น่านนทีปลอมตัวเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล ในขณะที่รอบกายนั้นพลุกพล่านไปด้วยสาธุชน และกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งกระจายตัวไปทั่ว ชายหนุ่มนั่งเงียบบริเวณหน้าห้องรับยา ลอบมองชายในชุดซาฟารีราวสิบกว่าคน ‘ทำไมพวกมันถึงรู้ไวขนาดนี้?’ คำถามผุดขึ้นพร้อมๆ กับการคาดเดา หากสุดทางเดินข้างหน้า สายตากลับหยุดอยู่ที่ชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียบขรึม ถึงแม้จะสวมแว่นตาดำเพื่ออำพรางแววตา แต่ก็ใช่ว่าเขาจะจำไม่ได้ ‘ชรินธร’
“ฝีมือของพวกเฮียย้ง...อันตรายแน่ๆ ถ้านายังอยู่ที่นี่!” เขานึกถึงหญิงสาวที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น แต่จะมัวมานั่งคิดคงไม่ทันการเสียแล้ว เนื่องจากสายตาของนายชรินธรพุ่งเข้าสบกับเขาเต็มๆ น่านนทีลุกขึ้นวิ่งในทันใด เป้าหมายคือห้องพักที่ศศินารักษาตัวอยู่ พวกเฮียย้งวิ่งไล่ตามน่านนทีโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ฝ่าฝูงชน คนไข้ คนแก่ หกล้มกันระเนระนาด
“ตามมันไป...แกไปดักอยู่อีกฝั่ง อย่าให้มันหนีไปได้!” เสียงสั่งของนายชรินธรแว่วเข้าหูจากข้างหลัง น่านนทีวิ่งหลบไปตามทางเดินที่หักศอก กว่าจะพาตัวเองมาที่ลิฟต์ได้ เล่นเอาเหงื่อชุ่มเต็มหลัง
ประตูลิฟต์เปิดออก น่านนทีหันไปมองบุรุษพยาบาลคนที่รอต่อลิฟต์ พร้อมกับเตียงเข็ญเปล่า เขาเปิดทางให้คนที่สัมภาระมากกว่าเข้าก่อน
“ชั้นไหนครับ?”
“ชั้นสิบ...” ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดสนิท น่านนทียอมทำความผิด โดยการดึงมีดขึ้นจี้ที่ท้องของคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อการเอาตัวรอด
“คุณ...กรุณาเปลี่ยนชุดกับผมเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตาย!” ประโยคอาจจะแค่ขู่ หากปลายมีดที่สะท้อนปลาบกับแสงไฟ ทำให้อีกฝ่ายสงบนิ่ง ก่อนที่จะจำยอมปลดกระดุมเสื้อด้วยมือสั่นเทา แลกกับชุดคนไข้ที่น่านนทีสวมอยู่
“ผมมีเหตุผลต้องทำแบบนี้ ถ้าอะไรลุล่วงไปด้วยดี ผมจะกลับมาหาคุณอีกครั้ง” น่านนทีกล่าว พลางจัดแจงกับเสื้อผ้าที่ได้จากฝ่ายตรงข้ามมาหมาดๆ
“ไม่ต้องครับ...ไม่...ไม่เป็นไร” บุรุษพยาบาลคนที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมเป็นคนไข้ละล่ำละลัก ใจหนึ่งคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้า น่าจะเป็นคนไข้ที่หลุดจากตึกจิตเวช แต่นั่นมันไม่สำคัญเท่ามีดที่อยู่ในมืออีกฝ่าย
ประตูลิฟต์เปิดออก น่านนทีสวมผ้าปิดปาก อำพรางใบหน้าได้ทันเวลา ก่อนจะเดินเข็ญเตียงเข็ญที่ว่างเปล่า ตามทางเดินตรงลึกลงไป สองฝั่งซ้ายขวาคือห้องผู้ป่วยพิเศษ
