางผ่อนคลายมากขึ้น
“สักพัก พอดีว่านบ่นง่วงนอน”
เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่ พลัน เสียงโทรศัพท์มือถือของรวิวารก็ดังขึ้น หญิงสาวเดาผิดไปจากตอนแรกที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนๆโทรมาตามตัว แต่กลับกลายเป็นเสียงโทรศัพท์จากผู้เป็นพ่อนั่นเอง
“ค่ะ เดี๋ยวไม่เกินชั่วโมงก็กลับแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ”
พฤกษ์คอยมองอิริยาบถของหญิงสาวตลอดเวลาระหว่างที่เธอสนทนาทางโทรศัพท์กับบิดา ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็วางสาย
“ขอบคุณคุณพฤกษ์อีกครั้งนะคะ แต่ฉันคงต้องลงไปที่งานแล้ว เดี๋ยวเพื่อนๆจะสงสัย ว่าทำไมหายไปนาน”
หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ
“ก็ไปสิครับ เดี๋ยวผมพาไป เพราะผมก็ยังไม่ได้บอกลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวเหมือนกัน”
เมื่อทั้งสองหนุ่มสาวกลับเข้ามาในงานอีกครั้งก็พบว่า ในงานแทบไม่มีเหลือใครอยู่แล้ว นอกจากคู่บ่าวสาวกับเพื่อนสนิทราวๆไม่เกิน 10 คน ทุกคนดูแปลกใจมากที่เห็นทั้งคู่เดินมาด้วยกัน
“ไอ้พฤกษ์ หายหัวไปเลยนะแก แล้วน้องว่านล่ะวะ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย”
อนลถามแบบไม่จริงจังนัก
“หลับไปแล้ว เพิ่งไปส่งเข้านอนมา”
“โห น้องสาวแกนี่เป็นเด็กอนามัยสุดๆ ผิดกับน้องชายฝาแฝดแก ตอนนี้ไปเมาอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
“แล้วแกกับน้องอ้อ ยังมาทำอะไรกันอยู่เนี่ย ยังไม่ถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหออีกเหรอ”
พฤกษ์ถามอย่างสงสัย อนลหันไปหัวเราะกับเจ้าสาวอย่างอารมณ์ดี
“เออ ฉันเข้าใจคนไม่มีประสบการณ์อย่างแกว่ะพฤกษ์ ฤกษ์ส่งตัวมันผ่านไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงเช้า หลังฤกษ์หมั้น ตอนนี้ขอเวลาอยู่ฉลองกับเพื่อนๆก่อน “
“ว่าแต่ ป่านกับพี่พฤกษ์ไปเจอกันตอนไหนคะเนี่ย ถึงกลับมาพร้อมกันได้”
ดอกอ้อถามยิ้มๆ แต่ก็ทำให้คนถูกถามทั้งสองแทบจะตอบไม่ถูก
“บังเอิญเจอน่ะ เลยเดินเข้ามาพร้อมกัน เดี๋ยวอีกไม่เกินชั่วโมงต้องกลับแล้วนะ พ่อโทรมาตามแล้ว”
“งั้นก็เดี๋ยวกลับพร้อมกัน ฉันไปส่งเอง”
กุลภาเอ่ยขึ้นพลางส่งแก้วเครื่องดื่มให้เพื่อน รวิวารเองก็รับมาดื่มอย่างยินดี และไม่ลืมที่จะส่งอีกแก้วให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วย
มนต์เมฆา ตอนที่ 9
ช่วงพิธีการสำคัญในค่ำคืนงานแต่งงานของอนลกับดอกอ้อผ่านพ้นไปท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแห่งความสุข หลังจากนั้นแขกผู้มาร่วมงานก็เริ่มทยอยเดินทางกลับ เหลือเพียงเพื่อนสนิทของฝ่ายเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวที่ยังอยู่พูดคุยสังสรรค์กันเพราะนานๆจะได้รวมตัวกันสักที บ่อยครั้งที่รวิวารอดใจไม่ไหวต้องหยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพบรรยากาศเก็บไว้ โดยเฉพาะช่วงที่คู่บ่าวสาวมาทักทายและร่วมพูดคุยที่โต๊ะ
“มางานวันนี้แล้ว ต้องตามไปงานที่เชียงใหม่กันด้วยนะ รับรองสนุกกว่านี้แน่ๆ”
