ที่ว่างริมถนนมากกว่า 1 ไร่ กำลังมีชายชุดดำหลายคนเดินสำรวจที่ตามชายชราผู้เป็นเจ้าของ ‘ตาศักดิ์’ หนักใจใช่น้อยกับบรรดานายทุนที่แวะเวียนเข้ามาเสนอราคาที่ดิน ตอนแรกก็มีหลายรายอยู่ แต่พอหลังๆ เหลือแค่สองรายคือเฮียย้งกับเสี่ยอานนท์ ซึ่งคนแก่แบบตาศักดิ์ก็ทราบถึงอิทธิพลของคนทั้งคู่ดี ‘วันนี้คิวของเฮียย้งอีกแล้วหละสิ’
“สามสิบล้านพอไหม?” คำถามทีทำให้คนแก่ยิ้มเหยๆ
“ผมต้องคิดดูก่อนครับ เพราะทางเสี่ยอานนท์ก็มาถามเป็นประจำ แต่ผมไม่อยากขายเท่าไรครับ ต้องถามหลานสาวผมก่อน” ตาศักดิ์นึกถึงหลานสาวเป็นหลัก
“นอกจากสามสิบล้านแล้ว ลุงอยากได้อะไรเพิ่มก็ว่ามาเลย คิดดูดีๆ นะ ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็ติดต่อมา” ประโยคของฝ่ายนั้นไม่ต่างจากประโยคทางฝ่ายเสี่ยอานนท์เลย คือต่างคนต่างพยายามเสนอเกือบทุกอย่าง เพื่อแลกกับพื้นที่ที่มองเห็นเป็นทำเลทอง
“ครับ...” ตาศักดิ์รับคำไปอย่างนั้น ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองคนทั้งกลุ่มเดินจากไป พาลนึกถึงหลานสาวคนเดียว ผู้ที่หวงแหนที่ดินผืนนี้เป็นชีวิตจิตใจ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าอีกหน่อยจะกลายเป็นทำเลที่จะกอบโกยผลประโยชน์ แต่ทว่า
“หัวเด็ดตีนขาดนาก็ไม่ขาย! ก่อนที่พ่อกับแม่จะเสีย ท่านเคยบ่นนักหนาว่าจะเอาที่ดินผืนนี้สร้างบ้าน แล้วที่ดินผืนนี้ก็เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นทวดแล้วนะค่ะ!” ตาศักดิ์เห็นด้วยกับหลานสาวเป็นอย่างยิ่ง หากก็ห่วงความปลอดภัยของหลานสาวเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่เกรงกลัวอะไร
“คุณตาไม่ต้องห่วง ไม่มีใครทำอะไรเราได้” คนพูดมั่นใจว่าคนที่สัญญาว่า ‘จะไม่ให้ใครทำอะไรได้’ พูดจริง และเขาก็ปกป้องอย่างแท้จริงด้วย
“วันนี้พวกเฮียย้งมากันอีกแล้ว” ศศินาเปรยขึ้นในขณะที่ใช้หลอดดูดคนน้ำมะนาวไปมา ใจจริงก็หวั่นจับจิตเช่นกัน
“มาแล้วไง ไม่ขายซะอย่าง”
“นากลัวเป็นอันตรายกับตา”
“ดูๆ ไปแล้วพวกนั้นยังไม่ทำอะไรหรอก” น่านนทีเข้าใจสถานการณ์ดี ที่เขาพยายามแย่งชิงพื้นที่นอกเมืองทุกวิถีทางก็เพื่อศศินา ผู้เป็นบิดาเข้าใจดีสำหรับการปกป้องหญิงสาวคนนี้ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นเป็นทำเลทอง
“ของรักบางอย่าง เราก็ควรเข้าใจเขา” นับว่าศศินาโชคดีไปที่เสี่ยอานนท์เคยมีอดีตคล้ายๆ กับหญิงสาว หากทางฝ่ายเสี่ยอานนท์นั้น สูญเสียไปชนิดที่ไม่ได้คืน เขาเลยจดจำความสูญเสียนั้นจนถึงวันนี้
“แล้วพวกนั้นรู้รึเปล่าว่าน่านแย่งซื้อเพียงเพราะอยากช่วยนา?” น่านนทีส่ายศีรษะ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ รวมทั้งอลินด้วย
“คุณตารู้เรื่องนี้รึเปล่า?”
