โต๊ะอัลลอยด์ตัวกลม ฉลุลายดอกไม้อย่างที่นิยมเอาไว้จัดสวนทั่วไป ทำหน้าที่เป็นตัวคั่นกลาง ระหว่างชายหญิงเพียงหนึ่งช่วงมือยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ถ้าหากเป็นแต่ก่อน ระยะห่างเพียงเท่านี้ คงพอดีสำหรับการพูดคุย ใบหน้าที่ประจันกันตรงๆ ทำให้มองเห็นกิริยา อาการ จวบจนกระทั่งแววตาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ว่ามันแปรเปลี่ยนไปในทิศทางใดแล้ว แต่บัดนี้มันกลับเป็นตัวปัญหา ที่ทำให้ทั้งน่านนทีและศศินาไม่สามารถหลบหน้าหนีกันไปทางใดได้ ถ้าหากใครผิดสังเกตเพียงแค่หลุกหลิกตา ก็หมายความว่าปล่อยพิรุธออกมาจังเบ้อเร้อ และดูเหมือนว่ารอบกายจะเป็นใจ ราวกับว่ารอเวลานี้มาแสนนาน เพราะทั้งต้นไม้ ใบหญ้า พวงโกเมนที่ระย้าย้อย เศษใบไม้แห้งที่ไม่ไหวเคลื่อนไปทางใดด้วยไร้แรงลม จะหยุดนิ่ง เงี่ยหูลุ้นไปตามๆ กันว่าเมื่อใดคำว่า ‘รัก’ จะหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม
จนแล้วจนรอด...พวกมันก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะน่านนทีทำเป็นเสมองไปทางอื่น เพื่อหลบลายตาที่บัดนี้มันอ่อนโค้ง ชดช้อย เกี่ยวพันกันวุ่นวาย จนไม่รู้ว่าเส้นไหนเป็นเส้นไหน เพราะความรักตัวเดียวเท่านั้น...มันทำให้คนที่มองอะไรเป็นเส้นตรงเสมออย่างเขา แปรเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ
“น่านจะมาคุยกับนาเรื่อง...เรื่องที่ว่าจะเอายังไงต่อไป” แม้แต่ประโยคพูดก็แทบจะไม่ปะติดปะต่อกัน
ลมหนาวกรูเข้าปะทะร่างของคนทั้งสองแรงๆ ราวกับว่าขัดเคืองน่านนทียิ่งนัก เส้นผมอันยาวเหยียดของศศินา ที่วันนี้หล่อนไม่ได้รวบตึง พลิ้วไสวไปตามแรงลม ชายหนุ่มแลหางตามองใบหน้าสะอาดหมดจดของหญิงสาว เมื่อรู้ว่าหล่อนเบือนหน้าออกไปทางอื่น เขาก็ค้างสายตาอยู่ที่ใบหน้านั้น คนทั้งคู่จะรู้ตัวไหมหนอ ว่าต่างคนต่างแสดงอาการประหลาดใส่กัน ราวกับคนแปลกหน้า ที่เพิ่งพบพานกันเพียงไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา
“ก็...” หญิงสาวอยากจะว่าต่อเหลือเกิน ว่าทำไมไม่ไปปรึกษาเรื่องนี้กับอลินเล่า แต่ยั้งไว้ได้ทัน เพราะมันดูเหมือนว่าเป็นการแสดงท่าทีง้องอนเกินคำว่าเพื่อน หล่อนจึงตอบแบบปัดส่ง
“นายังไม่รู้เลย”
“อยู่ที่นี่ด้วยกันเถอะ ทำธุรกิจเล็กๆ ร่วมกัน สร้างตัวไปด้วยกัน” น่านนทีรุกอีกคำรบ และหวังว่าหล่อนคงเข้าใจในประโยคนี้ดี ว่ามันแฝงเจตนาอะไรไว้ลึกๆ แต่ศศินาคิดว่าเขาชวน เพียงเพราะหล่อนไม่เหลือใครแล้วเท่านั้น หล่อนจึงปฏิเสธเสียงอ่อย ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากอยู่ที่นี่หรอก แต่หล่อนคิดว่าหล่อนไม่ควรอยู่เป็นก้างขวางทางชีวิตใหม่ระหว่างเขากับอลินหนะซี...
