ตอนเดือนกรกฎาคม 67 ครม เศรษฐา ก่อนพ้นนายก ไฟเขียวโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มไป ดันจนสุดประตูท่ามกลางคำครหาล็อคสเปค เกณฑ์ฉาว และรัฐเสียผลประโยชน์มหาศาล
แหล่งข่าว 17 กรกฎาคม 2567
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1136110
ขอท้าวความก่อนว่า รถไฟฟ้าสายสีส้มเป็นรถไฟฟ้าสายใหม่ที่ผ่านกลางเมือง มีฝั่งตะวันออกจากสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไปถึงมีนบุรี และฝั่งตะวันตก จากศูนย์วัฒนธรรมฯ ไปบางขุนนนท์ เรียกได้ว่าผ่ากลางเมืองและเป็นเค้กชิ้นใหญ่!!! สำหรับฝั่งตะวันออก งานโยธาโครงสร้างเสร็จไปนานแล้ว แต่ฝั่งตะวันตกยังเพิ่งเริ่ม (ล่าช้ามา 4 ปีเพราะติดคดีฟ้องร้องคาราคาซังว่าไม่โปร่งใส แต่ท้ายสุดก็เข็นผ่านมาได้แบบรัฐเสียผลประโยชน์หนัก) ซึ่งบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เป็นผู้ได้สัมปทานเดินรถ และว่าจ้าง บริษัท ช การช่าง (CK) ก่อสร้างส่วนที่เหลือทั้งหมด (ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม CK ได้เอางานบางส่วนไปแบ่งเค้กให้ STECON ช่วยทำ)
ผ่านไปไม่กี่เดือน ชนิดที่เรียกได้ว่า หัวเจาะยังไม่ถึงพื้นถนน ถ้าตามข่าวช่วงกลางเดือน พย จะเห็นเรื่องการเลี่ยงจราจรประตูน้ำนี่เอง แต่จากงบไตรมาส 3 หรือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เงินไปแล้วกว่า 14,200 ล้านบาท!!! ไม่ทราบว่าใครหน้าไหนรีบเอาโครงการไปหากินล่วงหน้า นักการเมืองกับนายทุนคนไหนรีบถลุงเงินกันแบบสายฟ้าแลบ!!!
ส่วนที่มาที่ไป อาศัยการแกะงบการเงินของทั้งสองบริษัท (ใช้ความรู้บัญชีอยู่บ้าง) แต่จะค่อยๆ เล่าไปทีละขั้นๆ
เริ่มจากงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2567 ของ BEM ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ในงบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) มีรายการที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นมา 2 บรรทัด ได้แก่
1.ลูกหนี้ - ก้อนนี้คือส่วนของเงินลงทุนที่อนาคตภาครัฐ รฟม จะจ่ายให้ BEM (เอกชนออกไปก่อน) (บันทึกไว้เป็นลูกหนี้ อนาคตได้เงินก็เปลี่ยนเป็นเงินสด)
ต้นทุนของโครงการรถไฟฟ้า - ก้อนนี้คือเงินลงทุนที่เอกชนออกเอง ในอนาคตหลังเปิดให้บริการก็มาตัดค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งก้อนนี้มีประมาณ 11,174 ล้านบาท เป็นของงานสายสีส้ม 9,799 ล้านบาท นอกนั้นของสายสีม่วงเหนือ (ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้) ในหมายเหตุมีการแบ่งชัดเจน
2. ต้นทุนของโครงการรถไฟฟ้า - ก้อนนี้คือเงินลงทุนที่เอกชนออกเอง ในอนาคตหลังเปิดให้บริการก็มาตัดค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชี ณ สิ้นไตรมาส 3 มี 4,401 ล้านบาท
> เท่ากับ ณ สิ้นไตรมาส 3 มีเงินสด ออกจาก BEM ไปแล้ว 14,200 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 เดือน หลังพยายามเข็นโครงการผ่านด่าน ครม!!!