“นาไม่ได้บอกตา อย่าให้รู้นั่นแหละดีแล้ว” คุณตาของศศินา หรือ ‘ตาศักดิ์’ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าน่านนทีทำงานอะไร ขืนรู้...ไม่มีวันที่ศศินาจะได้ตามติดน่านนทีเป็นแน่ จริงๆ แล้วศศินาก็ไม่ได้ชื่นชมสังคมของน่านนทีเท่าไรหรอก หากหลากหลายครั้งที่เห็นคนไม่มีอันจะกินได้รับผลประโยชน์บางอย่าง จากคนที่สังคมตราหน้าว่า ‘เลว’ สถานเดียว นั่นคือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับคนจนจริงๆ
“ให้ๆ เขาไปเถอะ สักวันถ้าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีการศึกษา เขาก็จะกลับมาพัฒนาชุมชนของเขา” ใครเลยจะนึกถึงว่าคนพูดประโยคนี้คือลูกเสี่ยอานนท์ ผู้ที่เอาการพนันมอมเมาคน และเงินจำนวนหนึ่งที่รีดไถจากผู้ที่คิดอยากจะเสี่ยงโชค ได้นำมาสร้างตึกเรียนขนาดย่อมให้กับเด็กประถมในสลัม ซึ่งกว่าจะฝ่าฟันเข้ามาได้ต้องผ่านน้ำเน่า และกองขยะที่พะเนินเป็นภูเขา
“กลัวว่าได้ดีแล้วจะไม่กลับมาพัฒนาชุมชนอย่างที่หวังไว้หนะสิ” ศศินาบ่นอุบ ในขณะที่มือปิดจมูกไว้
“ถึงยังไงเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีการศึกษา” ในบางประโยคของน่านนทีดูเหมือนจะใจกว้าง และรักความยุติธรรมเหลือเกิน แต่ในบางประโยค ศศินาต้องย้อนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาต้องการอะไรจากผู้คนกันแน่
“ก็ใครบอกให้มายืมเงินเล่นการพนัน” ชายหนุ่มเคยเล่าเรื่องลูกค้าคนหนึ่งที่เข้าบ่อนมา ติดการพนันมากจนถึงขั้นยืมเงินที่ปล่อยให้กู้เล่นการพนันในบ่อน พอสุดท้ายเสียพนัน ไม่มีเงินจ่ายหนี้
“นารู้มั๊ย...ถ้าน่านแตะการพนันแม้แต่นิดเดียว พ่อน่านเอาตายแน่!” แต่เขาก็เซียนกลยุทธ์การพนันทุกชนิด ผู้เป็นบิดาเสี้ยมสอนให้เขา ‘รู้’ แต่ ห้ามริเล่นเป็นอันขาด ก็คงไม่ต่างจากเจ้าพ่อบางคนที่อยู่เบื้องหลังยาเสพย์ติดรายใหญ่ ถ้าลูกหลานตัวเองริลองเสียเอง โดนซ้อมปางตายเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว เสี่ยอานนท์สอนน่านนทีเล่นการพนันตั้งแต่อายุ 12 สอนเล่นด้วย ปากก็พร่ำบอกโทษไปด้วยไม่ขาด และหลากหลายครั้งที่ผู้เป็นบิดาพาไปดูคนที่ติดการพนันชนิดโงหัวไม่ขึ้น ทำให้น่านนทีซาบซึ้งถึงโทษของมันอย่างมหันต์
“น่านไม่อยากทำงานแบบนี้หรอกนะ แต่ถ้าคนพวกนั้นยึดมั่นในศีลธรรม เงินสักแดงเดียวน่านก็ไม่มีวันได้จากเขาหรอก พ่อบอกเสมอว่าเราไม่ใช่คนดี แต่ต้องพยายามทำความดีเมื่อมีโอกาส” ‘ความโลภ กิเลส ตัณหา’ ทั้งนั้น ที่บรรดาเจ้าพ่อทั้งหลายใช้เป็นหนทางในการกอบโกย ‘เงิน’ จากพวกที่ยินยอมเดินเขามาเสียให้เอง ไม่ได้ไปร้องขอ อาจจะเพราะการกระทำที่น่านนทีรู้ดีว่ามัน ‘เลว’ จึง รีดไถพวกคุณหญิงคุณนาย นายพลนายพันทั้งหลาย มาให้พวกเด็กสลัม พวกคนพิการ บ้านพักคนชรา รวมทั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า จะยุติธรรมหรือไม่เขาไม่ทราบ แต่เขาก็มีความสุขเมื่อได้ช่วยคนเหล่านี้
“อัญเป็นลูกสาวเฮียย้ง!”