“นาคิดว่า...นาจะกลับชลบุรี กลับไปปรับปรุงร้านกาแฟ ไม่รู้น้องๆ จะเป็นไง ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกคนต้องแยกย้ายไปหางานใหม่ทำ ไม่รู้ว่าจะหากันได้รึยัง นาเป็นห่วงพวกเค้า” ศศินาเอาลูกน้องขึ้นมาอ้าง ทั้งๆ ที่ถ้าหล่อนกลับไปจริงๆ หล่อนอาจจะไม่มีแรงคิดทำอะไรต่อไปเลยด้วยซ้ำ
คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มคืนใบหน้าที่เหลวไหล กลับมาประจันกับหล่อนตรงๆ เขามองเห็นน้ำสีใสรื้นในนัยน์ตาสีสนิมคู่สวยนั้น มันอาจเป็นน้ำตาจำนวนน้อยนิด ไม่อาจไหลอาบลงมาสัมผัสแก้มนวลได้ แต่มันหล่อลื่นให้แววตาของหล่อนวาววับประดุจเพชรเม็ดงาม
น่านนทีป้ายปลายนิ้วโป้งให้ที่ขอบตาหญิงสาวอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อไอ้หยดน้ำสีใสนั่น...ก็ทำร้ายตัวเขาให้เป็นทุกข์ตาม ราวกับว่าเพียงแค่ได้เห็นรอยโศกทางแววตาของหล่อนเพียงสักเสี้ยวเล็บ หัวใจของเขาก็เหมือนโดนขยี้ตามให้เจ็บกว่าสัก 10 เท่า กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าหัวใจมันบังคับให้ร่างกายทำอะไร ศศินาก็สะดุ้งโหยง ด้วยความคิดไม่ถึงกับการกระทำของเขา หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำไป ว่าน่านนทีแอบเห็นน้ำตาของหล่อนตั้งแต่เมื่อไร
พอต่างคนต่างตกใจ สายตาก็พลันสบกันโดยสัญชาติญาณ และไม่สามารถปิดบังความจริง ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นความหมายอื่นใดได้ ‘นามธรรมสัมผัส’ นั้นมันช่างว่องไวกว่าคำพูดจนเหลือประมาณ ถ้าเป็นระยะทางคงมากกว่าร้อยพันหมื่นปีแสง โดยเฉพาะความรัก ที่ถึงแม้มันจะเลื้อยลดคดเคี้ยวในหัวใจคน แต่มันเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ และด้วยความที่มันเดินทางเป็นเส้นตรง ยามที่มันต้องกับหัวใจผู้ใด มันจึงเสียบแทงเข้าให้อย่างจัง ความรู้สึกวาบหวาม เสียวปลาบแบบปัจจุบันทันด่วน มักเกิดขึ้นเสมอยามได้พบหน้า ‘ใครคนนั้น’
หัวใจของคนทั้งคู่เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นก้อนน้ำแข็งสักวินาทีหนึ่ง ก่อนที่มลายหาย...
น่านนทีมั่นใจในวินาทีนั้น ว่าศศินาเองก็รู้สึกกับเขาไม่ต่างกัน แต่คำว่า ‘รัก’ ทำไมหลุดออกมายากเย็นนัก เขาเคยบอกรักอลินเมื่อหลายปีก่อน เขาพูดออกมาโจ้งๆ แบบนั้น ไร้ความรู้สึกบิดพริ้วใดๆ ในหัวใจ แต่กับผู้หญิงตรงหน้า...
