อลินออกจากโรงพยาบาลแล้ว และยังพำนักอาศัยอยู่ที่บ้านตากอากาศที่เชียงใหม่ ศศินาเองก็เช่นกัน หญิงสาวผู้ที่เขาเข้าใจผิดว่ารักเหลือล้น จนปล่อยให้เวลาล่วงเลย บอกกับเขาว่าอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เชียงใหม่เช่นกัน
“พี่น่านกับพี่นาอยู่ที่ไหน ลินขออยู่ด้วยคนละกัน” ถึงแม้ชายหนุ่มจะลำบากใจอยู่บ้าง ปากก็พร่ำๆ ว่าน้องสาว...น้องสาว...ยังไงก็เถอะ แต่ลึกๆ เขาอยากใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่กับศศินา ส่วนลูกน้องที่เหลือเพียงแค่เปิดปากถามลอยๆ เรื่องอนาคตเท่านั้น ได้ความกลับมาว่า...
“บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่นายมีให้ ตั้งแต่เล็กยันโต มันมากเกินกว่าจะนับได้ครับท่าน”
“เฮ้ย...ไม่น่า...พอๆ อย่ามาท่ง ท่าน อะไรกัน มันจบไปแล้ว ตอนนี้เราก็เป็นพี่น้องกันหมดแล้ว ถึงแต่ละคนจะมามือเปล่ากันตั้งแต่เกิด แต่ก็ถือว่าตอนนี้เราก็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ให้นับถือกันเสมือนพี่กับน้องเถอะ” ชายหนุ่มโวยวาย ประโยคท้ายๆ หมายถึงปูมหลังของแต่ละคน ที่บ้างก็เด็กขอทาน หนีหัวซุกหัวซุนจากพวกหากินบนความสงสารของคนบ้าง มานั่งยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วขอร้องให้เอาไปเลี้ยง ไอ้คนนี้มันคงคิดว่าเสี่ยอานนท์คือเศรษฐีผู้ใจบุญ แต่พ่อของน่านนทีก็เก็บมันมาเลี้ยง แล้วเรียกมันว่าลูก เฉกเช่นกับเด็กกำพร้าคนอื่น ที่บัดนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่ ยืนหน้าสลอนกันราว 10 คนนี่ไง
แต่พวกมันต้องแลกกับการทำงานให้แวดวงมืดให้ ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่พวกมันก็กินอยู่สบาย ไม่ต้องโดนตีต่อยยามที่หาเศษเงินไปให้พวกเดนนรก ใช้เด็กไปขายพวงมาลัย ขอทาน ใช้คนพิการออกไปขายดอกไม้ พอหาเงินได้ไม่พอ พวกเด็กๆ ก็โดนตบตี บ้างอดข้าว
บางคนทำเป็นรู้แกว ว่าถ้าให้เงินเด็กพวกนี้ เดี๋ยวก็เอาไปให้พวกที่ใช้มาอยู่ดี เลยคิดว่าให้ขนม ให้อาหารแทนก็แล้วกัน เด็กพวกนี้มันไม่เอาหรอก ถึงแม้น้ำลายจะสออยู่ที่มุมปาก แทบจะหยาดแหมะลงบนพื้นก็เถอะ เพราะถ้ามันรับของพวกนี้ มันจะโดนซ้อม ลงโทษ!