“หืม?...” ศศินาขมวดคิ้วเป็นการถามซ้ำ น่านนทีพยักหน้าหนึ่งที
“ยายอัญเนี่ยน่ะ!...เฮ้อ!...” หญิงสาวทิ้งตัวพิงพำนักเก้าอี้ กอดอก โลกมันจะกลมอะไรได้ถึงเพียงนี้!
“ก็เพิ่งรู้วันนั้นเนี่ยแหละ แต่น่านแปลกใจว่าทำไมเฮียย้งถึงรู้ว่าน่านจะมาที่ร้านเงาไม้”
“บังเอิญรึเปล่า?” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ มองลึกลงในแววตาของหญิงสาว
“น่านรู้สึกว่าวันนั้นมีอะไรแปลกๆ ท่าทางของเฮียย้ง แล้วรู้สึกว่ามีลูกน้องเฮียย้งตามมาด้วย ไม่ได้ตามมาอารักขานะ ไอ้ส่วนที่ตามมาอารักขาหนะพอดูออก แต่ไอ้ส่วนที่จะตามมาเก็บน่าน...”
“อย่าบอกว่าเรื่องที่ดินนอกเมืองของนานะ” หญิงสาวแทรกพลางถอนหายใจ ในขณะที่ชายหนุ่มก็ถอนหายใจพรืดเดียวเช่นกัน
“น่าจะใช่...ยังดีที่มันไม่รู้ว่าน่านทำไปเพราะอยากปกป้องนา ถ้ามันรู้หละก็...น่านเป็นห่วงนา” ทั้งคู่สบตาซึ่งกันและกันราวนาที ก่อนจะตื่นจากภวังค์ หันหน้ากันไปคนละทิศละทาง รู้สึกแปลกปร่าเสมอยามที่ได้จ้องตาซึ่งกันและกัน
“นา...ก็ไม่อยากให้น่านเป็นอะไรเหมือนกัน นาคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้...”
“ไม่!...อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด น่านจะไม่ซื้อที่ของนาแน่นอน ของบางอย่างมีค่ากว่าเงินพันล้าน” ศศินาถอนหายใจเหนื่อยหนักอีกรอบ ก่อนจะเบือนหน้ามองนอกร้าน ซึ่งพบถิรวัฒน์กับอลินนั่งด้วยกันอีกโต๊ะหนึ่ง
ถิรวัฒน์หลบสายตาศศินาทันทีที่สบกัน
“นั่นวัฒน์กับลินนี่” หญิงสาวเปรย ทำให้คนทั้งคู่มองไปยังจุดนั้นพร้อมกัน ทั้งๆ ที่คนกำลังถูกมองยังคงทานข้าวตามปกติ ยังแต่ถิรวัฒน์เท่านั้นที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
“เมื่อกี้โทรคุยกัน บอกว่าจะตามมา แต่พอมาถึงไม่เห็นโทรบอกกันเลย” น่านนทีบ่น ใจจริงก็อยากจะลุกขึ้นไปทักทาย แต่พอเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของถิรวัฒน์ทำให้เปลี่ยนใจใหม่ ไม่อยากเข้าไปขัดขวางความสุขของคนทั้งคู่
“ไหนหละพี่น่าน?” อลินถามแฟนหนุ่ม
“พี่ก็ออกตามหาทั่วร้านแล้วนะ ไม่เห็นเจอ” ถิรวัฒน์ปดหญิงสาว ในขณะที่ทราบดีว่าน่านนทีอยู่ตำแหน่งไหน เพียงแต่ว่ามีต้นมะพร้าวแคระบังตาไว้เท่านั้น ซึ่งเขาคงไม่คิดว่าคนข้างในจะมองทะลุเห็นข้างนอกชัดแจ๋ว
“แน่ใจนะว่าตามหาทั่วร้านแล้ว ไปนั่งอยู่ตรงซอกมุมรึเปล่า พี่น่านชอบนั่งตรงที่ๆ สงบๆ ไม่ค่อยมีคน” อลินถามย้ำ เนื่องจากเมื่อครู่ถิรวัฒน์อาสาออกตามหาน่านนทีให้ พอรู้ว่าน่านนทีนั่งตรงจุดไหนก็ได้เพียงแต่แสยะยิ้ม