“อ้าว...พี่ที เข้าเวรดึกหรอคะ?” นางพยาบาลสาวเดินสวนพร้อมกับคำทักทาย ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ เนื่องจากมีบุรุษชุดดำเดินตามหลังหญิงสาวมาติดๆ เขาเพียงแค่พยักหน้าเป็นคำตอบ รอให้ลูกน้องเฮียย้งเดินผ่านไป โดยที่ไม่ได้สนใจเขากับนางพยาบาลสาวผู้นั้นแม้แต่นิด ชายหนุ่มยังลอบมองด้วยหางตาจนลับไป ก่อนจะถอนหายใจ หันหน้ามาประจันกับนางพยาบาลสาว ซึ่งกำลังยิ้มหวานให้ พร้อมกับยัดแผ่นกระดาษเท่าฝ่ามือใส่ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเดินผละไป ‘อะไร?’ คำถามขี้ปะติ๋วผุดขึ้นมาเพียงชั่ววูบ หากไม่ได้สนใจ ไม่ใช่เวลาที่จะมาใยดีกับเรื่องไร้สาระ หล่อนน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเจ้าของป้ายชื่อที่หราบนหน้าอกมากกว่า
น่านนทีเข็ญเตียงมุ่งหน้าต่อไป โดยที่มีนางพยาบาลสาวคนเมื่อครู่มองตามแผ่นหลังชายหนุ่มด้วยสายตาน้อยใจ
“นิด...นิด” น้ำเสียงสั่นเครือที่แผ่วจากห้องเก็บของข้างลิฟต์ ทำให้นางฟ้าในชุดขาวเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน
“พี่ที!”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร เข้ามานี่ก่อน!” คนที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างนอกหันรีหันขวาง
น่านนทีพาตัวเองมาถึงห้องของศศินาได้ในที่สุด ทว่าสายน้ำเกลือที่โยงเข้ากับตัวของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มระบายลมหายใจเหนื่อยหนัก มองคนที่นอนพริ้มตาหลับ สดับนิ่งอยู่ในห้วงนิทรา จนไม่อาจทราบได้ว่า บัดนี้ชะตาชีวิตกำลังรอการลิขิตเท่านั้น
“นา...” เสียงเรียกแผ่วถนอม ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหลอมลงไปต่อหน้าจากน้ำเสียงที่ใช้ หากก็ไร้ปฏิกิริยาใดๆ จากหญิงสาว
“นา...” น่านนทีเขย่าแขนหญิงสาว ผิวกายที่ร้อนผะผ่าว ทำให้เขาต้องกัดริมฝีปากพอรู้สึกเจ็บ ศศินากำลังมีไข้ร่วมด้วย
“อยู่ก็ตาย...ถ้าหนีก็ยังพอมีทางรอด” สิ้นเสียงเด็ดเดี่ยวเพียงเท่านั้น เข็มเล่มบางที่ฝังไว้กับข้อพับแขนของหญิงสาวก็ถูกดึง พร้อมกับเลือดที่ซึมออกมา ชายหนุ่มดึงกระดาษชำระซับของเหลวสีแดงให้หมดไป ก่อนที่ร่างของคนไข้จะถูกย้ายไปยังเตียงเข็ญ คลุมด้วยผ้าขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ทุกย่างก้าวของบุรุษพยาบาลจอมปลอม กับร่างบนเตียงเข็ญที่ใครผ่านไปผ่านมาต่างลงความเห็นเช่นเดียวกันว่า ‘ตาย’ หากนั่นคือลมหายใจของคนทั้งคู่ น่านนทีพยายามวางตัวให้ดูปกติที่สุด สวนทางกับสาธุชนที่เดินขวักไขว่กันในโรงพยาบาล สายตาหนึ่งสบประสานกับร่างของนายชรินธรตรงทางเดินเดียวกัน หากเขาต้องสะกดหัวใจที่หวาดหวั่น เข็ญเตียงมุ่งหน้าต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ จนในที่สุดก็ผ่านร่างนายชรินธรกับลูกน้องอีกคนได้ โดยที่ไร้ข้อสงสัยใดๆ จากฝ่ายนั้น
“ตามหาจนทั่วแล้ว ไม่พบเลยครับ สอบถามข้อมูลคนไข้จากประชาสัมพันธ์ก็ไม่พบ สงสัยเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก...”
“แค่คนสองคนตามหาไม่เจอ!” เสียงเอะอะดังอยู่ข้างหลัง ก่อนจะเลือนหายตามระยะก้าวที่ห่างออกไป และเงียบในที่สุด น่านนทีผ่านพ้นจุดอันตรายได้แล้ว ทว่า...