“ตอนแรกน่านคิดว่าจะชวนนาอยู่ที่นี่ อยากเปิดธุรกิจอะไรก็ได้ให้นา น่านจะเป็นคนจัดการทุกอย่างให้เอง ไม่คิดว่านาจะอยากกลับชลบุรี” เขาพูดอย่างผิดหวัง และอย่างสับสนระหว่างการกระทำกับแววตาของหญิงสาวตรงหน้า
“ตอนแรกนาก็คิดอยากอยู่ที่นี่ แต่...นาคิดว่าควรกลับไปอยู่ที่เดิมดีกว่า น่านก็ควรมีความสุขกับชีวิตใหม่ของน่าน ไม่ต้องเป็นห่วงนา เราต่างคนต่างโตกันแล้ว แต่ละคนดูแลตัวเองได้ ทำไมน่านถึงไม่เปิดธุรกิจ สร้างอนาคตกับลิน...อย่างที่เคยใฝ่ฝันมานานแรมปีเล่า” จนท้ายสุด หล่อนก็โพล่งออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะทำท่าขยับหนี แต่ถูกมือที่แข็งแรงกว่าคว้าหมับที่ข้อมือไว้ แล้วจับหัวไหล่ หมุนตัวหล่อนให้คืนใบหน้ากลับมาเผชิญกับเขาตรงๆ และคราวนี้เขาเองก็ไม่เคอะเขินใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกระแสแห่งโมหะมันปนเปขึ้นมา
เพียงแค่อุ้งมืออันหยาบกร้านได้ต้องผิวเนื้ออันอ่อนนิ่ม เขาก็อยากกระหวัดตัวหล่อนเข้ามาในอ้อมแขนเหลือเกิน ถ้าหากน้ำตาของอีกฝ่ายไม่พรั่งพรูออกมาราวกับธารน้ำตกเสียก่อน
“นาพูดแบบนี้หมายความว่าไง น่านจะไปสร้างอนาคตกับลินทำไม” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหญิงสาวเคยเห็นเขากอดอลิน ต้นเหตุของความเข้าใจผิดทั้งปวง หากภาพนั้นมันชัดเจนในความทรงจำของศศินาเสมอ และมันจะยิ่งตอกย้ำหนักเข้าไปอีก ถ้าหากหวนรำลึกถึง ไม่ว่าจะวินาทีไหนก็ตาม และยิ่งตอนนี้ ชายหนุ่มคนที่หล่อนก็เคยบูชาความซื่อตรงของเขาเสมอ กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อหัวใจตัวเอง และพยายามฉุดยื้อคว้าตัวหล่อนไว้ราวกับเป็นคนรักทำไม! เมื่อศศินาคิดได้แค่นั้น หญิงสาวก็บิดตัวให้หลุดออกจากสัมผัสของเขา น่านนทีปล่อยให้ศศินาหันหลังให้อย่างง่ายดาย
“ก็น่านก็รอ...รอคอยเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่หรอ” เอาไปเอามาก็ย้ำอยู่ที่คำเดิม ทั้งคิดหาคำพูดใดไม่ออก และทั้งผิดหวังในตัวชายหนุ่มลึกๆ ตกลงเขาเป็นคนยังไงกันนะ
“รอ...ถ้าหากนาจะบอกว่าน่านรอเวลาที่ลินเป็นโสด เพื่อที่จะเข้าเสียบละก็...นาคิดผิด เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้น่านรู้ตัวแล้ว ว่าน่านรัก...รักใคร” คนที่เด็ดเดี่ยวในวินาทีแรก พอถึงตอนที่เอ่ยถึงความรักเท่านั้น กลับเลี่ยงชื่อหญิงสาวอีกฝ่ายออกไปแสนไกล แต่ยังไงซะ...วันนี้เขาต้องคุยกับหล่อนเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง ถึงแม้จะไม่ได้บอกรัก เพราะความไม่กล้าของตัวเอง แต่วันนี้เขาต้องทำให้หล่อนเปลี่ยนความคิดให้ได้ๆ
“แล้วเรื่องที่โรงพยาบาลนั่นหละ คืออะไร น่านกอดลิน...ถ้าไม่ใช่คนรักกัน จะกอดกันทำไม โกหกนาทำไม!” ประโยคที่หญิงสาวโพล่งออกไปนั้น คงเป็นตัวชี้ชัดแล้วว่า ถึงแม้จะไม่เอ่ยคำว่า ‘รัก’ แต่ลึกลงไปหญิงสาวรู้สึกอย่างไร มันทำให้น่านนทีขมวดคิ้วเกือบเป็นเส้นตรง และทั้งอยากระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที เรื่องของเรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง!