“ไม่มี...อยากนั่งกับพี่เค้ามากรึไง?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าหากอยู่ร้านเดียวกันก็อยากนั่งอยู่แหละ ไม่ได้เจอพี่น่านมาหลายวันแล้วนะ”
“วัฒน์ก็อยากเจอพี่เขาเหมือนกัน รู้สึกผิดมากๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น พี่น่านต้องมาลำบาก เพราะวัฒน์ดูแลลินไม่ดีแท้ๆ เชียว” ชายหนุ่มแสร้งตีหน้าเศร้า ในขณะที่ใจนึกหงุดหงิดกับหญิงสาวตรงหน้าเหลือเกิน แต่เขาต้องระงับอารมณ์ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ให้อลินรู้ว่าเขาต้องการญาติดีกับ ‘ไอ้พี่น่าน’ ของอลินจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ลินรู้ว่าถ้าหากวัฒน์รู้ว่าลินเป็นอะไร วัฒน์ต้องรีบมาหาแน่ๆ ส่วนพี่น่าน ไม่ยากหรอกที่จะเข้ากับพี่เขา พี่เขาใจดีจะตาย” อลินแย้มริมฝีปากแล้ว ริมฝีปากอีก นึกเลยเถิดไปจนถึงขั้นที่ทั้งคู่กอดคอคุยกันฉันมิตร
“แน่ใจหรอว่าพี่น่านจะยอมดีกับวัฒน์จริงๆ?”
“พี่ น่านไม่ใช่คนที่เกลียดใครเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น” อลินตอบเสียงอ่อย เพราะไม่แน่ใจว่าน่านนทีจะเกลียดใครเอาเป็นเอาตายอย่างที่ปากว่าหรือไม่ แต่ที่มั่นใจนั่นคือน่านนทีเกลียดใครเกลียดจริง! แต่คงไม่เป็นการยากถ้า หากจะคุยกับเขาดีๆ ความคิดของหญิงสาว หล่อนรู้จักน่านนทีไม่ดีพอ อลินทราบดีว่าน่านนทีหวังอย่างไรกับตน ความหวังนั้นบันดาลให้เขา ‘ยอม’ และการยอมของเขานั่นเองที่ทำให้อลินได้ใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าเขาคงต้องยอมไปทุกอย่าง หากเพียงแค่หล่อนกระดิกนิ้ว
“ลิน...” เสียงเรียกแผ่วเบา หากกลับทำให้คนโดนเรียกตื่นจากภวังค์
“อะไรจ๊ะ?”
“ใจลอยไปถึงไหนแล้ว?” ถิรวัฒน์ขมวดคิ้วมองคนรัก
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจ๊ะ”
“คิดอะไร...คิดถึงคนอื่นอยู่หรอ” ชายหนุ่มประชดทีเล่นทีจริง
“บ้าสิ!...ลินมีวัฒน์แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ” อลินดูดน้ำส้มจากแก้ว ลืมเลือนเรื่องที่กำลังจะย้อนคิดไปเสียสนิท ในขณะที่ถิรวัฒน์กำลังจะเริ่มต้นเรื่องของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องตัดเป็นตัดตายของชีวิต แต่...ก็น่าสนุกดี อยากจะรู้นักว่าถ้าเกิดวันใดน่านนทีหมดสิ้นทุกอย่าง มันจะเชิดหน้าชูคอได้อย่างไร หรือไม่ก็ให้มันตายๆ ไปซะ ชอบสาระแนกับชีวิตดีนัก!
“ลินไปรู้จักกับพี่น่านได้ไง?”