ถึงแม้เสี่ยอานนท์จะเป็นผู้มีอิทธิพล สั่งฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมมาก่อน แต่เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า น่านนทีเองก็เช่นเดียวกัน ‘บุญคุณ’ ตรงนี้ ทำให้ชายหนุ่มไม่หัวเดียวกระเทียมลีบ แม้กระทั่งวินาทีที่ไม่มีแล้ว รถยุโรปคันโต ไม่มีบ้านหลังเท่าคฤหาสน์อันมีน้ำพุพุ่งสูงกลางลานบ้าน ไม่มีคนสวนที่ขยันตัดก้านแต่งใบดอกไม้ประดับบ้าน ไม่มีใครที่ยืนตรงค้อมหัวแทบจะจรดพื้นอย่างอดีต แต่...ทุกวันนี้เขามีความสุข ‘ความสุข’ ที่ไม่อาจหาได้ด้วยเงิน
เขามีที่ว่างกว้างพอที่จะทำธุรกิจ อยู่บริเวณช้างคลาน เป็นย่านธุรกิจเสียด้วย ที่ตรงนี้มีคนเสนอราคามากมายหลายร้อยล้าน เขาคิดไม่ตกเสียจริงว่าจะเอาทำอะไรกันแน่ ต้องรอปรึกษาศศินา หญิงสาวผู้ที่เขาหมายมั่นว่าจะเอาเป็นคู่ชีวิตแน่แท้หละ เหตุการณ์อันทำให้ร่วมทุกข์เคียงสุขกันมา คือบทพิสูจน์ว่าหญิงสาวคนนี้...เขาพร้อมจะมอบชีวิตที่เหลือให้หล่อนดูแล เอาเถิด...เคลียร์เรื่องทรัพย์สินให้เรียบร้อย เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น เขาจะได้ระทึกใจซ้ำอีก ด้วยเหตุที่ว่าหล่อนจะตัดสินใจกับเขาอย่างไร! อลินก็พูดรู้เรื่องแล้ว...หรอ? ใจหนึ่งสวน...แทรก...ขึ้นมา ทำให้สะดุดเพ้อเพียงแค่นั้น น่านนทีระบายหายใจหนักๆ ออกมา ยิ่งกว่าตอนที่คิดไม่ตกตอนที่พาศศินาหนีตายมาเชียงใหม่เสียอีก
คน...เวลามันปกติดี นี่มันก็น่ากลัวไปอีกแบบนะ เพราะมันมีแรงทำอะไร คิดอะไรก็ได้ตามแต่ใจมันหนะสิ! เขาไม่ยัก...วางใจอลิน 100% สนิท เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ กับผู้หญิงคนนี้ จนในบางทีแอบคิดว่าควรแนะนำให้หล่อนกลับไปอยู่ชลบุรีเหมือนเดิมดีกว่า แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะเสียมารยาท หรือทำให้หล่อนคิดว่าขับไสไล่ส่ง แต่ก็เอาเถิด...ถ้าหากหล่อนทำความวุ่นวาย อันเกี่ยวเนื่องกับศศินาละก็...เขาไม่ใช่พระเอกสุภาพลูกผู้ชายมาจากที่ไหน เขาเห็นความสำคัญของคนที่เขารักมากกว่าคนอื่น เขาจะบอกตรงๆ กับอลินแน่ ว่าเขาไม่สามารถให้หล่อนอยู่ร่วมด้วยได้!
น่านนทีกลับไปปรึกษาทนายความส่วนตัวเรื่องทรัพย์สินอีกครั้ง และไอ้พันก็ติดตามเขามาด้วย ส่วนไอ้พวกที่เหลือก็ออกตระเวนเที่ยวเมืองเหนืออย่างหนำใจ ‘ความสุข’ ที่ไม่ต้องคอยระวังว่าใครจะตามฆ่า ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะพูดจาอะไรก็ไม่จำเป็นต้องคิดแล้วคิดอีก อิสระสินะ...ดูท่าทางพวกมันจะมีความสุข และเขาเองก็สุขใช่น้อย หมดสิ้นกันที ชีวิตที่แม้ยามสว่างก็ยังต้องก้าวอย่างระแวดระวัง ราวกระสุนมันจะรัวออกมาจากทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง อยู่ตลอดเวลา
‘คุณชลิต’ ทนายประจำตระกูลของเขา แสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด น้ำที่หล่อลื่นในดวงตาของท่าน คือสิ่งที่ฟ้องว่าสนิทกับเสี่ยอานนท์เพียงใด ถึงแม้คุณชลิตจะดูแก่วัยกว่าเสี่ยอานนท์หลายเท่า น่านนทีเพิ่งได้สังเกตบุรุษสูงวัยตรงหน้าจริงๆ ก็วันนี้ เส้นผมของเขาขาวโพลน ส่วนเส้นดำแซมแค่ประดับ ให้พอรู้ว่าไม่แก่มากมายจนต้องเติม ‘งั่ก’ ไปข้างหลังเท่านั้นเอง ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับการอยู่เคียงคู่วงศ์ตระกูลมา เห็นว่าคุณชลิตเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทของบิดาตั้งแต่สมัยเรียน เขาสาธยายทรัพย์สินที่มีอยู่ ซึ่งบิดายกให้เป็นของเขาเสีย 90% ส่วน 10% ที่เหลือ แบ่งให้คนเก่าคนแก่ประจำบ้าน ที่คอยดูแลเสี่ยอานนท์มานานเกินค่อนชีวิต และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ที่ถึงแม้จะน้อยนิด แต่เสี่ยอานนท์ก็ไม่เคยลืมจะมอบสมบัติบางชิ้นให้เขาเหล่านั้น ‘คนจริง’ มักไม่ลืมคุณใคร พอๆ กับที่ว่า ‘แค้นใคร’ ให้ห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่ง!
