http://ppantip.com/topic/31133697
เมื่อวัย 35 อยากมีเอว 24... อย่างไร??
http://ppantip.com/topic/31167916
ใครว่าวิ่งแล้วขาใหญ่ มาพิสูจน์กัน ..
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่วันสองวันนะคะ แต่เป็นปีๆ
รูปนี้โชว์ไปแล้วในกระทู้แรกที่ตั้ง แต่เป็นเรื่องต่อเนื่องเลยมาเล่าให้ฟังต่อ
กระทู้ก่อนๆพูดถึงเรื่องการวิ่ง การออกกำลังกาย
เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้
ทีนี้จะมีคนคิดเสมอว่า จขกท.เป็นพวกรักการออกกำลังกายมาก
จนกระทั่งมันเป็นเรื่องง่ายในการไปออกกำลังกาย
เรียกว่าพิเศษกว่าคนอื่นว่างั้นเหอะ
แต่ว่าความจริงไม่ใช่เลยนะคะ
ก็เหมือนทุกๆคนแหละค่ะ
ออกกำลังกายทุกวันได้ไม่ท้อบ้างเหรอ
พูดเลยว่า ท้อทุกวัน
ยังรู้สึกเหมือนทุกคนที่ท้อเวลาคิดว่าจะต้องไปออกกำลังกาย
ไม่อยากไป ไม่อยากเล่น ไม่อยากเหนื่อย เหมือนทุกๆคน
เราไม่ได้วิเศษมาจากไหน
เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยการไม่ออกกำลังกายแล้วเล่นเลยทันทีทุกวัน
แบบนั้นเราคิดว่ามันมากไปด้วยซ้ำ
ใครที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วจู่ๆให้มาออกทุกวัน
เราว่าไม่มีใครทำได้เท่าไหร่หรอก
ตัวเราเองกว่าจะออกได้ทุกวันก็ใช้เวลาอยู่หลายปี ค่อยเป็นค่อยไป
ต้องบอกว่ามันมีเหตุปัจจัยในชีวิตหลายอย่างที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้
แต่ว่าเราต้องมีวินัยในตัวเอง ยิ่งช่วงแรกๆด้วย ยิ่งต้องใช้กำลังใจมาก
เราเริ่มต้นจากการไปฟิตเนสอาทิตย์ละวัน แค่นั้นก็ภูมิใจมากแล้ว
จำได้ว่าเป็นปี 2007 ตอนนั้นอายุ 28-29
ว่าอาทิตย์นี้ได้ออกกำลังกายแล้วนะ
(เล่นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ขับรถไปกลับใช้เวลามากกว่า 555)
เล่นได้ประมาณ 1 ปี ไม่เห็นผลอะไรจริงจัง
แค่ความรู้สึกดีที่ได้บอกคนอื่นว่า ออกกำลังกายเป็นประจำนะ
อาทิตย์ละ 1 ครั้งแน่ะ
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองอายุมากขึ้น 30 แล้วเจ็บโน่น เป็นนี่
คิดตอนนั้นว่า แหม่ หลัง 30 แล้วนี่ชีวิตมันเปลี่ยนจริงๆแฮะ
เหมือนที่ใครๆบอก แต่ตอนนั้นกลัวอย่างเดียว
ไม่อยากมีหนอกที่หลังเหมือนผู้หญิงอายุมากๆ
เลยเพิ่มเป็นอาทิตย์ละ 2 หน เล่นโยคะกับว่ายน้ำ
ตอนนั้นก็คิดว่าเยอะแล้ว แต่พอมาคิดตอนนี้มันช่างเบบี๋มาก
ว่ายน้ำไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โยคะก็เป็นแบบยืดเหยียดเบาๆ ไม่ได้ใช้แรงอะไร
ก็ยังไม่เห็นผลอะไรจริงจังในชีวิตอยู่ดี