“แต่ก่อนเวลาที่ลินทะเลาะกับไอ้วัฒน์ น่านก็กอดปลอบแบบนี้” ชายหนุ่มเผลอยิ้มได้บ้าง
“วันนั้นน่านตกลงกับลินไว้ว่าเป็นได้แค่พี่กับน้อง ลินร้องไห้...น่านก็กอด ไม่เชื่อเรียกลินมาถามได้” น่านนทีท้าพิสูจน์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าลึกลงไปในความต้องการของอลิน หล่อนไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ กระนั้นเอง ตอนที่เรียกอลินมาคุยด้วยจริงๆ หล่อนจึงตอบได้หน้าตาเฉยว่า
“พี่น่านขอลินแต่งงาน ลินร้องไห้เพราะความซึ้งใจ แล้วพี่เค้าก็เข้ามากอดลินคะ” น่านนทีตาค้างอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาว...ผู้ที่เขาเคยโอบอุ้มไว้ด้วยความเอ็นดู ทั้งผิดหวังซ้ำสองกับการกระทำของหล่อน ที่คราวนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะให้อภัย และทั้งฉงนใจอยู่ไม่น้อย ที่ว่าหล่อนกล้าโกหกหน้าด้านๆ ได้อย่างไร เขารู้สึกเหมือนถูกอลินเอามีดมากรีดหน้าจนยับเยินต่อหน้าศศินา ที่บัดนี้หล่อนนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในห้องรับแขกห้องเดิม ที่แรกเริ่มคนทั้งคู่กะจะใช้มันเป็นห้องชำระล้างรอยสีที่ปิดบังเนื้อแท้ไว้ แต่กลับกลายเป็นเวทีแสดงละครระดับออสการ์ของอลินไปเสีย
ในขณะที่อลินแทบจะหลอมละลายไปกับสายตาแปลกปร่า ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งทำให้หล่อนเหมือนถูกผลักให้ตกลงไปในห้วงเหวลึก มีคนจ้องมองตลอดเวลา ด้วยความมืดมิดของหุบเหว ทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงตาคู่นั้น ว่ามันมองมาอย่างไร ทว่า...มันคงไม่ได้มองมาอย่างอาทรแน่นอน หล่อนหน้าถอดสีขึ้นมาในที แทบอยากย้อนเวลาเอาคำปดนั้นคืนมา แต่ก็มันไม่ง่ายเสียแล้ว! เอาเถิด...ยังไงๆ หล่อนก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกต่อไปแล้ว ทั้งเสียหน้า ทั้งพ่ายแพ้ ทั้งหมดความมั่นใจในตัวเอง ถ้าหล่อนจะผิดหวังจากคนที่หล่อนคิดว่าเขา ‘จะไม่ทำให้หล่อนผิดหวัง’ มาก่อน หล่อนก็จะไม่ยอมให้ใครชนะ!
ลั่นระทม
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 25)
จนแล้วจนรอด...พวกมันก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะน่านนทีทำเป็นเสมองไปทางอื่น เพื่อหลบลายตาที่บัดนี้มันอ่อนโค้ง ชดช้อย เกี่ยวพันกันวุ่นวาย จนไม่รู้ว่าเส้นไหนเป็นเส้นไหน เพราะความรักตัวเดียวเท่านั้น...มันทำให้คนที่มองอะไรเป็นเส้นตรงเสมออย่างเขา แปรเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ
“น่านจะมาคุยกับนาเรื่อง...เรื่องที่ว่าจะเอายังไงต่อไป” แม้แต่ประโยคพูดก็แทบจะไม่ปะติดปะต่อกัน
ลมหนาวกรูเข้าปะทะร่างของคนทั้งสองแรงๆ ราวกับว่าขัดเคืองน่านนทียิ่งนัก เส้นผมอันยาวเหยียดของศศินา ที่วันนี้หล่อนไม่ได้รวบตึง พลิ้วไสวไปตามแรงลม ชายหนุ่มแลหางตามองใบหน้าสะอาดหมดจดของหญิงสาว เมื่อรู้ว่าหล่อนเบือนหน้าออกไปทางอื่น เขาก็ค้างสายตาอยู่ที่ใบหน้านั้น คนทั้งคู่จะรู้ตัวไหมหนอ ว่าต่างคนต่างแสดงอาการประหลาดใส่กัน ราวกับคนแปลกหน้า ที่เพิ่งพบพานกันเพียงไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา
“ก็...” หญิงสาวอยากจะว่าต่อเหลือเกิน ว่าทำไมไม่ไปปรึกษาเรื่องนี้กับอลินเล่า แต่ยั้งไว้ได้ทัน เพราะมันดูเหมือนว่าเป็นการแสดงท่าทีง้องอนเกินคำว่าเพื่อน หล่อนจึงตอบแบบปัดส่ง
“นายังไม่รู้เลย”
“อยู่ที่นี่ด้วยกันเถอะ ทำธุรกิจเล็กๆ ร่วมกัน สร้างตัวไปด้วยกัน” น่านนทีรุกอีกคำรบ และหวังว่าหล่อนคงเข้าใจในประโยคนี้ดี ว่ามันแฝงเจตนาอะไรไว้ลึกๆ แต่ศศินาคิดว่าเขาชวน เพียงเพราะหล่อนไม่เหลือใครแล้วเท่านั้น หล่อนจึงปฏิเสธเสียงอ่อย ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากอยู่ที่นี่หรอก แต่หล่อนคิดว่าหล่อนไม่ควรอยู่เป็นก้างขวางทางชีวิตใหม่ระหว่างเขากับอลินหนะซี...
“นาคิดว่า...นาจะกลับชลบุรี กลับไปปรับปรุงร้านกาแฟ ไม่รู้น้องๆ จะเป็นไง ตั้งแต่เกิดเรื่อง ทุกคนต้องแยกย้ายไปหางานใหม่ทำ ไม่รู้ว่าจะหากันได้รึยัง นาเป็นห่วงพวกเค้า” ศศินาเอาลูกน้องขึ้นมาอ้าง ทั้งๆ ที่ถ้าหล่อนกลับไปจริงๆ หล่อนอาจจะไม่มีแรงคิดทำอะไรต่อไปเลยด้วยซ้ำ
คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มคืนใบหน้าที่เหลวไหล กลับมาประจันกับหล่อนตรงๆ เขามองเห็นน้ำสีใสรื้นในนัยน์ตาสีสนิมคู่สวยนั้น มันอาจเป็นน้ำตาจำนวนน้อยนิด ไม่อาจไหลอาบลงมาสัมผัสแก้มนวลได้ แต่มันหล่อลื่นให้แววตาของหล่อนวาววับประดุจเพชรเม็ดงาม
น่านนทีป้ายปลายนิ้วโป้งให้ที่ขอบตาหญิงสาวอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อไอ้หยดน้ำสีใสนั่น...ก็ทำร้ายตัวเขาให้เป็นทุกข์ตาม ราวกับว่าเพียงแค่ได้เห็นรอยโศกทางแววตาของหล่อนเพียงสักเสี้ยวเล็บ หัวใจของเขาก็เหมือนโดนขยี้ตามให้เจ็บกว่าสัก 10 เท่า กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าหัวใจมันบังคับให้ร่างกายทำอะไร ศศินาก็สะดุ้งโหยง ด้วยความคิดไม่ถึงกับการกระทำของเขา หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำไป ว่าน่านนทีแอบเห็นน้ำตาของหล่อนตั้งแต่เมื่อไร
พอต่างคนต่างตกใจ สายตาก็พลันสบกันโดยสัญชาติญาณ และไม่สามารถปิดบังความจริง ที่ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นความหมายอื่นใดได้ ‘นามธรรมสัมผัส’ นั้นมันช่างว่องไวกว่าคำพูดจนเหลือประมาณ ถ้าเป็นระยะทางคงมากกว่าร้อยพันหมื่นปีแสง โดยเฉพาะความรัก ที่ถึงแม้มันจะเลื้อยลดคดเคี้ยวในหัวใจคน แต่มันเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ และด้วยความที่มันเดินทางเป็นเส้นตรง ยามที่มันต้องกับหัวใจผู้ใด มันจึงเสียบแทงเข้าให้อย่างจัง ความรู้สึกวาบหวาม เสียวปลาบแบบปัจจุบันทันด่วน มักเกิดขึ้นเสมอยามได้พบหน้า ‘ใครคนนั้น’
หัวใจของคนทั้งคู่เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นก้อนน้ำแข็งสักวินาทีหนึ่ง ก่อนที่มลายหาย...
