ถ้าจำไม่ผิด พรรคความหวังใหม่ลาออกยกพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยุบสภายังคงเป็นรัฐบาลไปแบบไม่มีฝ่ายค้าน

กระทู้สนทนา
ถ้าจำไม่ผิด สมัย ชวน หลีกภัย เป็นนายกครั้งที่2 พรรคความหวังใหม่ลาออกยกพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยุบสภายังคงเป็นรัฐบาลไปแบบไม่มีฝ่ายค้าน จนครบเทอมจึงยุบสภาเลือกตั้ง"
.......
..............
............
...........

นายชวน หลีกภัย จึงเข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่สองในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 นั้นเอง และแนวทางการแก้ปัญหา "เศรษฐกิจฟองสบู่" ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ก็คือความพยายามหยุดยั้งการไหลออกของเงินด้วยการขึ้นดอกเบี้ย แต่เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในตลาดการเงินและตลาดนักลงทุนการเงิน ส่งผลให้การไหลออกของเงินก็ยังไม่ลดลง ยังคงมีการเรียกหนี้คืนอย่างหนักจากต่างประเทศ เงินบาทได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องและทำจุดต่ำสุดที่ 57.5 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือน มกราคม 2541 ก่อนจะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 40 บาทเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 แต่รัฐบาลก็ยังคงตั้งเป้าที่จะทำให้ค่าเงินให้แข็งขึ้นไปอีก และจะยังคงนโยบายดอกเบี้ยสูงต่อไป ทั้งๆที่เงินบาทได้เข้าสู่ระดับสมดุลแล้ว และเศรษกิจเองก็กำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างรุนแรง

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2541 รัฐบาลได้เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารลงเรื่อยๆ ในขณะที่แต่ละธนาคารเองก็ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงไปตามๆกัน ที่สำคัญคือไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเพื่อขยายการให้สินเชื่อในภาคการผลิตแต่อย่างไร เนื่องจากธนาคารถูกบังคับให้ต้องกันสำรองหนี้เสียให้ได้ตามเกณฑ์ 8.5% ต่อสินทรัพย์เสี่ยง

นำไปสู่เหตุการณ์ที่เป็นเสมือน "ตราบาป" ในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ นั่นคือการสั่งปิดกิจการชั่วคราว 56 สถาบันการเงินโดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เนื่องจากไม่สามารถสำรองตามเกณฑ์ 15 % และหลังจากถูกตรวจสอบบัญชีและประเมินราคาสินทรัพย์โดย บริษัทสอบบัญชีต่างชาติแล้ว จึงถูกปิดกิจการถาวร ปล่อยรอดมาเพียง 2 รายซึ่งถือว่ามีศักยภาพพอที่จะเข้าประมูลสินทรัพย์ ป.ร.ส. แข่งกับต่างชาติได้

จากนั้นรัฐบาลนายชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปไตย ก็เร่งดำเนินการจัดประมูลขายสินทรัพย์และหนี้ที่ติดอยู่กับ ป.ร.ส. ออกไปทั้งหมด ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาชาวต่างชาติ โดยไม่มีการประนอมหนี้แต่อย่างไร

และที่เป็น "ตราบาป" ซ้ำสอง ในการประมูลขายสินทรัพย์ในปี 2541 ป.ร.ส. ดำเนินการขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงินทั้งหลายในราคาต่ำมาก เพียงแค่ 20% ของมูลค่าที่แท้จริงเท่านั้น ด้วยเหตุผลที่แถลงในเวลานั้นและในเวลาต่อมาว่า ต้องการขายก่อนประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาในลักษณะเดียวกันกับประเทศไทย เช่น เกาหลี อินโดนีเซีย จะทำให้ได้เงินเข้าประเทศโดยเร็ว

การปิดสถาบันการเงิน ส่งผลให้ให้ธุรกรรมการให้สินเชื่อถูกปิดวงเงินกู้ลงทันทีทันควัน ทรัพย์สินและสินทรัพย์ในครอบครองถูกยึดไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับมูลหนี้ ระบบหมุนเวียนเงินตราในตลาดการเงินและการลงทุนหยุดชะงัก วงเงินสินเชื่อที่มีขนาดและปริมาณแทบจะครอบคลุมระบบเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศถูกทำให้กลายเป็นหนี้เสีย แล้วลุกลามต่อไปยังสถาบันการเงินอื่น วัฏจักรแห่งความล่มสลายดำเนินเป็นลูกโซ่ ทั้งสินทรัพย์ที่ได้ถูกประมูลไป แล้วขายออกมาในราคาถูกกว่าท้องตลาดก็มีส่วนทำให้ราคาสินทรัพย์ที่ตกต่ำอยู่ดิ่งลงเหวไปอีก กลายเป็นภาระให้ธนาคารต้องกันสำรองมากขึ้น และแล้วธนาคารที่คนไทยหรือกลุ่มทุนของไทยเป็นเจ้าของเกือบทุกแห่งต้องลดทุนลงจนสูญเสียความเป็นเจ้าของไปในที่สุด

ความเสียหายจากปรากฏการณ์ "ฟองสบู่แตก" ในครั้งนั้น เฉพาะในภาคสถาบันการเงินก็มีการประเมินกันเป็นมูลค่านับล้านล้านบาท ยังไม่รวมการที่รัฐต้องยอมลดค่าสัมปทานให้กับธุรกิจเอกชน การล้มละลายของธุรกิจนับหมื่นแห่ง รวมถึงธุรกิจไทยที่ต้องตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

และก่อนที่รัฐบาลชวน 2 จะพ้นวาระในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2543 ด้วยการประกาศยุบสภาในวันที่ 9 พฤศจิกายน เพื่อการเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม 2544 ด้วยรัฐธรรมนูญ 2540 ผลงานอัปยศสำหรับผู้รักประชาธิปไตยโดยน้ำมือของนักกฎหมายเจ้าแห่งหลักการของพรรคประชาธิปัตย์ คือ การอนุมัติแต่งตั้ง จอมพลถนอม กิตติขจร หนึ่งใน "3 ทรราชย์" เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อปี 2542 ท่ามกลางกระแสไม่พอใจของสังคม สื่อมวลชน และโดยเฉพาะญาติของผู้เสียชีวิต/สูญหายในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519.


โลกวันนี้ ฉบับวันสุข วันที่ 24-30 กรกฎาคม 2553
คอลัมน์ พายเรือในอ่าง  ผู้เขียน อริน
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่