จนกระทั่งลาออกจากงานเก่า งานที่ใหม่ไม่มีฟิตเนสฟรีให้เล่น
ก็เลยต้องไปสมัครฟิตเนสเอง จะได้เล่นโยคะเหมือนเดิม
เท่านั้นแหละ ถึงได้เห็นว่าคนที่เค้าออกกำลังกายกันจริงจังเป็นไง
บอกเทรนเนอร์ว่าไม่วิ่งนะ ไม่ชอบวิ่ง (ก็มันเหนื่อย)
จะเล่นแต่โยคะ เทรนเนอร์พูดตอนนั้นว่า
ให้มาเล่นคาร์ดิโอ 3 วัน โยคะ 2 วัน
ตอนนั้นคิดในใจว่า บ้าเหรอ ใครเค้าออกกำลังกายกันทุกวันบ้าง
ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันบ้างเหรอชีวิตนี้
คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายแบบให้หัวใจได้ทำงานหนัก
ให้เลือดสูบฉีด มีการถ่ายเทของออกซิเจน
เช่น การเดินเร็ว วิ่ง แอโรบิค ว่ายน้ำ มากกว่า 30 นาทีขึ้นไป
ว่าแล้วก็ยังคงยืนยันที่จะมาเล่นโยคะอย่างเดียว อาทิตย์ละ 2 ครั้งเหมือนเดิม
แต่ว่าโยคะที่นี่มันช่างหนักหนาสาหัส
คนเล่นโยคะมาแล้ว 2 ปีอย่างเราเหมือนเริ่มต้นใหม่เลย
ซึ่งก็ดีแล้ว หนักขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าเหงื่อออกเต็มที่มากๆ
จุดเปลี่ยนของการออกกำลังกายคือ การอยู่ที่ฟิตเนสเรื่อยๆ
ทำให้เราได้เห็นคนอื่นออกกำลังกายมากๆ เราก็มีกำลังใจจะเล่นอย่างอื่นบ้าง
ไหนๆก็เสียเงินมาแล้ว และอะไรอย่างอื่นในฟิตเนสก็ไม่เคยเล่น
ลองเล่นก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย ก็เลยมีโอกาสได้เล่นอย่างอื่นบ้าง
เลยลองเดินบนลู่ (ก็ยังยืนยันว่าจะไม่วิ่ง) เดินอยู่นาน จนเทรนเนอร์เดินมาทัก
(พอเรามาบ่อยๆ เทรนเนอร์ก็คุ้นหน้า ทักทายกันอะไรกัน ไม่ต้องจ้างนะ)
ทักว่า วิ่งสิวิ่ง ทำไมไม่วิ่งล่ะ
เทรนเนอร์ก็ทักๆ เลยลองก็ได้ วิ่งก็ได้ จากวิ่งช้าๆตอนนั้นความเร็ม 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งได้ไม่เกิน 3 กิโลหรอก อาทิตย์ละ 2 ครั้งก็เก่งมากแล้ว
อีกอย่างที่ทำให้อยู่ฟิตเนส 2 วันกลายเป็น 4-5 วันต่อสัปดาห์
คือการจราจรกรุงเทพฯ ติดมากขึ้นจนไม่อยากกลับบ้านเลย
อยู่บนรถสองชั่วโมง เหนื่อยเท่าเล่นฟิตเนส ก็เลยเล่นฟิตเนสรอรถโล่งแล้วค่อยกลับดีกว่า
พออยู่หลายวัน โยคะไม่ได้มีให้เล่นทุกวัน จะวิ่งทุกวันมันก็ไม่ไหว แรงไม่ค่อยมี
เลยเล่นคลาสอื่นๆบ้าง รุ่งบ้างไม่รุ่งบ้าง แต่ RPM นี่ไม่กล้าเข้า
ได้แต่เมียงมองๆ เพราะกลัวว่ามันจะเหนื่อย เห็นเค้าปั่นกันแล้วน่ากลัวมาก
เทรนเนอร์ (อีกแล้ว) บอกว่า เหนื่อยก็หยุดปั่น หายเหนื่อยแล้วปั่นต่อ ไม่ต้องกลัว
ก็เลยตัดสินใจเข้าไปปั่น ครั้งแรกเหนื่อยแทบหยุดหายใจจริงๆ