และเงินก็ไม่น่าจะไปไหน นอกจากรับเหมาผู้รับงานเสร็จสรรพ หรือ ช การช่าง (CK) นั่นเอง
ถัดมาดูงบของ CK บ้าง พิรุธค่อนข้างชัดเช่นกัน
ณ สิ้นไตรมาส 3 CK มีการบันทึกหนี้สินตามสัญญาโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 13,000 ล้านบาท!!! (เลขใกล้มาก แต่อาจเทียบเป๊ะๆ หมดไม่ได้ เพราะอาจมาจากโครงการอื่นของ CK ด้วย)
หนี้สินตามสัญญาโครงการคือ บริษัทได้เงินมาก่อน แต่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ก่อสร้าง (รายได้และค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนจะเกิดตอนก่อสร้าง ไม่ใช่ตอนได้เงิน) ซึ่งแบบนี้ก็แอบชัดว่า CK ได้เงินมาล่วงหน้าแล้ว 13,000 ล้าน เพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้า
แล้วเงินไปไหนบ้าง? รีบเอามาไวจัดแบบนี้ ต้องสังเกตดูงบสินทรัพย์ด้วย
1. ราวๆ 4 พันล้าน (จากไตรมาส 2) ยังเป็นเงินสด ที่ยังไม่ออกจากบริษัทแม่ (highlight สีเหลือง)
2. ราวๆ 1-2 พันลัาน เอาไปซื้อหุ้น BEM เพิ่ม (ไปหาอ่านจากหมายเหตุท้ายงบได้ ว่าง่ายๆ สูบเงินลูกไปซื้อหุ้นลูก) (highlight สีน้ำเงิน)
3. ราวๆ 1 พันล้าน จ่ายล่วงหน้าให้ผู้รับเหมาไปแลัว (ใครหนอ) (highlight สีส้ม)
4. ราวๆ 5 พันล้าน เอาเงินไปหมุนโครงการอื่นที่สรัางแล้วแต่ยังไม่ได้เงิน (highlight สีเทา)
นอกนั้นเอาไหคืนเงินกู้บ้างประปราย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เงินรีบออกจาก BEM ไปหา CK ไวแบบนี้ ย่อมส่อพิรุธแน่นอนว่ารีบเอาเงินรับเหมาไปหากินกัน
ถ้าย้อนความไปได้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ล่าช้ามา 4 ปี
จากการที่ประมูลรอบแรก รฟม เปลี่ยนเกณฑ์กลางอากาศ โดน BTS ฟ้อง ลัมประมูล
รอบสอง ประมูลด้วยเกณฑ์กีดกัน BTS เหมือนกับ รฟม ตั้งแง่จัดฉากเพื่อประเคนสัมปทานให้ BEM อยู่ละ
ซึ่งแน่นอนว่าราคาประมูล พอ BTS เอาเลขรอบแรกมากาง ต่างกัน 68,000 ล้าน!!!
แต่ศาลไทยก็ตัดสินให้กลุ่ม BTS แพ้คดีหมด ว่าการกีดกันการแข่งขัน ไม่มีอยู่จริง
ย้อนไปก่อน ครม ประยุทธ์ 2 ยุบสภา ท่าน สส สุรเชษฐ์ประวีณวงวุฒิ เคยอภิปรายว่า ที่ล่าชัาและพัวพัน เพราะจะเอาโครงการไปหากินกัน
https://youtu.be/W2_oOoPk0aI?si=9eZnJMK4f5S6qG1K
ชูวิทย์ ก็เคยออกมาแฉว่า เบื้องหลังกลุ่มทุน ที่อยู่บุรีรัมย์ มีอีกคดีเรื่องที่ดินแถวนั้นกับหน่วยงานรัฐนี่แหละ ที่ขูดเลือดขูดเนื้อกันขนาดนี้
https://thestandard.co/chuwit-head-mot-orange-line-train/
สรุปแล้ว จากงบการเงิน ก็แปลว่า เงินทอนมีจริง แต่เท่าไรอีกเรื่อง
เส้นทางการเงินแบบนี้ นักการเมือง กลต ตลท ต้องมาตรวจสอบได้ละ ใครที่ได้ประโยชน์เอาไปหากินไม่อั้น
ประเทศไทยจะทุจริตหากิน ไม่พัฒนาไปอีกกี่ชาติ
แฉพิรุธรับเหมารายใหญ่ เงินออกหมื่นล้านผ่านโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ เข้ากระเป๋านักการเมืองกับนายทุนคนไหน