เจ้าบ่าวหมาดๆเอ่ยชวนทุกคนด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
“ไปแน่ๆค่ะพี่โอ๊ต อยากไปเที่ยวไร่ที่พี่โอ๊ตกับอ้อถ่ายพรีเว้ดดิ้งด้วย ป่านถ่ายมาสวยมากๆเลยค่ะ “
กุลภาตอบรับคำชวนของชายหนุ่มอย่างไม่ลังเล
“สรุปแกอยากไปงานฉันหรืออยากไปเที่ยวไร่กันแน่กล้วย ไว้ให้ป่านพาไปสิ เดี๋ยวป่านก็จะได้ไปทำงานที่นั่นแล้ว”
ดอกอ้อหมายถึงงานที่รวิวารรับเป็นช่างภาพของกองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังเตรียมความพร้อมเดินทางไปถ่ายทำที่ไร่ทะเลเมฆเร็วๆนี้
ระหว่างกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังเดินมาก็ทำเอาทั้งโต๊ะถึงกับชะงักและหยุดการสนทนาไปโดยอัตโนมัติ
“จะมาบอกลากลับบ้านแล้วนะโอ๊ต ยินดีด้วยอีกครั้งว่ะเพื่อน ยินดีด้วยจริงๆนะครับน้องอ้อ”
เตวิชบอกพลางตบไหล่แสดงความยินดีกับอนล ขณะที่อีกมือหนึ่งก็จับมือแฟนสาวไว้แน่น
“ขอบคุณมากค่ะพี่เต”
ดอกอ้อพนมมือไหว้พร้อมรอยยิ้ม และอดไม่ได้ที่จะปรายตามองไปยังเพื่อนสนิทที่นั่งสงบนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
“คุณโอ๊ตกับคุณดอกอ้อ อย่าลืมไปร่วมงานของเราสองคนด้วยนะคะ เพื่อนๆทุกคนด้วยนะคะ”
หญิงสาวคนรักของเตวิชบอกกับคู่บ่าวสาวและทุกคนรอบตัวอย่างเป็นมิตร ก่อนที่ทั้งคู่จะชวนกันเดินแยกไป ช่วงเวลาอันแสนอึดในความรู้สึกของรวิวารดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเพื่อนๆสนิทดูเหมือนจะเข้าใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะดอกอ้อ
“ป่าน มาถ่ายรูปด้วยกันอีกรูปเร็ว วันนี้เรายังไม่มีรูปคู่กันเลย ”
ดอกอ้อเดินไปโอบไหล่เพื่อนสนิทให้หันไปหาช่างภาพที่ยือรอกดชัตเตอร์อยู่
“อ้อ เดี๋ยวฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดฉี่”
รวิวารกระซิบบอก หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก่อนจะเดินออกไป โดยมีสายตาของเพื่อนๆคอยมองตามอย่างเป็นห่วง
“ฉันว่าฉันตามไปดูหน่อยดีกว่า กลัวคิดมากจัง”
กุลภาทำท่าจะเดินตามไปแต่ดอกอ้อดึงแขนไว้
“ไม่ต้องหรอกกล้วย ป่านไม่เป็นไรหรอก แกก็รู้ว่า บางทีมันก็เป็นแบบนี้ ชอบหนีไปอยู่คนเดียว ไม่ชอบให้ใครยุ่งด้วย เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละน่า”
ถึงจะยังมีท่าทางลังเล หากกุลภาก็ยอมทำตามที่ดอกอ้อบอกด้วยการนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิม
“แล้วพี่ภูไปไหนแล้วล่ะกล้วย ก่อนหน้านี้ก็เห็นนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้กับป่านตลอดไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เขาหายไปตั้งแต่ช่วงที่แกกับพี่โอ๊ตลงมาจากเวทีแล้ว ไม่รู้มีธุระที่ไหนต่อรึเปล่า”
“พี่ว่าน่าจะอยู่แถวๆนี้มั้ง วันนี้มีเพื่อนที่มาจากเชียงใหม่หลายคนที่พักค้างคืนที่นี่ ไอ้ภูมันคงไปสังสรรค์กับพวกเพื่อนๆนั่นแหละ”
อนลพูดยังไม่ทันขาดคำ คนที่ถูกพูดถึงก็เดินตรงเข้ามาพอดี
“เฮ้ย โอ๊ต ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆทางโน้นกันหน่อย ทุกคนรอแกอยู่ ขอตัวเจ้าบ่าวแป๊บนึงนะครับน้องอ้อ”