เทรนเนอร์ปั่นไปถึงโคราชแล้ว ตัวเราคงอยู่ประมาณรังสิต อิอิ
RPM คือ คลาสปั่นจักรยานในร่มพร้อมกับเสียงเพลง
ซึ่งจุดเด่นของการบริหารร่างกายวิธีนี้คือ
การเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพสูงสุด
ย่อมาจาก Revolutions per minute
ชีวิตก็เลยเปลี่ยน พอเราเล่นคาร์ดิโอเพิ่มขึ้น มันเห็นความแตกต่างเลยนะ
คือ มีแต่คนทักว่า เอ๊ะ ทำไมเอวคอดลงหรือเปล่า ผอมลงหรือเปล่า
เราก็อ้อ เหรอ ไม่รู้หรอก เพราะว่าน้ำหนักเท่าเดิม ตัวเองก็เห็นตัวเองอยู่ทุกวัน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ จากออกกำลังกายอาทิตย์ละ 1 วัน มาเป็นทุกวันมาประมาณ 3 ปีได้แล้ว
อาจจะพักบ้างอาทิตย์ละ 1 วัน แต่ก็เรียกได้ว่าออกกำลังกายทุกวัน
จะมีทั้งวันที่อยากออกกำลังกายจังเลย อยากไปๆ
และวันที่ เฮ้อ ไม่อยากไปเลย เดินวนรอบฟิตเนสนานมากกว่าจะทำใจเล่นได้
เราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่โปรแกรมมาให้ออกกำลังกายทุกวันแบบสนุกสนาน ร่าเรืง
แล้วเราก็เชื่อว่าทุกคนเป็นเหมือนกัน
เพียงแต่เราต้องมีวินัยในตัวเองให้มากๆ
คือ ต้องพาตัวเองไปให้ถึงฟิตเนสให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน
ไปแบบไม่ต้องคิดอะไร อย่าไปคิดตอนจะออกจากที่ทำงานหรือบ้าน
อย่าไปคิดตอนนั้นว่าจะไปหรือไม่ไปดี รถจะติดมั้ยนะ จะโน่น จะนี่มั้ยนะ
แต่ให้เก็บเสื้อผ้า ขับรถออกไปเลย แล้วค่อยไปคิดตอนถึงแล้ว
พาตัวเองเดินเข้าฟิตเนสไป แล้วค่อยไปงอแงตอนนั้น
เพราะถึงตรงนั้นแล้วมันก็แบบ เอ้ย มาแล้วอะ จะกลับเหรอ
ไปแล้วเห็นคนอื่นเล่น มันก็เริ่มมีกำลังใจแล้ว
คนแก่กว่าเรายังวิ่งอยู่ คนอ้วนกว่าเรายังเล่นอยู่
คนหุ่นดีกว่าเราก็ยังขยันอยู่ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน
ถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้ตอนที่คิดว่าหุ่นดีๆ
วันไหนหมดกำลังใจ เปิดดูเลยว่า ถ้าอยากได้หุ่นแบบนี้อยู่
ต้องลงไปวิ่งเดี๋ยวนี้ อย่ามานั่งเล่นโทรศัพท์ในฟิตเนส
พอออกกำลังกายเสร็จ ได้เหนื่อย เหงื่อออก พอได้อาบน้ำ
ตอนนั้นเราจะมีความสุขที่สุดของวันเลย
อะไรที่เครียดๆจากที่ทำงานมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปหมด
สดชื่นมากๆ กลับบ้านก็หลับสนิท ไม่เคยมีอาการนอนไม่หลับเลย
สลบไสล ตื่นมาตอนเช้าก็สดชื่นมากๆ
(ใครที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วเพลียลุกไม่ขึ้น แสดงว่ากินน้ำน้อยไป
ร่างกายขาดน้ำจากการออกกำลังกาย ให้กินน้ำให้มากๆทั้งวัน