“แต่ผมเจอสิ่งนี้” คนที่เพิ่งโดนต่อว่าไปหมาดๆ ยื่นวัตถุในมือให้นายชรินธร แสงสว่างขึ้นตรงหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปรากฏรายชื่อสายไม่ได้รับมากกว่า 10 สาย ‘อลิน’
“ผู้หญิงคนนั้น...” เสียงพูดแผ่วหลุดจากริมฝีปากคล้ำหนา
น่านนทีพาศศินาขึ้นรถได้อย่างปลอดภัย ร่างไร้สติของศศินานอนบนที่นั่งข้างคนขับ ที่ถูกปรับเบาะให้เอนจนสุด ก่อนที่เก๋งยุโรปจะรุดจากลานจอดรถ ทิ้งเตียงเข็ญให้เป็นปริศนาไว้ชำระความกันต่อไป
ชายหนุ่มเพียรจับหน้าผากคนที่นอนอยู่ด้านข้างด้วยความกังวล เนื่องจากอุณหภูมิในตัวของศศินาสูงขึ้นเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางนั้นเลื่อนลอยนัก หากถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้า คือคำตอบชั้นดีที่บอกเขาเป็นนัยๆ ว่า ต้องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ ณ เวลานี้ หนทางไม่ใช่เรื่องใหญ่ จุดหมายยังอยู่อีกไกล ลมหายใจของคนข้างๆ ต่างหากที่คุมเกมส์ไว้
“น่าน...น่าน...” เสียง---สบถ---เบา---ผ่านริมฝีปากแตกขุย น่านนทีเบรกรถกะทันหัน หัวใจพอมีหวังอยู่บ้าง
“นา...นา...” หากมือหยาบที่สัมผัสกับผิวกายขาวละเอียด กลับไม่ทำให้หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้ หล่อนละเมอเพราะพิษไข้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
“นารักน่าน...” ลมหายใจของชายหนุ่มเกือบจะหยุดตามร่างกายทุกส่วนที่ชะงักงัน ยังแต่สัมผัสความรู้สึกเท่านั้น ที่มันยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สองมือกำพวงมาลัยไว้แน่น ราวกับจะทำลายมันให้แตกสลายคามือ ก่อนที่รถจะทะยานไปตามถนนสายเปลี่ยว มีป่าไมยราพขึ้นรกชัฏทั้งสองข้างทาง โชคดีที่ถนนลาดยางทั้งสาย จึงไม่ทำให้การหลบหนีลำบากมากไปกว่านี้
เสียงละเมอของศศินาพร่ำรำพันท่ามกลางความเงียบภายในรถ บ้างก็ขาดเป็นห้วงๆ จับใจความแทบไม่ได้ บ้างก็ชัดเจนราวกับออกมาจากจิตใต้สำนึกส่วนลึก หากสายตาที่เลื่อนลอยของคนที่สติสตางค์ยังครบทุกบาทนั่นต่างหาก ที่ยากเกินจะหยั่งถึงได้ว่า รู้สึกอย่างไรในวินาทีนี้
“นารักน่าน...” ชายหนุ่มทวนประโยคซ้ำ สองมือยังกำพวงมาลัยไว้แน่น ก่อนจะระบายลมหายใจยาว
ความมืดโอบกอดทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมแขน มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถ ที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากดวงตาอีกดวง ถึงแม้แสงส้มนวลจากถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สุดปลายตาโน้น จะแจ่มชัดเพียงลางเลือน แต่ก็เปรียบเสมือนว่าจุดหมายนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
น่านนทีเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งรัดเวลา เพราะมันมีค่าพอๆ กับลมหายใจของศศินาเช่นกัน เก๋งยุโรปคันโตทะยานไปข้างหน้า ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศร
ราวสามสิบนาทีก็พาคนทั้งคู่สู่ถนนหลักแถบชานเมืองของมหานคร