“ก็ไปด้วยกันเลยสิ ให้อ้อไปถ่ายด้วย”
อนลตอบพลางจูงมือเจ้าสาวเดินตามภูผาไปด้วยกัน
ขณะที่อีกมุมหนึ่ง ด้านนอกห้องจัดเลี้ยง ในบริเวณระเบียงที่ปราศจากผู้คน รวิวารยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นคนเดียว หญิงสาวไม่ได้ไปห้องน้ำตามที่บอกเพื่อนๆไว้ หากเลือกมาหลบมุมอยู่คนเดียวตรงนี้ ภาพเตวิชที่จับจูงมือหญิงสาวคนรักไว้ตลอดงาน แม้จะเป็นภาพที่ไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ แต่มันกลับตามมาคอยหลอกหลอนไม่เลิก การพบเจอกันครั้งนี้ ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ตรงกันข้ามต่างฝ่ายต่างทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะวันนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มีคนข้างกายมาด้วย จะให้มาทำตัวสนิทสนมคุ้นเคยก็คนที่เป็นเพียงอดีต ก็ใช่เรื่อง
“มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว”
รวิวารสะดุ้งนิดๆอย่างไม่อยากเชื่อหู หญิงสาวหันหลังกลับมองเจ้าของเสียงด้วยแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน
“ไหนว่าจะกลับแล้วไงคะ”
เตวิชระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“พี่ถามว่ามายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ทำไมไม่ตอบ ผู้ชายคนที่คอยเดินตามป่านเป็นเงา เขาหายไปไหนแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของพี่เต พี่น่าจะรีบกลับไปหาคนของพี่นะคะ แต่ถ้ายังไม่ไป ป่านไปเองก็ได้”
หญิงสาวบอกเสียแข็งก่อนเดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่อยากจะหนีหน้าชายหนุ่มไปให้ไกล แต่ไม่อยากกลับเข้าไปในงานแต่งงาน ทำให้รวิวารเลือกที่จะเดินเลี่ยงไปตามทางที่ไร้ผู้คนของโรงแรม ทว่า เสียงฝีเท้าของเตวิชก็ยังตามมาไม่ห่างพร้อมด้วยเสียงเรียกของเขา
“ป่าน เดี๋ยวก่อน ทำไมต้องหนีพี่ด้วย เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
ยิ่งได้ยินสิ่งที่เขาพูด รวิวารก็ยิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และด้วยความที่รีบจนไม่ทันระมัดระวัง จึงทำให้ไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งที่โผล่มาคว้าตัวเธอไว้จนเกิดเป็นแรงปะทะกันทำเอาหญิงสาวเสียหลักเกือบล้ม หากอีกฝ่ายไม่ประคองไว้เสียก่อน
“ดูเหมือนคุณกำลังต้องการความช่วยเหลือนะ”
รวิวารจำเสียงพูดของชายหนุ่มได้ทันที หญิงสาวเงยหน้ามองสบตาที่ไร้ความรู้สึกของเขาเหมือนไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
แล้วอยู่ดีๆเขาก็พาเธอเข้าไปในลิฟท์ที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่มีใครพูดอะไรเลย
“ถ้าคุณกำลังหนีเขา สบายใจได้ ลิฟท์ตัวนี้สำหรับ ผู้ที่มีสิทธิ์เท่านั้น”
หญิงสาวสังเกตเห็นตอนเขาสแกนลายนิ้วมือก่อนประตูลิฟท์จะเปิดแล้วก็พอเข้าใจ
“ขอบคุณมากนะคะ คุณพฤกษ์”
“รู้สึกว่า จะเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ที่คุณหนีผู้ชายคนนั้น ครั้งแรกก็ตอนคอนเสิร์ต”
“คุณจำได้ ?”