น่านนทีมั่นใจในวินาทีนั้น ว่าศศินาเองก็รู้สึกกับเขาไม่ต่างกัน แต่คำว่า ‘รัก’ ทำไมหลุดออกมายากเย็นนัก เขาเคยบอกรักอลินเมื่อหลายปีก่อน เขาพูดออกมาโจ้งๆ แบบนั้น ไร้ความรู้สึกบิดพริ้วใดๆ ในหัวใจ แต่กับผู้หญิงตรงหน้า...
“ตอนแรกน่านคิดว่าจะชวนนาอยู่ที่นี่ อยากเปิดธุรกิจอะไรก็ได้ให้นา น่านจะเป็นคนจัดการทุกอย่างให้เอง ไม่คิดว่านาจะอยากกลับชลบุรี” เขาพูดอย่างผิดหวัง และอย่างสับสนระหว่างการกระทำกับแววตาของหญิงสาวตรงหน้า
“ตอนแรกนาก็คิดอยากอยู่ที่นี่ แต่...นาคิดว่าควรกลับไปอยู่ที่เดิมดีกว่า น่านก็ควรมีความสุขกับชีวิตใหม่ของน่าน ไม่ต้องเป็นห่วงนา เราต่างคนต่างโตกันแล้ว แต่ละคนดูแลตัวเองได้ ทำไมน่านถึงไม่เปิดธุรกิจ สร้างอนาคตกับลิน...อย่างที่เคยใฝ่ฝันมานานแรมปีเล่า” จนท้ายสุด หล่อนก็โพล่งออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะทำท่าขยับหนี แต่ถูกมือที่แข็งแรงกว่าคว้าหมับที่ข้อมือไว้ แล้วจับหัวไหล่ หมุนตัวหล่อนให้คืนใบหน้ากลับมาเผชิญกับเขาตรงๆ และคราวนี้เขาเองก็ไม่เคอะเขินใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกระแสแห่งโมหะมันปนเปขึ้นมา
เพียงแค่อุ้งมืออันหยาบกร้านได้ต้องผิวเนื้ออันอ่อนนิ่ม เขาก็อยากกระหวัดตัวหล่อนเข้ามาในอ้อมแขนเหลือเกิน ถ้าหากน้ำตาของอีกฝ่ายไม่พรั่งพรูออกมาราวกับธารน้ำตกเสียก่อน
“นาพูดแบบนี้หมายความว่าไง น่านจะไปสร้างอนาคตกับลินทำไม” ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหญิงสาวเคยเห็นเขากอดอลิน ต้นเหตุของความเข้าใจผิดทั้งปวง หากภาพนั้นมันชัดเจนในความทรงจำของศศินาเสมอ และมันจะยิ่งตอกย้ำหนักเข้าไปอีก ถ้าหากหวนรำลึกถึง ไม่ว่าจะวินาทีไหนก็ตาม และยิ่งตอนนี้ ชายหนุ่มคนที่หล่อนก็เคยบูชาความซื่อตรงของเขาเสมอ กลับทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อหัวใจตัวเอง และพยายามฉุดยื้อคว้าตัวหล่อนไว้ราวกับเป็นคนรักทำไม! เมื่อศศินาคิดได้แค่นั้น หญิงสาวก็บิดตัวให้หลุดออกจากสัมผัสของเขา น่านนทีปล่อยให้ศศินาหันหลังให้อย่างง่ายดาย
“ก็น่านก็รอ...รอคอยเวลานี้มานานแล้วไม่ใช่หรอ” เอาไปเอามาก็ย้ำอยู่ที่คำเดิม ทั้งคิดหาคำพูดใดไม่ออก และทั้งผิดหวังในตัวชายหนุ่มลึกๆ ตกลงเขาเป็นคนยังไงกันนะ
“รอ...ถ้าหากนาจะบอกว่าน่านรอเวลาที่ลินเป็นโสด เพื่อที่จะเข้าเสียบละก็...นาคิดผิด เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้น่านรู้ตัวแล้ว ว่าน่านรัก...รักใคร” คนที่เด็ดเดี่ยวในวินาทีแรก พอถึงตอนที่เอ่ยถึงความรักเท่านั้น กลับเลี่ยงชื่อหญิงสาวอีกฝ่ายออกไปแสนไกล แต่ยังไงซะ...วันนี้เขาต้องคุยกับหล่อนเรื่องนี้ให้รู้เรื่อง ถึงแม้จะไม่ได้บอกรัก เพราะความไม่กล้าของตัวเอง แต่วันนี้เขาต้องทำให้หล่อนเปลี่ยนความคิดให้ได้ๆ
“แล้วเรื่องที่โรงพยาบาลนั่นหละ คืออะไร น่านกอดลิน...ถ้าไม่ใช่คนรักกัน จะกอดกันทำไม โกหกนาทำไม!” ประโยคที่หญิงสาวโพล่งออกไปนั้น คงเป็นตัวชี้ชัดแล้วว่า ถึงแม้จะไม่เอ่ยคำว่า ‘รัก’ แต่ลึกลงไปหญิงสาวรู้สึกอย่างไร มันทำให้น่านนทีขมวดคิ้วเกือบเป็นเส้นตรง และทั้งอยากระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที เรื่องของเรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง!