“คุณน่านจะทำยังไงกับคาสิโนต่อไป?” คนถามคงอยากตั้งประเด็นนี้ตั้งแต่พบหน้าชายหนุ่ม แต่ก็ทำเป็นทักทายยืดเยื้อ คุยเรื่องพินัยกรรมที่ตนต้องรับผิดชอบเสียก่อน
“ผมจะปล่อยทิ้งร้าง...” คนฟังแทบไม่ต้องคิดตามกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะทราบดีว่าเขาไม่พูดเล่นแน่นอน ถึงแม้ที่ดินตรงนั้น จะมหาศาลขนาดเนรมิตเป็นสวรรค์บนดินอย่างพวกรีสอร์ท หรือสวนสนุกได้ก็เถอะ
“ไม่คิดจะปรับปรุง หรือสร้างอะไรใหม่ขึ้นมาแทนที่เลยหรือ?” คนแก่รุกต่อด้วยเสียดายแทน
“ไม่ครับ...ไม่ใช่ที่นี่ที่เดียว พวกสถานเริงรมย์ต่างๆ ผมจะปิดตัวลง แต่ไม่ขาย ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น” คราวนี้คนฟังชักหัวคิ้วเข้าหากัน จนเกิดรอยย่นเป็นเส้น จะว่าสิทธิของสมบัติเขาก็เถอะ แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ควรแนะนำอะไรบ้าง เผื่อเกิดประโยชน์ คนตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกชายของผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขตั้งแต่นั่งกินข้าวแกงข้างถนนด้วยกันแล้ว
“ไม่เสียดายหรอ ผมคิดว่าคุณควรขาย หรือไม่ก็เปลี่ยนไปทำธุรกิจอย่างอื่นก็ได้” น่านนทีส่ายศีรษะ
“มันเป็นสิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมา ผมทำลายไม่ลงหรอกครับ ถึงแม้ผมจะไม่ยินดีสานต่อก็ตาม” คุณชลิตจึงยอมจำนนด้วยเหตุผลนั้น เพราะทราบดีว่าบุตรชายของเพื่อน ลองให้ได้ตัดสินใจอะไรแล้ว เขาต้องคิดแล้วคิดอีก ทบทวนหลายสิบร้อยรอบ และคงไม่คิดแค่วันสองวันแน่นอน มันยากเกินเปลี่ยนใจ คนแก่กว่าจึงพยักหน้ารับติดต่อกันหลายๆ ทีเป็นอันยอมแพ้
สมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้ คงไม่มีสิ่งไหนล้ำค่าเท่าที่ดินเปล่า ย่านธุรกิจในตัวเมืองเชียงใหม่!