“พี่น่านเป็นลูกเพื่อนสนิทของแม่ลินเอง ชื่อคุณพริ้ง แต่คุณพริ้งเสียไปแล้ว บางครั้งลินยังคิดถึงคุณพริ้งอยู่เลย ท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ใจดีมากด้วย เหมือนพี่น่านนั่นแหละ” สุดท้ายหญิงสาวก็วกกลับมายกย่องน่านนทีตามเคย ซึ่งเป็นสิ่งที่ถิรวัฒน์เกลียดเข้าไส้เข้าพุง ถ้าเป็นแต่ก่อน อลินไม่กล้ากล่าวชมน่านนทีแบบนี้ตรงๆ หรอก เนื่องจากทราบดีว่าจะเป็นต้นเหตุของการมีปากเสียง และสุดท้าย ถิรวัฒน์ก็จะหนีโดยการออกไปจากห้อง กลับมาอีกทีก็รุ่งเช้าของอีกวัน
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 5)
“สามสิบล้านพอไหม?” คำถามทีทำให้คนแก่ยิ้มเหยๆ
“ผมต้องคิดดูก่อนครับ เพราะทางเสี่ยอานนท์ก็มาถามเป็นประจำ แต่ผมไม่อยากขายเท่าไรครับ ต้องถามหลานสาวผมก่อน” ตาศักดิ์นึกถึงหลานสาวเป็นหลัก
“นอกจากสามสิบล้านแล้ว ลุงอยากได้อะไรเพิ่มก็ว่ามาเลย คิดดูดีๆ นะ ถ้าตัดสินใจได้แล้วก็ติดต่อมา” ประโยคของฝ่ายนั้นไม่ต่างจากประโยคทางฝ่ายเสี่ยอานนท์เลย คือต่างคนต่างพยายามเสนอเกือบทุกอย่าง เพื่อแลกกับพื้นที่ที่มองเห็นเป็นทำเลทอง
“ครับ...” ตาศักดิ์รับคำไปอย่างนั้น ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองคนทั้งกลุ่มเดินจากไป พาลนึกถึงหลานสาวคนเดียว ผู้ที่หวงแหนที่ดินผืนนี้เป็นชีวิตจิตใจ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าอีกหน่อยจะกลายเป็นทำเลที่จะกอบโกยผลประโยชน์ แต่ทว่า
“หัวเด็ดตีนขาดนาก็ไม่ขาย! ก่อนที่พ่อกับแม่จะเสีย ท่านเคยบ่นนักหนาว่าจะเอาที่ดินผืนนี้สร้างบ้าน แล้วที่ดินผืนนี้ก็เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นทวดแล้วนะค่ะ!” ตาศักดิ์เห็นด้วยกับหลานสาวเป็นอย่างยิ่ง หากก็ห่วงความปลอดภัยของหลานสาวเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่เกรงกลัวอะไร
“คุณตาไม่ต้องห่วง ไม่มีใครทำอะไรเราได้” คนพูดมั่นใจว่าคนที่สัญญาว่า ‘จะไม่ให้ใครทำอะไรได้’ พูดจริง และเขาก็ปกป้องอย่างแท้จริงด้วย
“วันนี้พวกเฮียย้งมากันอีกแล้ว” ศศินาเปรยขึ้นในขณะที่ใช้หลอดดูดคนน้ำมะนาวไปมา ใจจริงก็หวั่นจับจิตเช่นกัน
“มาแล้วไง ไม่ขายซะอย่าง”
“นากลัวเป็นอันตรายกับตา”
“ดูๆ ไปแล้วพวกนั้นยังไม่ทำอะไรหรอก” น่านนทีเข้าใจสถานการณ์ดี ที่เขาพยายามแย่งชิงพื้นที่นอกเมืองทุกวิถีทางก็เพื่อศศินา ผู้เป็นบิดาเข้าใจดีสำหรับการปกป้องหญิงสาวคนนี้ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นเป็นทำเลทอง
“ของรักบางอย่าง เราก็ควรเข้าใจเขา” นับว่าศศินาโชคดีไปที่เสี่ยอานนท์เคยมีอดีตคล้ายๆ กับหญิงสาว หากทางฝ่ายเสี่ยอานนท์นั้น สูญเสียไปชนิดที่ไม่ได้คืน เขาเลยจดจำความสูญเสียนั้นจนถึงวันนี้
“แล้วพวกนั้นรู้รึเปล่าว่าน่านแย่งซื้อเพียงเพราะอยากช่วยนา?” น่านนทีส่ายศีรษะ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ รวมทั้งอลินด้วย
“คุณตารู้เรื่องนี้รึเปล่า?”