หญิงสาวถามกลับอย่างแปลกใจ พฤกษ์เพียงแต่พยักหน้า และประตูลิฟท์ก็เปิดออก รวิวารเดินตามเขาออกมาแล้วกวาดตามองไปรอบๆบริเวณที่ดูเหมือนจะเป็นไพรเวท ลอบบี้ อันโอ่โถง ชั้นใดชั้นหนึ่งของโรงแรมที่ไม่คุ้นตาเท่าใดนัก เดาไม่ยากว่าน่าจะเป็นชั้นที่พักส่วนตัวของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของโรงแรม
“นั่งตรงนี้สักพัก จนกว่าคุณจะสบายใจแล้วค่อยกลับเข้าไปในงานก็ได้”
“คุณออกมาจากงานนานแล้วเหรอคะ”
รวิวารถามเมื่อทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวหนึ่งด้วยท่าทางผ่อนคลายมากขึ้น
“สักพัก พอดีว่านบ่นง่วงนอน”
เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอยู่ พลัน เสียงโทรศัพท์มือถือของรวิวารก็ดังขึ้น หญิงสาวเดาผิดไปจากตอนแรกที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนๆโทรมาตามตัว แต่กลับกลายเป็นเสียงโทรศัพท์จากผู้เป็นพ่อนั่นเอง
“ค่ะ เดี๋ยวไม่เกินชั่วโมงก็กลับแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ”
พฤกษ์คอยมองอิริยาบถของหญิงสาวตลอดเวลาระหว่างที่เธอสนทนาทางโทรศัพท์กับบิดา ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็วางสาย
“ขอบคุณคุณพฤกษ์อีกครั้งนะคะ แต่ฉันคงต้องลงไปที่งานแล้ว เดี๋ยวเพื่อนๆจะสงสัย ว่าทำไมหายไปนาน”
หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจ
“ก็ไปสิครับ เดี๋ยวผมพาไป เพราะผมก็ยังไม่ได้บอกลาเจ้าบ่าวเจ้าสาวเหมือนกัน”
เมื่อทั้งสองหนุ่มสาวกลับเข้ามาในงานอีกครั้งก็พบว่า ในงานแทบไม่มีเหลือใครอยู่แล้ว นอกจากคู่บ่าวสาวกับเพื่อนสนิทราวๆไม่เกิน 10 คน ทุกคนดูแปลกใจมากที่เห็นทั้งคู่เดินมาด้วยกัน
“ไอ้พฤกษ์ หายหัวไปเลยนะแก แล้วน้องว่านล่ะวะ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย”
อนลถามแบบไม่จริงจังนัก
“หลับไปแล้ว เพิ่งไปส่งเข้านอนมา”
“โห น้องสาวแกนี่เป็นเด็กอนามัยสุดๆ ผิดกับน้องชายฝาแฝดแก ตอนนี้ไปเมาอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
“แล้วแกกับน้องอ้อ ยังมาทำอะไรกันอยู่เนี่ย ยังไม่ถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหออีกเหรอ”
พฤกษ์ถามอย่างสงสัย อนลหันไปหัวเราะกับเจ้าสาวอย่างอารมณ์ดี
“เออ ฉันเข้าใจคนไม่มีประสบการณ์อย่างแกว่ะพฤกษ์ ฤกษ์ส่งตัวมันผ่านไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงเช้า หลังฤกษ์หมั้น ตอนนี้ขอเวลาอยู่ฉลองกับเพื่อนๆก่อน “
“ว่าแต่ ป่านกับพี่พฤกษ์ไปเจอกันตอนไหนคะเนี่ย ถึงกลับมาพร้อมกันได้”
ดอกอ้อถามยิ้มๆ แต่ก็ทำให้คนถูกถามทั้งสองแทบจะตอบไม่ถูก
“บังเอิญเจอน่ะ เลยเดินเข้ามาพร้อมกัน เดี๋ยวอีกไม่เกินชั่วโมงต้องกลับแล้วนะ พ่อโทรมาตามแล้ว”
“งั้นก็เดี๋ยวกลับพร้อมกัน ฉันไปส่งเอง”
กุลภาเอ่ยขึ้นพลางส่งแก้วเครื่องดื่มให้เพื่อน รวิวารเองก็รับมาดื่มอย่างยินดี และไม่ลืมที่จะส่งอีกแก้วให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วย