ถ้าชายหนุ่มไม่เคยอยู่ในแวดวงสีเลือด ที่ต้องวางมาดท่าทีให้เคร่งขรึมน่ายำเกรงตลอดเวลา เขาคงกระโดดโลดเต้นราวกับได้รับพรจากสวรรค์แล้ว หาก ณ วินาทีนี้ เขาคงแสดงความปรีดาทั้งหลายฉายออกทางแววตาเท่านั้น ในขณะที่ไอ้พันซึ่งทำหน้าที่ขับรถ นั่งอยู่เคียงข้างเขา แอบมองเจ้านายแล้ว...เจ้านายอีก
“ดูท่าทางนายจะมีความสุขนะครับ” ไอ้พันแซว
“เลิกเรียกฉันว่านายเถอะ...มันไม่มีนายอะไรที่ไหนอีกแล้ว ต่อไปนี้เราก็ไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกัน” คนฟังเลิกคิ้ว ก่อนจะปฏิเสธเสียงเรียบ
“ไม่ดีกว่าครับ...มันชินปากไปเสียแล้ว” ความกริ่งเกรงในตัวคนที่เคยไว้ชีวิตยังเต็มเปี่ยม
“ฉันจะปรึกษานาเรื่องที่ดินเปล่าในเชียงใหม่ ให้นาเลือกว่าจะเอายังไงต่อไป นาเค้าอยากทำอะไร ฉันจะตามใจเค้า” ประโยคนั้นชัดแจ้งในตัวว่าคนพูดรู้สึกอย่างไรกับหญิงสาวที่กล่าวถึง
“ที่ดินตรงไหนหละครับนาย ที่ท่านมอบให้ก็มากมายอยู่” ตอนที่คุยเรื่องทรัพย์สิน ไอ้พันก็อยู่ร่วมด้วย น่านนทีไม่จำเป็นต้องปิดบัง หลบซ่อนอะไรใครอีกต่อไป และเขาไว้วางใจลูกน้องที่เหลือทั้งหมด
“ตรงช้างคลานไง ย่านฝรั่ง ที่ดินเปล่าตั้งหลายไร่ อาจจะเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือจะสร้างเกสต์เฮาส์ ก็แล้วแต่เค้า ส่วนบ้าน...พี่จะให้เค้าเลือกว่าจะอยู่ไหน” ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามตัวเองแบบสายฟ้าแลบเอากับคนที่เคยเป็นลูกน้องมาก่อน และเป็นอันบ่งบอกในตัวว่าเขาอายุมากกว่าไอ้พัน
“แล้ว...คุณลินหละครับ” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงหญิงสาวอีกนาง ซึ่งไอ้พันก็คงรู้ที่มาที่ไปทั้งหมดจากคุณวรุต คนที่ทิ้งชาติเสือป่าแล้ว อดไม่ได้จะระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา
หญิงสาวอีกนางนั้น...ก็ไร้ญาติขาดมิตรในบ้านนี้เมืองนี้ พ่อแม่พี่น้องของอลินอยู่ต่างประเทศกันหมด เขาจะทำอย่างไร ใช่สิ...เขาต้องถามอลินตรงๆ แบบขวานผ่าซากไปเลย จะมานั่งอมพะงำเกรงกลัวความรู้สึกของฝ่ายนั้นไปทำไม รังแต่จะยืดเวลาออกไปให้เสียเปล่า ถึงแม้หล่อนจะประกาศว่าจะขออยู่ที่เชียงใหม่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดนี่ ว่าจะอยู่ยังไง พักที่ไหน ทำอะไร เขาควรต้องถามให้ชัดแจ้งกว่านี้สินะ ความผูกพันด้านเวลาระหว่างเขากับอลิน ทำให้เขาทิ้งหล่อนไม่ได้ ไม่ว่าวันนี้ลายตาที่มองหล่อนจะตาลปัตร...ไม่เหลือเส้นลายเส้นไหนที่จะเสน่ห์หาแล้วก็ตาม หล่อนน่าสงสารเสมอสำหรับเขา
“คงต้องคุยกับเขาตรงๆ” คราวนี้ไอ้พันเสียอีกที่ระบายลมหายใจ ลึกลงไป...เขามองว่าหญิงสาวที่นายโอบอุ้มไว้ ดูแปลกๆ ชอบกล แต่จะไม่ออกความเห็นใดๆ กับเรื่องนี้ รอให้ ‘ยายนั่น’ ทำเรื่องขึ้นมาอีกรอบเถอะ เขาคงต้องเข้าไปยุ่งบ้างแล้วหละ! เขายังจำว่าอลินหักหลังน่านนทีไว้อย่างไร ได้แนบแน่น...เต็มใจ
“ผับ บาร์ บ่อน นายจะปิดไปเลยใช่มั๊ยครับ?” ไอ้พันเปลี่ยนเรื่อง และยังคงไม่ยอมโอนอ่อนนับพี่นับน้องกับคนที่นั่งข้าง
“ปิด...ทิ้งร้างไว้...ไม่ขายด้วย” คนฟังพยักหน้ารับ
“ข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ข้างในหละครับ?” ไอ้พันหมายถึงสิ่งของประดามี ที่ตกแต่งสถานที่ข้างในไว้อย่างอลังการ ถ้าเป็นผับ จำพวกโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา ทั้งหลายแหล่ ก็ออกแบบเป็นสไตล์ยุโรปบ้าง โมเดิร์นบ้าง วินเทจบ้าง แล้วแต่ว่าผับนั้นจะอยู่ในคอนเซปต์ไหน มันมากมายเกือบสิบที่...ที่เสี่ยอานนท์เคยกุมอำนาจไว้ คนถามจึงถามอย่างไม่แน่ใจในการตัดสินของทายาทธุรกิจนัก
ลั่นระทม
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 24)
“พี่น่านกับพี่นาอยู่ที่ไหน ลินขออยู่ด้วยคนละกัน” ถึงแม้ชายหนุ่มจะลำบากใจอยู่บ้าง ปากก็พร่ำๆ ว่าน้องสาว...น้องสาว...ยังไงก็เถอะ แต่ลึกๆ เขาอยากใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่กับศศินา ส่วนลูกน้องที่เหลือเพียงแค่เปิดปากถามลอยๆ เรื่องอนาคตเท่านั้น ได้ความกลับมาว่า...
“บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่นายมีให้ ตั้งแต่เล็กยันโต มันมากเกินกว่าจะนับได้ครับท่าน”
“เฮ้ย...ไม่น่า...พอๆ อย่ามาท่ง ท่าน อะไรกัน มันจบไปแล้ว ตอนนี้เราก็เป็นพี่น้องกันหมดแล้ว ถึงแต่ละคนจะมามือเปล่ากันตั้งแต่เกิด แต่ก็ถือว่าตอนนี้เราก็ครอบครัวเดียวกันแล้ว ให้นับถือกันเสมือนพี่กับน้องเถอะ” ชายหนุ่มโวยวาย ประโยคท้ายๆ หมายถึงปูมหลังของแต่ละคน ที่บ้างก็เด็กขอทาน หนีหัวซุกหัวซุนจากพวกหากินบนความสงสารของคนบ้าง มานั่งยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วขอร้องให้เอาไปเลี้ยง ไอ้คนนี้มันคงคิดว่าเสี่ยอานนท์คือเศรษฐีผู้ใจบุญ แต่พ่อของน่านนทีก็เก็บมันมาเลี้ยง แล้วเรียกมันว่าลูก เฉกเช่นกับเด็กกำพร้าคนอื่น ที่บัดนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่ ยืนหน้าสลอนกันราว 10 คนนี่ไง
แต่พวกมันต้องแลกกับการทำงานให้แวดวงมืดให้ ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่พวกมันก็กินอยู่สบาย ไม่ต้องโดนตีต่อยยามที่หาเศษเงินไปให้พวกเดนนรก ใช้เด็กไปขายพวงมาลัย ขอทาน ใช้คนพิการออกไปขายดอกไม้ พอหาเงินได้ไม่พอ พวกเด็กๆ ก็โดนตบตี บ้างอดข้าว
บางคนทำเป็นรู้แกว ว่าถ้าให้เงินเด็กพวกนี้ เดี๋ยวก็เอาไปให้พวกที่ใช้มาอยู่ดี เลยคิดว่าให้ขนม ให้อาหารแทนก็แล้วกัน เด็กพวกนี้มันไม่เอาหรอก ถึงแม้น้ำลายจะสออยู่ที่มุมปาก แทบจะหยาดแหมะลงบนพื้นก็เถอะ เพราะถ้ามันรับของพวกนี้ มันจะโดนซ้อม ลงโทษ!