“นาไม่ได้บอกตา อย่าให้รู้นั่นแหละดีแล้ว” คุณตาของศศินา หรือ ‘ตาศักดิ์’ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าน่านนทีทำงานอะไร ขืนรู้...ไม่มีวันที่ศศินาจะได้ตามติดน่านนทีเป็นแน่ จริงๆ แล้วศศินาก็ไม่ได้ชื่นชมสังคมของน่านนทีเท่าไรหรอก หากหลากหลายครั้งที่เห็นคนไม่มีอันจะกินได้รับผลประโยชน์บางอย่าง จากคนที่สังคมตราหน้าว่า ‘เลว’ สถานเดียว นั่นคือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับคนจนจริงๆ
“ให้ๆ เขาไปเถอะ สักวันถ้าเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีการศึกษา เขาก็จะกลับมาพัฒนาชุมชนของเขา” ใครเลยจะนึกถึงว่าคนพูดประโยคนี้คือลูกเสี่ยอานนท์ ผู้ที่เอาการพนันมอมเมาคน และเงินจำนวนหนึ่งที่รีดไถจากผู้ที่คิดอยากจะเสี่ยงโชค ได้นำมาสร้างตึกเรียนขนาดย่อมให้กับเด็กประถมในสลัม ซึ่งกว่าจะฝ่าฟันเข้ามาได้ต้องผ่านน้ำเน่า และกองขยะที่พะเนินเป็นภูเขา
“กลัวว่าได้ดีแล้วจะไม่กลับมาพัฒนาชุมชนอย่างที่หวังไว้หนะสิ” ศศินาบ่นอุบ ในขณะที่มือปิดจมูกไว้
“ถึงยังไงเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีการศึกษา” ในบางประโยคของน่านนทีดูเหมือนจะใจกว้าง และรักความยุติธรรมเหลือเกิน แต่ในบางประโยค ศศินาต้องย้อนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาต้องการอะไรจากผู้คนกันแน่
“ก็ใครบอกให้มายืมเงินเล่นการพนัน” ชายหนุ่มเคยเล่าเรื่องลูกค้าคนหนึ่งที่เข้าบ่อนมา ติดการพนันมากจนถึงขั้นยืมเงินที่ปล่อยให้กู้เล่นการพนันในบ่อน พอสุดท้ายเสียพนัน ไม่มีเงินจ่ายหนี้
“นารู้มั๊ย...ถ้าน่านแตะการพนันแม้แต่นิดเดียว พ่อน่านเอาตายแน่!” แต่เขาก็เซียนกลยุทธ์การพนันทุกชนิด ผู้เป็นบิดาเสี้ยมสอนให้เขา ‘รู้’ แต่ ห้ามริเล่นเป็นอันขาด ก็คงไม่ต่างจากเจ้าพ่อบางคนที่อยู่เบื้องหลังยาเสพย์ติดรายใหญ่ ถ้าลูกหลานตัวเองริลองเสียเอง โดนซ้อมปางตายเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว เสี่ยอานนท์สอนน่านนทีเล่นการพนันตั้งแต่อายุ 12 สอนเล่นด้วย ปากก็พร่ำบอกโทษไปด้วยไม่ขาด และหลากหลายครั้งที่ผู้เป็นบิดาพาไปดูคนที่ติดการพนันชนิดโงหัวไม่ขึ้น ทำให้น่านนทีซาบซึ้งถึงโทษของมันอย่างมหันต์
“น่านไม่อยากทำงานแบบนี้หรอกนะ แต่ถ้าคนพวกนั้นยึดมั่นในศีลธรรม เงินสักแดงเดียวน่านก็ไม่มีวันได้จากเขาหรอก พ่อบอกเสมอว่าเราไม่ใช่คนดี แต่ต้องพยายามทำความดีเมื่อมีโอกาส” ‘ความโลภ กิเลส ตัณหา’ ทั้งนั้น ที่บรรดาเจ้าพ่อทั้งหลายใช้เป็นหนทางในการกอบโกย ‘เงิน’ จากพวกที่ยินยอมเดินเขามาเสียให้เอง ไม่ได้ไปร้องขอ อาจจะเพราะการกระทำที่น่านนทีรู้ดีว่ามัน ‘เลว’ จึง รีดไถพวกคุณหญิงคุณนาย นายพลนายพันทั้งหลาย มาให้พวกเด็กสลัม พวกคนพิการ บ้านพักคนชรา รวมทั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า จะยุติธรรมหรือไม่เขาไม่ทราบ แต่เขาก็มีความสุขเมื่อได้ช่วยคนเหล่านี้
“อัญเป็นลูกสาวเฮียย้ง!”