“อดทนไว้นะนา...นาต้องปลอดภัย” ชายหนุ่มกล่าวกับร่างไร้สติ มิได้ใยดีว่าลมหายใจของคนข้างๆ จะรวยรินเพียงใด ในขณะที่เปลือกตาคู่นั้นของหญิงสาวนิ่งสนิท นิทรานี้ยังคงดำเนินต่อไป เหลือเพียงน่านนทีเท่านั้นที่แววตาวาววับไปยังถนนเบื้องหน้า เหตุผลอันใดที่ทำให้เฮียย้งทำร้ายศศินา? และทำไมฝ่ายนั้นทราบข่าวได้รวดเร็วเพียงนี้? นั่นต่างหากที่ทำให้เขาคิดหนัก
“ทางเรากำลังมีหนอนบ่อนไส้!” เสียงเปรยแผ่วผ่านริมฝีปาก ‘แล้วใครกัน?’ คำถามผุดขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับสองข้างทางที่เคลื่อนผ่านที่รกร้าง จนเริ่มเข้าสู่ชุมชนแถบชานเมือง มีบ้านปลูกห่างกันเป็นจุดๆ หากสายตาของชายหนุ่มหยุดที่ป้ายโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทำให้เรื่องราวที่อยู่ในหัวยุติลงเพียงแค่นั้น
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 7)
“ฝีมือของพวกเฮียย้ง...อันตรายแน่ๆ ถ้านายังอยู่ที่นี่!” เขานึกถึงหญิงสาวที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น แต่จะมัวมานั่งคิดคงไม่ทันการเสียแล้ว เนื่องจากสายตาของนายชรินธรพุ่งเข้าสบกับเขาเต็มๆ น่านนทีลุกขึ้นวิ่งในทันใด เป้าหมายคือห้องพักที่ศศินารักษาตัวอยู่ พวกเฮียย้งวิ่งไล่ตามน่านนทีโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ฝ่าฝูงชน คนไข้ คนแก่ หกล้มกันระเนระนาด
“ตามมันไป...แกไปดักอยู่อีกฝั่ง อย่าให้มันหนีไปได้!” เสียงสั่งของนายชรินธรแว่วเข้าหูจากข้างหลัง น่านนทีวิ่งหลบไปตามทางเดินที่หักศอก กว่าจะพาตัวเองมาที่ลิฟต์ได้ เล่นเอาเหงื่อชุ่มเต็มหลัง
ประตูลิฟต์เปิดออก น่านนทีหันไปมองบุรุษพยาบาลคนที่รอต่อลิฟต์ พร้อมกับเตียงเข็ญเปล่า เขาเปิดทางให้คนที่สัมภาระมากกว่าเข้าก่อน
“ชั้นไหนครับ?”
“ชั้นสิบ...” ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดสนิท น่านนทียอมทำความผิด โดยการดึงมีดขึ้นจี้ที่ท้องของคนที่ต้องตกเป็นเหยื่อการเอาตัวรอด
“คุณ...กรุณาเปลี่ยนชุดกับผมเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตาย!” ประโยคอาจจะแค่ขู่ หากปลายมีดที่สะท้อนปลาบกับแสงไฟ ทำให้อีกฝ่ายสงบนิ่ง ก่อนที่จะจำยอมปลดกระดุมเสื้อด้วยมือสั่นเทา แลกกับชุดคนไข้ที่น่านนทีสวมอยู่
“ผมมีเหตุผลต้องทำแบบนี้ ถ้าอะไรลุล่วงไปด้วยดี ผมจะกลับมาหาคุณอีกครั้ง” น่านนทีกล่าว พลางจัดแจงกับเสื้อผ้าที่ได้จากฝ่ายตรงข้ามมาหมาดๆ
“ไม่ต้องครับ...ไม่...ไม่เป็นไร” บุรุษพยาบาลคนที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมเป็นคนไข้ละล่ำละลัก ใจหนึ่งคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้า น่าจะเป็นคนไข้ที่หลุดจากตึกจิตเวช แต่นั่นมันไม่สำคัญเท่ามีดที่อยู่ในมืออีกฝ่าย
ประตูลิฟต์เปิดออก น่านนทีสวมผ้าปิดปาก อำพรางใบหน้าได้ทันเวลา ก่อนจะเดินเข็ญเตียงเข็ญที่ว่างเปล่า ตามทางเดินตรงลึกลงไป สองฝั่งซ้ายขวาคือห้องผู้ป่วยพิเศษ