ถึงแม้เสี่ยอานนท์จะเป็นผู้มีอิทธิพล สั่งฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมมาก่อน แต่เขาไม่เคยคิดจะทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า น่านนทีเองก็เช่นเดียวกัน ‘บุญคุณ’ ตรงนี้ ทำให้ชายหนุ่มไม่หัวเดียวกระเทียมลีบ แม้กระทั่งวินาทีที่ไม่มีแล้ว รถยุโรปคันโต ไม่มีบ้านหลังเท่าคฤหาสน์อันมีน้ำพุพุ่งสูงกลางลานบ้าน ไม่มีคนสวนที่ขยันตัดก้านแต่งใบดอกไม้ประดับบ้าน ไม่มีใครที่ยืนตรงค้อมหัวแทบจะจรดพื้นอย่างอดีต แต่...ทุกวันนี้เขามีความสุข ‘ความสุข’ ที่ไม่อาจหาได้ด้วยเงิน
เขามีที่ว่างกว้างพอที่จะทำธุรกิจ อยู่บริเวณช้างคลาน เป็นย่านธุรกิจเสียด้วย ที่ตรงนี้มีคนเสนอราคามากมายหลายร้อยล้าน เขาคิดไม่ตกเสียจริงว่าจะเอาทำอะไรกันแน่ ต้องรอปรึกษาศศินา หญิงสาวผู้ที่เขาหมายมั่นว่าจะเอาเป็นคู่ชีวิตแน่แท้หละ เหตุการณ์อันทำให้ร่วมทุกข์เคียงสุขกันมา คือบทพิสูจน์ว่าหญิงสาวคนนี้...เขาพร้อมจะมอบชีวิตที่เหลือให้หล่อนดูแล เอาเถิด...เคลียร์เรื่องทรัพย์สินให้เรียบร้อย เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น เขาจะได้ระทึกใจซ้ำอีก ด้วยเหตุที่ว่าหล่อนจะตัดสินใจกับเขาอย่างไร! อลินก็พูดรู้เรื่องแล้ว...หรอ? ใจหนึ่งสวน...แทรก...ขึ้นมา ทำให้สะดุดเพ้อเพียงแค่นั้น น่านนทีระบายหายใจหนักๆ ออกมา ยิ่งกว่าตอนที่คิดไม่ตกตอนที่พาศศินาหนีตายมาเชียงใหม่เสียอีก
คน...เวลามันปกติดี นี่มันก็น่ากลัวไปอีกแบบนะ เพราะมันมีแรงทำอะไร คิดอะไรก็ได้ตามแต่ใจมันหนะสิ! เขาไม่ยัก...วางใจอลิน 100% สนิท เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ กับผู้หญิงคนนี้ จนในบางทีแอบคิดว่าควรแนะนำให้หล่อนกลับไปอยู่ชลบุรีเหมือนเดิมดีกว่า แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะเสียมารยาท หรือทำให้หล่อนคิดว่าขับไสไล่ส่ง แต่ก็เอาเถิด...ถ้าหากหล่อนทำความวุ่นวาย อันเกี่ยวเนื่องกับศศินาละก็...เขาไม่ใช่พระเอกสุภาพลูกผู้ชายมาจากที่ไหน เขาเห็นความสำคัญของคนที่เขารักมากกว่าคนอื่น เขาจะบอกตรงๆ กับอลินแน่ ว่าเขาไม่สามารถให้หล่อนอยู่ร่วมด้วยได้!
น่านนทีกลับไปปรึกษาทนายความส่วนตัวเรื่องทรัพย์สินอีกครั้ง และไอ้พันก็ติดตามเขามาด้วย ส่วนไอ้พวกที่เหลือก็ออกตระเวนเที่ยวเมืองเหนืออย่างหนำใจ ‘ความสุข’ ที่ไม่ต้องคอยระวังว่าใครจะตามฆ่า ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ จะพูดจาอะไรก็ไม่จำเป็นต้องคิดแล้วคิดอีก อิสระสินะ...ดูท่าทางพวกมันจะมีความสุข และเขาเองก็สุขใช่น้อย หมดสิ้นกันที ชีวิตที่แม้ยามสว่างก็ยังต้องก้าวอย่างระแวดระวัง ราวกระสุนมันจะรัวออกมาจากทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง อยู่ตลอดเวลา
‘คุณชลิต’ ทนายประจำตระกูลของเขา แสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด น้ำที่หล่อลื่นในดวงตาของท่าน คือสิ่งที่ฟ้องว่าสนิทกับเสี่ยอานนท์เพียงใด ถึงแม้คุณชลิตจะดูแก่วัยกว่าเสี่ยอานนท์หลายเท่า น่านนทีเพิ่งได้สังเกตบุรุษสูงวัยตรงหน้าจริงๆ ก็วันนี้ เส้นผมของเขาขาวโพลน ส่วนเส้นดำแซมแค่ประดับ ให้พอรู้ว่าไม่แก่มากมายจนต้องเติม ‘งั่ก’ ไปข้างหลังเท่านั้นเอง ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับการอยู่เคียงคู่วงศ์ตระกูลมา เห็นว่าคุณชลิตเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทของบิดาตั้งแต่สมัยเรียน เขาสาธยายทรัพย์สินที่มีอยู่ ซึ่งบิดายกให้เป็นของเขาเสีย 90% ส่วน 10% ที่เหลือ แบ่งให้คนเก่าคนแก่ประจำบ้าน ที่คอยดูแลเสี่ยอานนท์มานานเกินค่อนชีวิต และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ที่ถึงแม้จะน้อยนิด แต่เสี่ยอานนท์ก็ไม่เคยลืมจะมอบสมบัติบางชิ้นให้เขาเหล่านั้น ‘คนจริง’ มักไม่ลืมคุณใคร พอๆ กับที่ว่า ‘แค้นใคร’ ให้ห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่ง!