“หืม?...” ศศินาขมวดคิ้วเป็นการถามซ้ำ น่านนทีพยักหน้าหนึ่งที
“ยายอัญเนี่ยน่ะ!...เฮ้อ!...” หญิงสาวทิ้งตัวพิงพำนักเก้าอี้ กอดอก โลกมันจะกลมอะไรได้ถึงเพียงนี้!
“ก็เพิ่งรู้วันนั้นเนี่ยแหละ แต่น่านแปลกใจว่าทำไมเฮียย้งถึงรู้ว่าน่านจะมาที่ร้านเงาไม้”
“บังเอิญรึเปล่า?” ชายหนุ่มส่ายศีรษะ มองลึกลงในแววตาของหญิงสาว
“น่านรู้สึกว่าวันนั้นมีอะไรแปลกๆ ท่าทางของเฮียย้ง แล้วรู้สึกว่ามีลูกน้องเฮียย้งตามมาด้วย ไม่ได้ตามมาอารักขานะ ไอ้ส่วนที่ตามมาอารักขาหนะพอดูออก แต่ไอ้ส่วนที่จะตามมาเก็บน่าน...”
“อย่าบอกว่าเรื่องที่ดินนอกเมืองของนานะ” หญิงสาวแทรกพลางถอนหายใจ ในขณะที่ชายหนุ่มก็ถอนหายใจพรืดเดียวเช่นกัน
“น่าจะใช่...ยังดีที่มันไม่รู้ว่าน่านทำไปเพราะอยากปกป้องนา ถ้ามันรู้หละก็...น่านเป็นห่วงนา” ทั้งคู่สบตาซึ่งกันและกันราวนาที ก่อนจะตื่นจากภวังค์ หันหน้ากันไปคนละทิศละทาง รู้สึกแปลกปร่าเสมอยามที่ได้จ้องตาซึ่งกันและกัน
“นา...ก็ไม่อยากให้น่านเป็นอะไรเหมือนกัน นาคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้...”
“ไม่!...อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด น่านจะไม่ซื้อที่ของนาแน่นอน ของบางอย่างมีค่ากว่าเงินพันล้าน” ศศินาถอนหายใจเหนื่อยหนักอีกรอบ ก่อนจะเบือนหน้ามองนอกร้าน ซึ่งพบถิรวัฒน์กับอลินนั่งด้วยกันอีกโต๊ะหนึ่ง
ถิรวัฒน์หลบสายตาศศินาทันทีที่สบกัน
“นั่นวัฒน์กับลินนี่” หญิงสาวเปรย ทำให้คนทั้งคู่มองไปยังจุดนั้นพร้อมกัน ทั้งๆ ที่คนกำลังถูกมองยังคงทานข้าวตามปกติ ยังแต่ถิรวัฒน์เท่านั้นที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
“เมื่อกี้โทรคุยกัน บอกว่าจะตามมา แต่พอมาถึงไม่เห็นโทรบอกกันเลย” น่านนทีบ่น ใจจริงก็อยากจะลุกขึ้นไปทักทาย แต่พอเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของถิรวัฒน์ทำให้เปลี่ยนใจใหม่ ไม่อยากเข้าไปขัดขวางความสุขของคนทั้งคู่
“ไหนหละพี่น่าน?” อลินถามแฟนหนุ่ม
“พี่ก็ออกตามหาทั่วร้านแล้วนะ ไม่เห็นเจอ” ถิรวัฒน์ปดหญิงสาว ในขณะที่ทราบดีว่าน่านนทีอยู่ตำแหน่งไหน เพียงแต่ว่ามีต้นมะพร้าวแคระบังตาไว้เท่านั้น ซึ่งเขาคงไม่คิดว่าคนข้างในจะมองทะลุเห็นข้างนอกชัดแจ๋ว
“แน่ใจนะว่าตามหาทั่วร้านแล้ว ไปนั่งอยู่ตรงซอกมุมรึเปล่า พี่น่านชอบนั่งตรงที่ๆ สงบๆ ไม่ค่อยมีคน” อลินถามย้ำ เนื่องจากเมื่อครู่ถิรวัฒน์อาสาออกตามหาน่านนทีให้ พอรู้ว่าน่านนทีนั่งตรงจุดไหนก็ได้เพียงแต่แสยะยิ้ม
“ไม่มี...อยากนั่งกับพี่เค้ามากรึไง?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าหากอยู่ร้านเดียวกันก็อยากนั่งอยู่แหละ ไม่ได้เจอพี่น่านมาหลายวันแล้วนะ”
“วัฒน์ก็อยากเจอพี่เขาเหมือนกัน รู้สึกผิดมากๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น พี่น่านต้องมาลำบาก เพราะวัฒน์ดูแลลินไม่ดีแท้ๆ เชียว” ชายหนุ่มแสร้งตีหน้าเศร้า ในขณะที่ใจนึกหงุดหงิดกับหญิงสาวตรงหน้าเหลือเกิน แต่เขาต้องระงับอารมณ์ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ให้อลินรู้ว่าเขาต้องการญาติดีกับ ‘ไอ้พี่น่าน’ ของอลินจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ ลินรู้ว่าถ้าหากวัฒน์รู้ว่าลินเป็นอะไร วัฒน์ต้องรีบมาหาแน่ๆ ส่วนพี่น่าน ไม่ยากหรอกที่จะเข้ากับพี่เขา พี่เขาใจดีจะตาย” อลินแย้มริมฝีปากแล้ว ริมฝีปากอีก นึกเลยเถิดไปจนถึงขั้นที่ทั้งคู่กอดคอคุยกันฉันมิตร
“แน่ใจหรอว่าพี่น่านจะยอมดีกับวัฒน์จริงๆ?”