“แต่ก่อนเวลาที่ลินทะเลาะกับไอ้วัฒน์ น่านก็กอดปลอบแบบนี้” ชายหนุ่มเผลอยิ้มได้บ้าง
“วันนั้นน่านตกลงกับลินไว้ว่าเป็นได้แค่พี่กับน้อง ลินร้องไห้...น่านก็กอด ไม่เชื่อเรียกลินมาถามได้” น่านนทีท้าพิสูจน์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าลึกลงไปในความต้องการของอลิน หล่อนไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ กระนั้นเอง ตอนที่เรียกอลินมาคุยด้วยจริงๆ หล่อนจึงตอบได้หน้าตาเฉยว่า
“พี่น่านขอลินแต่งงาน ลินร้องไห้เพราะความซึ้งใจ แล้วพี่เค้าก็เข้ามากอดลินคะ” น่านนทีตาค้างอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาว...ผู้ที่เขาเคยโอบอุ้มไว้ด้วยความเอ็นดู ทั้งผิดหวังซ้ำสองกับการกระทำของหล่อน ที่คราวนี้มันหนักหนาเกินกว่าที่ชายหนุ่มจะให้อภัย และทั้งฉงนใจอยู่ไม่น้อย ที่ว่าหล่อนกล้าโกหกหน้าด้านๆ ได้อย่างไร เขารู้สึกเหมือนถูกอลินเอามีดมากรีดหน้าจนยับเยินต่อหน้าศศินา ที่บัดนี้หล่อนนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในห้องรับแขกห้องเดิม ที่แรกเริ่มคนทั้งคู่กะจะใช้มันเป็นห้องชำระล้างรอยสีที่ปิดบังเนื้อแท้ไว้ แต่กลับกลายเป็นเวทีแสดงละครระดับออสการ์ของอลินไปเสีย
ในขณะที่อลินแทบจะหลอมละลายไปกับสายตาแปลกปร่า ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งทำให้หล่อนเหมือนถูกผลักให้ตกลงไปในห้วงเหวลึก มีคนจ้องมองตลอดเวลา ด้วยความมืดมิดของหุบเหว ทำให้ไม่สามารถมองเห็นดวงตาคู่นั้น ว่ามันมองมาอย่างไร ทว่า...มันคงไม่ได้มองมาอย่างอาทรแน่นอน หล่อนหน้าถอดสีขึ้นมาในที แทบอยากย้อนเวลาเอาคำปดนั้นคืนมา แต่ก็มันไม่ง่ายเสียแล้ว! เอาเถิด...ยังไงๆ หล่อนก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกต่อไปแล้ว ทั้งเสียหน้า ทั้งพ่ายแพ้ ทั้งหมดความมั่นใจในตัวเอง ถ้าหล่อนจะผิดหวังจากคนที่หล่อนคิดว่าเขา ‘จะไม่ทำให้หล่อนผิดหวัง’ มาก่อน หล่อนก็จะไม่ยอมให้ใครชนะ!