credit : thanonline.com
------
นักวิเคราะห์ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็น"เท่ากับตลาด" เหตุการเมืองยังไร้ทางออก งานประมูลภาครัฐสะดุด ส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุน 4 หุ้นรับเหมา อิตาเลียนไทย ,ช.การช่าง ,ซิโน-ไทย, ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง ด้านบริษัทรับเหมาก่อสร้างวิศวกรรมไม่กระทบ โตโยไทยเผยรับงานต่างประเทศ 70% มั่นใจปีนี้ปิดรายได้ รายได้ปีนี้พุ่ง 30% กอดงานในมือ 3.1 หมื่นล้าน
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็น" เท่ากับตลาด" จากก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักลงทุน"มากกว่าตลาด"โดยให้เหตุผลว่าแม้ปัญหาการเปิดประมูลงานใหม่จากภาครัฐที่ล่าช้า จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแต่ภาวะการเมืองในประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพ ถือเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่มีความอ่อนไหวสูงเกี่ยวกับแผนการลงทุนจากภาครัฐ
ทั้งนี้หลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา ทำให้การเปิดประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จากภาครัฐที่มีความพร้อมสูง ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้ม ต้องสะดุดลง โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-4 เดือน เพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการและเป็นผู้อนุมัติโครงการ ขณะที่แหล่งเงินที่ใช้ในการดำเนินโครงการตาม พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ต้องรอคำชี้ขาดจากศาลว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้รับคดีไว้พิจารณา
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์บล.เอเซีย พลัสฯ คาดว่าหากถูกตัดสินว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ การเปิดประมูลโครงการต่างๆ อาจต้องล่าช้าออกไปอีก เนื่องจากต้องรอการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือการกู้เงินภายใต้ พ.ร.บ หนี้สาธารณะ โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาที่แทบไม่มีการเปิดประมูลงานขนาดใหญ่จากภาครัฐออกมาเลย
จากปัจจัยดังกล่าวมองว่าจะทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่อย่าง บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD),บมจ.ช.การช่าง(CK),บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และบมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) มีงานในมือ(แบ็กล็อก)ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2556 แม้จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้า แต่หากสถานการณ์ดังกล่าวยังยืดเยื้อต่อไป ก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรในอนาคต
สำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างเฉพาะทางด้านวิศวกรรม อย่าง บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น (TTCL),บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ(STPI) และบมจ.ศรีราชา คอนสตรัคชั่น(SRICHA)ต่างไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ เนื่องจากลูกค้าของบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชนในต่างประเทศที่ยังมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยความได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงานรวมไปถึงคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ทำให้ TTCL,STPI และ SRICHA ยังมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สดใสในช่วง 2 ปีข้างหน้า อีกทั้งโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่งด้วยการดำรงสถานะเป็นเงินสดทำให้บริษัทเหล่านี้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่น่าจูงใจ โดยเฉพาะ SRICHA ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 7%
นายกอบชัย ธนสุกาญจน์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงิน และนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.โตโย-ไทย กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองไม่ได้ส่งผลต่อบริษัท เนื่องจากงานส่วนใหญ่ของบริษัทประมาณ 60-70% เป็นงานต่างประเทศ ซึ่งรับเหมาก่อสร้างในส่วนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้า โดยปี 2556 บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีก่อนมีรายได้รวม 1.15 หมื่นล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,905 วันที่ 15 - 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ลดเกรดลงทุนหุ้นรับเหมา งานประมูลรัฐสะดุดกระทบ ITD CK STEC
------
นักวิเคราะห์ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็น"เท่ากับตลาด" เหตุการเมืองยังไร้ทางออก งานประมูลภาครัฐสะดุด ส่งผลลบต่อจิตวิทยาการลงทุน 4 หุ้นรับเหมา อิตาเลียนไทย ,ช.การช่าง ,ซิโน-ไทย, ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง ด้านบริษัทรับเหมาก่อสร้างวิศวกรรมไม่กระทบ โตโยไทยเผยรับงานต่างประเทศ 70% มั่นใจปีนี้ปิดรายได้ รายได้ปีนี้พุ่ง 30% กอดงานในมือ 3.1 หมื่นล้าน
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็น" เท่ากับตลาด" จากก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักลงทุน"มากกว่าตลาด"โดยให้เหตุผลว่าแม้ปัญหาการเปิดประมูลงานใหม่จากภาครัฐที่ล่าช้า จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแต่ภาวะการเมืองในประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพ ถือเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่มีความอ่อนไหวสูงเกี่ยวกับแผนการลงทุนจากภาครัฐ
ทั้งนี้หลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา ทำให้การเปิดประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จากภาครัฐที่มีความพร้อมสูง ไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีส้ม ต้องสะดุดลง โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-4 เดือน เพื่อรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการและเป็นผู้อนุมัติโครงการ ขณะที่แหล่งเงินที่ใช้ในการดำเนินโครงการตาม พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ต้องรอคำชี้ขาดจากศาลว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หลังเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้รับคดีไว้พิจารณา
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์บล.เอเซีย พลัสฯ คาดว่าหากถูกตัดสินว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ การเปิดประมูลโครงการต่างๆ อาจต้องล่าช้าออกไปอีก เนื่องจากต้องรอการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือการกู้เงินภายใต้ พ.ร.บ หนี้สาธารณะ โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาที่แทบไม่มีการเปิดประมูลงานขนาดใหญ่จากภาครัฐออกมาเลย
จากปัจจัยดังกล่าวมองว่าจะทำให้บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่อย่าง บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD),บมจ.ช.การช่าง(CK),บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และบมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) มีงานในมือ(แบ็กล็อก)ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2556 แม้จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้า แต่หากสถานการณ์ดังกล่าวยังยืดเยื้อต่อไป ก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรในอนาคต
สำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างเฉพาะทางด้านวิศวกรรม อย่าง บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น (TTCL),บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ(STPI) และบมจ.ศรีราชา คอนสตรัคชั่น(SRICHA)ต่างไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ เนื่องจากลูกค้าของบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชนในต่างประเทศที่ยังมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยความได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงานรวมไปถึงคุณภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ทำให้ TTCL,STPI และ SRICHA ยังมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สดใสในช่วง 2 ปีข้างหน้า อีกทั้งโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่งด้วยการดำรงสถานะเป็นเงินสดทำให้บริษัทเหล่านี้มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่น่าจูงใจ โดยเฉพาะ SRICHA ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 7%
นายกอบชัย ธนสุกาญจน์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการเงิน และนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.โตโย-ไทย กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองไม่ได้ส่งผลต่อบริษัท เนื่องจากงานส่วนใหญ่ของบริษัทประมาณ 60-70% เป็นงานต่างประเทศ ซึ่งรับเหมาก่อสร้างในส่วนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้า โดยปี 2556 บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโต 30% จากปีก่อนมีรายได้รวม 1.15 หมื่นล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,905 วันที่ 15 - 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556