“อ้าว...พี่ที เข้าเวรดึกหรอคะ?” นางพยาบาลสาวเดินสวนพร้อมกับคำทักทาย ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ เนื่องจากมีบุรุษชุดดำเดินตามหลังหญิงสาวมาติดๆ เขาเพียงแค่พยักหน้าเป็นคำตอบ รอให้ลูกน้องเฮียย้งเดินผ่านไป โดยที่ไม่ได้สนใจเขากับนางพยาบาลสาวผู้นั้นแม้แต่นิด ชายหนุ่มยังลอบมองด้วยหางตาจนลับไป ก่อนจะถอนหายใจ หันหน้ามาประจันกับนางพยาบาลสาว ซึ่งกำลังยิ้มหวานให้ พร้อมกับยัดแผ่นกระดาษเท่าฝ่ามือใส่ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเดินผละไป ‘อะไร?’ คำถามขี้ปะติ๋วผุดขึ้นมาเพียงชั่ววูบ หากไม่ได้สนใจ ไม่ใช่เวลาที่จะมาใยดีกับเรื่องไร้สาระ หล่อนน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานของเจ้าของป้ายชื่อที่หราบนหน้าอกมากกว่า
น่านนทีเข็ญเตียงมุ่งหน้าต่อไป โดยที่มีนางพยาบาลสาวคนเมื่อครู่มองตามแผ่นหลังชายหนุ่มด้วยสายตาน้อยใจ
“นิด...นิด” น้ำเสียงสั่นเครือที่แผ่วจากห้องเก็บของข้างลิฟต์ ทำให้นางฟ้าในชุดขาวเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน
“พี่ที!”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร เข้ามานี่ก่อน!” คนที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างนอกหันรีหันขวาง
น่านนทีพาตัวเองมาถึงห้องของศศินาได้ในที่สุด ทว่าสายน้ำเกลือที่โยงเข้ากับตัวของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มระบายลมหายใจเหนื่อยหนัก มองคนที่นอนพริ้มตาหลับ สดับนิ่งอยู่ในห้วงนิทรา จนไม่อาจทราบได้ว่า บัดนี้ชะตาชีวิตกำลังรอการลิขิตเท่านั้น
“นา...” เสียงเรียกแผ่วถนอม ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหลอมลงไปต่อหน้าจากน้ำเสียงที่ใช้ หากก็ไร้ปฏิกิริยาใดๆ จากหญิงสาว
“นา...” น่านนทีเขย่าแขนหญิงสาว ผิวกายที่ร้อนผะผ่าว ทำให้เขาต้องกัดริมฝีปากพอรู้สึกเจ็บ ศศินากำลังมีไข้ร่วมด้วย
“อยู่ก็ตาย...ถ้าหนีก็ยังพอมีทางรอด” สิ้นเสียงเด็ดเดี่ยวเพียงเท่านั้น เข็มเล่มบางที่ฝังไว้กับข้อพับแขนของหญิงสาวก็ถูกดึง พร้อมกับเลือดที่ซึมออกมา ชายหนุ่มดึงกระดาษชำระซับของเหลวสีแดงให้หมดไป ก่อนที่ร่างของคนไข้จะถูกย้ายไปยังเตียงเข็ญ คลุมด้วยผ้าขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ทุกย่างก้าวของบุรุษพยาบาลจอมปลอม กับร่างบนเตียงเข็ญที่ใครผ่านไปผ่านมาต่างลงความเห็นเช่นเดียวกันว่า ‘ตาย’ หากนั่นคือลมหายใจของคนทั้งคู่ น่านนทีพยายามวางตัวให้ดูปกติที่สุด สวนทางกับสาธุชนที่เดินขวักไขว่กันในโรงพยาบาล สายตาหนึ่งสบประสานกับร่างของนายชรินธรตรงทางเดินเดียวกัน หากเขาต้องสะกดหัวใจที่หวาดหวั่น เข็ญเตียงมุ่งหน้าต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธ จนในที่สุดก็ผ่านร่างนายชรินธรกับลูกน้องอีกคนได้ โดยที่ไร้ข้อสงสัยใดๆ จากฝ่ายนั้น
“ตามหาจนทั่วแล้ว ไม่พบเลยครับ สอบถามข้อมูลคนไข้จากประชาสัมพันธ์ก็ไม่พบ สงสัยเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก...”
“แค่คนสองคนตามหาไม่เจอ!” เสียงเอะอะดังอยู่ข้างหลัง ก่อนจะเลือนหายตามระยะก้าวที่ห่างออกไป และเงียบในที่สุด น่านนทีผ่านพ้นจุดอันตรายได้แล้ว ทว่า...