“คุณน่านจะทำยังไงกับคาสิโนต่อไป?” คนถามคงอยากตั้งประเด็นนี้ตั้งแต่พบหน้าชายหนุ่ม แต่ก็ทำเป็นทักทายยืดเยื้อ คุยเรื่องพินัยกรรมที่ตนต้องรับผิดชอบเสียก่อน
“ผมจะปล่อยทิ้งร้าง...” คนฟังแทบไม่ต้องคิดตามกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะทราบดีว่าเขาไม่พูดเล่นแน่นอน ถึงแม้ที่ดินตรงนั้น จะมหาศาลขนาดเนรมิตเป็นสวรรค์บนดินอย่างพวกรีสอร์ท หรือสวนสนุกได้ก็เถอะ
“ไม่คิดจะปรับปรุง หรือสร้างอะไรใหม่ขึ้นมาแทนที่เลยหรือ?” คนแก่รุกต่อด้วยเสียดายแทน
“ไม่ครับ...ไม่ใช่ที่นี่ที่เดียว พวกสถานเริงรมย์ต่างๆ ผมจะปิดตัวลง แต่ไม่ขาย ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น” คราวนี้คนฟังชักหัวคิ้วเข้าหากัน จนเกิดรอยย่นเป็นเส้น จะว่าสิทธิของสมบัติเขาก็เถอะ แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ควรแนะนำอะไรบ้าง เผื่อเกิดประโยชน์ คนตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกชายของผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขตั้งแต่นั่งกินข้าวแกงข้างถนนด้วยกันแล้ว
“ไม่เสียดายหรอ ผมคิดว่าคุณควรขาย หรือไม่ก็เปลี่ยนไปทำธุรกิจอย่างอื่นก็ได้” น่านนทีส่ายศีรษะ
“มันเป็นสิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมา ผมทำลายไม่ลงหรอกครับ ถึงแม้ผมจะไม่ยินดีสานต่อก็ตาม” คุณชลิตจึงยอมจำนนด้วยเหตุผลนั้น เพราะทราบดีว่าบุตรชายของเพื่อน ลองให้ได้ตัดสินใจอะไรแล้ว เขาต้องคิดแล้วคิดอีก ทบทวนหลายสิบร้อยรอบ และคงไม่คิดแค่วันสองวันแน่นอน มันยากเกินเปลี่ยนใจ คนแก่กว่าจึงพยักหน้ารับติดต่อกันหลายๆ ทีเป็นอันยอมแพ้
สมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้ คงไม่มีสิ่งไหนล้ำค่าเท่าที่ดินเปล่า ย่านธุรกิจในตัวเมืองเชียงใหม่!
ถ้าชายหนุ่มไม่เคยอยู่ในแวดวงสีเลือด ที่ต้องวางมาดท่าทีให้เคร่งขรึมน่ายำเกรงตลอดเวลา เขาคงกระโดดโลดเต้นราวกับได้รับพรจากสวรรค์แล้ว หาก ณ วินาทีนี้ เขาคงแสดงความปรีดาทั้งหลายฉายออกทางแววตาเท่านั้น ในขณะที่ไอ้พันซึ่งทำหน้าที่ขับรถ นั่งอยู่เคียงข้างเขา แอบมองเจ้านายแล้ว...เจ้านายอีก
“ดูท่าทางนายจะมีความสุขนะครับ” ไอ้พันแซว
“เลิกเรียกฉันว่านายเถอะ...มันไม่มีนายอะไรที่ไหนอีกแล้ว ต่อไปนี้เราก็ไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกัน” คนฟังเลิกคิ้ว ก่อนจะปฏิเสธเสียงเรียบ
“ไม่ดีกว่าครับ...มันชินปากไปเสียแล้ว” ความกริ่งเกรงในตัวคนที่เคยไว้ชีวิตยังเต็มเปี่ยม
“ฉันจะปรึกษานาเรื่องที่ดินเปล่าในเชียงใหม่ ให้นาเลือกว่าจะเอายังไงต่อไป นาเค้าอยากทำอะไร ฉันจะตามใจเค้า” ประโยคนั้นชัดแจ้งในตัวว่าคนพูดรู้สึกอย่างไรกับหญิงสาวที่กล่าวถึง