แหล่งข่าว 17 กรกฎาคม 2567 https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1136110
ขอท้าวความก่อนว่า รถไฟฟ้าสายสีส้มเป็นรถไฟฟ้าสายใหม่ที่ผ่านกลางเมือง มีฝั่งตะวันออกจากสถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไปถึงมีนบุรี และฝั่งตะวันตก จากศูนย์วัฒนธรรมฯ ไปบางขุนนนท์ เรียกได้ว่าผ่ากลางเมืองและเป็นเค้กชิ้นใหญ่!!! สำหรับฝั่งตะวันออก งานโยธาโครงสร้างเสร็จไปนานแล้ว แต่ฝั่งตะวันตกยังเพิ่งเริ่ม (ล่าช้ามา 4 ปีเพราะติดคดีฟ้องร้องคาราคาซังว่าไม่โปร่งใส แต่ท้ายสุดก็เข็นผ่านมาได้แบบรัฐเสียผลประโยชน์หนัก) ซึ่งบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เป็นผู้ได้สัมปทานเดินรถ และว่าจ้าง บริษัท ช การช่าง (CK) ก่อสร้างส่วนที่เหลือทั้งหมด (ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม CK ได้เอางานบางส่วนไปแบ่งเค้กให้ STECON ช่วยทำ)
ผ่านไปไม่กี่เดือน ชนิดที่เรียกได้ว่า หัวเจาะยังไม่ถึงพื้นถนน ถ้าตามข่าวช่วงกลางเดือน พย จะเห็นเรื่องการเลี่ยงจราจรประตูน้ำนี่เอง แต่จากงบไตรมาส 3 หรือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เงินไปแล้วกว่า 14,200 ล้านบาท!!! ไม่ทราบว่าใครหน้าไหนรีบเอาโครงการไปหากินล่วงหน้า นักการเมืองกับนายทุนคนไหนรีบถลุงเงินกันแบบสายฟ้าแลบ!!!
ส่วนที่มาที่ไป อาศัยการแกะงบการเงินของทั้งสองบริษัท (ใช้ความรู้บัญชีอยู่บ้าง) แต่จะค่อยๆ เล่าไปทีละขั้นๆ
เริ่มจากงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2567 ของ BEM ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ในงบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) มีรายการที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นมา 2 บรรทัด ได้แก่
1.ลูกหนี้ - ก้อนนี้คือส่วนของเงินลงทุนที่อนาคตภาครัฐ รฟม จะจ่ายให้ BEM (เอกชนออกไปก่อน) (บันทึกไว้เป็นลูกหนี้ อนาคตได้เงินก็เปลี่ยนเป็นเงินสด)
ต้นทุนของโครงการรถไฟฟ้า - ก้อนนี้คือเงินลงทุนที่เอกชนออกเอง ในอนาคตหลังเปิดให้บริการก็มาตัดค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งก้อนนี้มีประมาณ 11,174 ล้านบาท เป็นของงานสายสีส้ม 9,799 ล้านบาท นอกนั้นของสายสีม่วงเหนือ (ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้) ในหมายเหตุมีการแบ่งชัดเจน
2. ต้นทุนของโครงการรถไฟฟ้า - ก้อนนี้คือเงินลงทุนที่เอกชนออกเอง ในอนาคตหลังเปิดให้บริการก็มาตัดค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชี ณ สิ้นไตรมาส 3 มี 4,401 ล้านบาท
> เท่ากับ ณ สิ้นไตรมาส 3 มีเงินสด ออกจาก BEM ไปแล้ว 14,200 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 เดือน หลังพยายามเข็นโครงการผ่านด่าน ครม!!!