“แต่ผมเจอสิ่งนี้” คนที่เพิ่งโดนต่อว่าไปหมาดๆ ยื่นวัตถุในมือให้นายชรินธร แสงสว่างขึ้นตรงหน้าจอโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปรากฏรายชื่อสายไม่ได้รับมากกว่า 10 สาย ‘อลิน’
“ผู้หญิงคนนั้น...” เสียงพูดแผ่วหลุดจากริมฝีปากคล้ำหนา
น่านนทีพาศศินาขึ้นรถได้อย่างปลอดภัย ร่างไร้สติของศศินานอนบนที่นั่งข้างคนขับ ที่ถูกปรับเบาะให้เอนจนสุด ก่อนที่เก๋งยุโรปจะรุดจากลานจอดรถ ทิ้งเตียงเข็ญให้เป็นปริศนาไว้ชำระความกันต่อไป
ชายหนุ่มเพียรจับหน้าผากคนที่นอนอยู่ด้านข้างด้วยความกังวล เนื่องจากอุณหภูมิในตัวของศศินาสูงขึ้นเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางนั้นเลื่อนลอยนัก หากถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้า คือคำตอบชั้นดีที่บอกเขาเป็นนัยๆ ว่า ต้องไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ ณ เวลานี้ หนทางไม่ใช่เรื่องใหญ่ จุดหมายยังอยู่อีกไกล ลมหายใจของคนข้างๆ ต่างหากที่คุมเกมส์ไว้
“น่าน...น่าน...” เสียง---สบถ---เบา---ผ่านริมฝีปากแตกขุย น่านนทีเบรกรถกะทันหัน หัวใจพอมีหวังอยู่บ้าง
“นา...นา...” หากมือหยาบที่สัมผัสกับผิวกายขาวละเอียด กลับไม่ทำให้หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้ หล่อนละเมอเพราะพิษไข้ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
“นารักน่าน...” ลมหายใจของชายหนุ่มเกือบจะหยุดตามร่างกายทุกส่วนที่ชะงักงัน ยังแต่สัมผัสความรู้สึกเท่านั้น ที่มันยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สองมือกำพวงมาลัยไว้แน่น ราวกับจะทำลายมันให้แตกสลายคามือ ก่อนที่รถจะทะยานไปตามถนนสายเปลี่ยว มีป่าไมยราพขึ้นรกชัฏทั้งสองข้างทาง โชคดีที่ถนนลาดยางทั้งสาย จึงไม่ทำให้การหลบหนีลำบากมากไปกว่านี้
เสียงละเมอของศศินาพร่ำรำพันท่ามกลางความเงียบภายในรถ บ้างก็ขาดเป็นห้วงๆ จับใจความแทบไม่ได้ บ้างก็ชัดเจนราวกับออกมาจากจิตใต้สำนึกส่วนลึก หากสายตาที่เลื่อนลอยของคนที่สติสตางค์ยังครบทุกบาทนั่นต่างหาก ที่ยากเกินจะหยั่งถึงได้ว่า รู้สึกอย่างไรในวินาทีนี้
“นารักน่าน...” ชายหนุ่มทวนประโยคซ้ำ สองมือยังกำพวงมาลัยไว้แน่น ก่อนจะระบายลมหายใจยาว
ความมืดโอบกอดทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมแขน มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถ ที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากดวงตาอีกดวง ถึงแม้แสงส้มนวลจากถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สุดปลายตาโน้น จะแจ่มชัดเพียงลางเลือน แต่ก็เปรียบเสมือนว่าจุดหมายนั้นไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
น่านนทีเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งรัดเวลา เพราะมันมีค่าพอๆ กับลมหายใจของศศินาเช่นกัน เก๋งยุโรปคันโตทะยานไปข้างหน้า ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศร
ราวสามสิบนาทีก็พาคนทั้งคู่สู่ถนนหลักแถบชานเมืองของมหานคร
“อดทนไว้นะนา...นาต้องปลอดภัย” ชายหนุ่มกล่าวกับร่างไร้สติ มิได้ใยดีว่าลมหายใจของคนข้างๆ จะรวยรินเพียงใด ในขณะที่เปลือกตาคู่นั้นของหญิงสาวนิ่งสนิท นิทรานี้ยังคงดำเนินต่อไป เหลือเพียงน่านนทีเท่านั้นที่แววตาวาววับไปยังถนนเบื้องหน้า เหตุผลอันใดที่ทำให้เฮียย้งทำร้ายศศินา? และทำไมฝ่ายนั้นทราบข่าวได้รวดเร็วเพียงนี้? นั่นต่างหากที่ทำให้เขาคิดหนัก
“ทางเรากำลังมีหนอนบ่อนไส้!” เสียงเปรยแผ่วผ่านริมฝีปาก ‘แล้วใครกัน?’ คำถามผุดขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับสองข้างทางที่เคลื่อนผ่านที่รกร้าง จนเริ่มเข้าสู่ชุมชนแถบชานเมือง มีบ้านปลูกห่างกันเป็นจุดๆ หากสายตาของชายหนุ่มหยุดที่ป้ายโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทำให้เรื่องราวที่อยู่ในหัวยุติลงเพียงแค่นั้น