“ที่ดินตรงไหนหละครับนาย ที่ท่านมอบให้ก็มากมายอยู่” ตอนที่คุยเรื่องทรัพย์สิน ไอ้พันก็อยู่ร่วมด้วย น่านนทีไม่จำเป็นต้องปิดบัง หลบซ่อนอะไรใครอีกต่อไป และเขาไว้วางใจลูกน้องที่เหลือทั้งหมด
“ตรงช้างคลานไง ย่านฝรั่ง ที่ดินเปล่าตั้งหลายไร่ อาจจะเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือจะสร้างเกสต์เฮาส์ ก็แล้วแต่เค้า ส่วนบ้าน...พี่จะให้เค้าเลือกว่าจะอยู่ไหน” ชายหนุ่มเปลี่ยนสรรพนามตัวเองแบบสายฟ้าแลบเอากับคนที่เคยเป็นลูกน้องมาก่อน และเป็นอันบ่งบอกในตัวว่าเขาอายุมากกว่าไอ้พัน
“แล้ว...คุณลินหละครับ” เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงหญิงสาวอีกนาง ซึ่งไอ้พันก็คงรู้ที่มาที่ไปทั้งหมดจากคุณวรุต คนที่ทิ้งชาติเสือป่าแล้ว อดไม่ได้จะระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา
หญิงสาวอีกนางนั้น...ก็ไร้ญาติขาดมิตรในบ้านนี้เมืองนี้ พ่อแม่พี่น้องของอลินอยู่ต่างประเทศกันหมด เขาจะทำอย่างไร ใช่สิ...เขาต้องถามอลินตรงๆ แบบขวานผ่าซากไปเลย จะมานั่งอมพะงำเกรงกลัวความรู้สึกของฝ่ายนั้นไปทำไม รังแต่จะยืดเวลาออกไปให้เสียเปล่า ถึงแม้หล่อนจะประกาศว่าจะขออยู่ที่เชียงใหม่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดนี่ ว่าจะอยู่ยังไง พักที่ไหน ทำอะไร เขาควรต้องถามให้ชัดแจ้งกว่านี้สินะ ความผูกพันด้านเวลาระหว่างเขากับอลิน ทำให้เขาทิ้งหล่อนไม่ได้ ไม่ว่าวันนี้ลายตาที่มองหล่อนจะตาลปัตร...ไม่เหลือเส้นลายเส้นไหนที่จะเสน่ห์หาแล้วก็ตาม หล่อนน่าสงสารเสมอสำหรับเขา
“คงต้องคุยกับเขาตรงๆ” คราวนี้ไอ้พันเสียอีกที่ระบายลมหายใจ ลึกลงไป...เขามองว่าหญิงสาวที่นายโอบอุ้มไว้ ดูแปลกๆ ชอบกล แต่จะไม่ออกความเห็นใดๆ กับเรื่องนี้ รอให้ ‘ยายนั่น’ ทำเรื่องขึ้นมาอีกรอบเถอะ เขาคงต้องเข้าไปยุ่งบ้างแล้วหละ! เขายังจำว่าอลินหักหลังน่านนทีไว้อย่างไร ได้แนบแน่น...เต็มใจ
“ผับ บาร์ บ่อน นายจะปิดไปเลยใช่มั๊ยครับ?” ไอ้พันเปลี่ยนเรื่อง และยังคงไม่ยอมโอนอ่อนนับพี่นับน้องกับคนที่นั่งข้าง
“ปิด...ทิ้งร้างไว้...ไม่ขายด้วย” คนฟังพยักหน้ารับ
“ข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ข้างในหละครับ?” ไอ้พันหมายถึงสิ่งของประดามี ที่ตกแต่งสถานที่ข้างในไว้อย่างอลังการ ถ้าเป็นผับ จำพวกโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา ทั้งหลายแหล่ ก็ออกแบบเป็นสไตล์ยุโรปบ้าง โมเดิร์นบ้าง วินเทจบ้าง แล้วแต่ว่าผับนั้นจะอยู่ในคอนเซปต์ไหน มันมากมายเกือบสิบที่...ที่เสี่ยอานนท์เคยกุมอำนาจไว้ คนถามจึงถามอย่างไม่แน่ใจในการตัดสินของทายาทธุรกิจนัก