และเงินก็ไม่น่าจะไปไหน นอกจากรับเหมาผู้รับงานเสร็จสรรพ หรือ ช การช่าง (CK) นั่นเอง
ถัดมาดูงบของ CK บ้าง พิรุธค่อนข้างชัดเช่นกัน
ณ สิ้นไตรมาส 3 CK มีการบันทึกหนี้สินตามสัญญาโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 13,000 ล้านบาท!!! (เลขใกล้มาก แต่อาจเทียบเป๊ะๆ หมดไม่ได้ เพราะอาจมาจากโครงการอื่นของ CK ด้วย)
หนี้สินตามสัญญาโครงการคือ บริษัทได้เงินมาก่อน แต่ยังไม่รับรู้เป็นรายได้ก่อสร้าง (รายได้และค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนจะเกิดตอนก่อสร้าง ไม่ใช่ตอนได้เงิน) ซึ่งแบบนี้ก็แอบชัดว่า CK ได้เงินมาล่วงหน้าแล้ว 13,000 ล้าน เพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้า
แล้วเงินไปไหนบ้าง? รีบเอามาไวจัดแบบนี้ ต้องสังเกตดูงบสินทรัพย์ด้วย
1. ราวๆ 4 พันล้าน (จากไตรมาส 2) ยังเป็นเงินสด ที่ยังไม่ออกจากบริษัทแม่ (highlight สีเหลือง)
2. ราวๆ 1-2 พันลัาน เอาไปซื้อหุ้น BEM เพิ่ม (ไปหาอ่านจากหมายเหตุท้ายงบได้ ว่าง่ายๆ สูบเงินลูกไปซื้อหุ้นลูก) (highlight สีน้ำเงิน)
3. ราวๆ 1 พันล้าน จ่ายล่วงหน้าให้ผู้รับเหมาไปแลัว (ใครหนอ) (highlight สีส้ม)
4. ราวๆ 5 พันล้าน เอาเงินไปหมุนโครงการอื่นที่สรัางแล้วแต่ยังไม่ได้เงิน (highlight สีเทา)
นอกนั้นเอาไหคืนเงินกู้บ้างประปราย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เงินรีบออกจาก BEM ไปหา CK ไวแบบนี้ ย่อมส่อพิรุธแน่นอนว่ารีบเอาเงินรับเหมาไปหากินกัน
ถ้าย้อนความไปได้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ล่าช้ามา 4 ปี
จากการที่ประมูลรอบแรก รฟม เปลี่ยนเกณฑ์กลางอากาศ โดน BTS ฟ้อง ลัมประมูล
รอบสอง ประมูลด้วยเกณฑ์กีดกัน BTS เหมือนกับ รฟม ตั้งแง่จัดฉากเพื่อประเคนสัมปทานให้ BEM อยู่ละ
ซึ่งแน่นอนว่าราคาประมูล พอ BTS เอาเลขรอบแรกมากาง ต่างกัน 68,000 ล้าน!!!
แต่ศาลไทยก็ตัดสินให้กลุ่ม BTS แพ้คดีหมด ว่าการกีดกันการแข่งขัน ไม่มีอยู่จริง
ย้อนไปก่อน ครม ประยุทธ์ 2 ยุบสภา ท่าน สส สุรเชษฐ์ประวีณวงวุฒิ เคยอภิปรายว่า ที่ล่าชัาและพัวพัน เพราะจะเอาโครงการไปหากินกัน
https://youtu.be/W2_oOoPk0aI?si=9eZnJMK4f5S6qG1K
ชูวิทย์ ก็เคยออกมาแฉว่า เบื้องหลังกลุ่มทุน ที่อยู่บุรีรัมย์ มีอีกคดีเรื่องที่ดินแถวนั้นกับหน่วยงานรัฐนี่แหละ ที่ขูดเลือดขูดเนื้อกันขนาดนี้
https://thestandard.co/chuwit-head-mot-orange-line-train/
สรุปแล้ว จากงบการเงิน ก็แปลว่า เงินทอนมีจริง แต่เท่าไรอีกเรื่อง
เส้นทางการเงินแบบนี้ นักการเมือง กลต ตลท ต้องมาตรวจสอบได้ละ ใครที่ได้ประโยชน์เอาไปหากินไม่อั้น
ประเทศไทยจะทุจริตหากิน ไม่พัฒนาไปอีกกี่ชาติ