“พี่ น่านไม่ใช่คนที่เกลียดใครเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น” อลินตอบเสียงอ่อย เพราะไม่แน่ใจว่าน่านนทีจะเกลียดใครเอาเป็นเอาตายอย่างที่ปากว่าหรือไม่ แต่ที่มั่นใจนั่นคือน่านนทีเกลียดใครเกลียดจริง! แต่คงไม่เป็นการยากถ้า หากจะคุยกับเขาดีๆ ความคิดของหญิงสาว หล่อนรู้จักน่านนทีไม่ดีพอ อลินทราบดีว่าน่านนทีหวังอย่างไรกับตน ความหวังนั้นบันดาลให้เขา ‘ยอม’ และการยอมของเขานั่นเองที่ทำให้อลินได้ใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าเขาคงต้องยอมไปทุกอย่าง หากเพียงแค่หล่อนกระดิกนิ้ว
“ลิน...” เสียงเรียกแผ่วเบา หากกลับทำให้คนโดนเรียกตื่นจากภวังค์
“อะไรจ๊ะ?”
“ใจลอยไปถึงไหนแล้ว?” ถิรวัฒน์ขมวดคิ้วมองคนรัก
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจ๊ะ”
“คิดอะไร...คิดถึงคนอื่นอยู่หรอ” ชายหนุ่มประชดทีเล่นทีจริง
“บ้าสิ!...ลินมีวัฒน์แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ” อลินดูดน้ำส้มจากแก้ว ลืมเลือนเรื่องที่กำลังจะย้อนคิดไปเสียสนิท ในขณะที่ถิรวัฒน์กำลังจะเริ่มต้นเรื่องของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องตัดเป็นตัดตายของชีวิต แต่...ก็น่าสนุกดี อยากจะรู้นักว่าถ้าเกิดวันใดน่านนทีหมดสิ้นทุกอย่าง มันจะเชิดหน้าชูคอได้อย่างไร หรือไม่ก็ให้มันตายๆ ไปซะ ชอบสาระแนกับชีวิตดีนัก!
“ลินไปรู้จักกับพี่น่านได้ไง?”
“พี่น่านเป็นลูกเพื่อนสนิทของแม่ลินเอง ชื่อคุณพริ้ง แต่คุณพริ้งเสียไปแล้ว บางครั้งลินยังคิดถึงคุณพริ้งอยู่เลย ท่านเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ใจดีมากด้วย เหมือนพี่น่านนั่นแหละ” สุดท้ายหญิงสาวก็วกกลับมายกย่องน่านนทีตามเคย ซึ่งเป็นสิ่งที่ถิรวัฒน์เกลียดเข้าไส้เข้าพุง ถ้าเป็นแต่ก่อน อลินไม่กล้ากล่าวชมน่านนทีแบบนี้ตรงๆ หรอก เนื่องจากทราบดีว่าจะเป็นต้นเหตุของการมีปากเสียง และสุดท้าย ถิรวัฒน์ก็จะหนีโดยการออกไปจากห้อง กลับมาอีกทีก็รุ่งเช้าของอีกวัน