รวมถึงมากเป็นพิเศษตอนออกกำลังกายและหลังออกกำลังกาย)
ไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องพกชุด รองเท้าไปออกกำลังกาย
รายการวิ่งแบบนี้ก็ไม่อยากตื่นเช้านะ ไปก็ไม่อยากวิ่งเท่าไหร่
แต่พอถึงจังหวะปล่อยตัว ก็ต้องวิ่งใช่ปะคะ
วิ่งไปแล้วมันก็สนุกมาก วิ่งเสร็จก็ภูมิใจกับเวลาตัวเองมาก
วิ่งในฟิตเนสไม่เคยได้ pace 5 มาได้ตามรายการวิ่งนี่แหละ
5.2 5.3 นี่ทำได้ไง เคยแม้แต่แตะเลข 4 ขนาดกิโลท้ายๆยิ่งเวลาดี ^^
จากวันที่เริ่มต้นออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้งจนถึงออกได้ทุกวันนี่มากกว่า 5 ปี
แต่เราเชื่อว่าหลายคนจะทำได้เร็วกกว่าเราถ้ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจนกว่า
เราเป็นพวกออกกำลังกายเพราะเค้าว่ามันดีกับสุขภาพ ก็ออกไปงั้นๆ
จนมาค้นพบว่ามันดีอย่างไรจริงๆถึงได้เริ่มจริงจังและเห็นผลนี่แหละ
เราว่า คนเราจะเริ่มทำอะไรจริงจัง เปลี่ยนชีวิตตัวเอง
ก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าสิ่งนั้นมันดีต่อเราจริงๆ
ไม่มีทางที่เราจะเปลี่ยนเพราะคนอื่นบอก
เราเองชักชวนหลายคนมาออกกำลังกายได้
แต่การยืนระยะนี่เป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆนะคะ
เพราะงั้นเราต้องยืนระยะจนกระทั่งเห็นว่า เฮ้ย มันดี
แล้วคราวนี้ไม่ต้องมีใครมาคอยลาก คอยพาไปออกกำลังกาย
เราก็จะไปของเราได้เองเสมอ
กระทู้อื่นๆเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ
http://ppantip.com/topic/31191781
ความหวานที่คาดไม่ถึงกับน้ำกระป๋องเล็กๆใกล้ๆตัว
facebook:
https://www.facebook.com/ihealthdiary
ออกกำลังกายทุกวันได้ไม่ท้อบ้างเหรอ
เมื่อวัย 35 อยากมีเอว 24... อย่างไร??
http://ppantip.com/topic/31167916
ใครว่าวิ่งแล้วขาใหญ่ มาพิสูจน์กัน ..
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่วันสองวันนะคะ แต่เป็นปีๆ
รูปนี้โชว์ไปแล้วในกระทู้แรกที่ตั้ง แต่เป็นเรื่องต่อเนื่องเลยมาเล่าให้ฟังต่อ
กระทู้ก่อนๆพูดถึงเรื่องการวิ่ง การออกกำลังกาย
เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้
ทีนี้จะมีคนคิดเสมอว่า จขกท.เป็นพวกรักการออกกำลังกายมาก
จนกระทั่งมันเป็นเรื่องง่ายในการไปออกกำลังกาย
เรียกว่าพิเศษกว่าคนอื่นว่างั้นเหอะ
แต่ว่าความจริงไม่ใช่เลยนะคะ
ก็เหมือนทุกๆคนแหละค่ะ
ออกกำลังกายทุกวันได้ไม่ท้อบ้างเหรอ
พูดเลยว่า ท้อทุกวัน
ยังรู้สึกเหมือนทุกคนที่ท้อเวลาคิดว่าจะต้องไปออกกำลังกาย
ไม่อยากไป ไม่อยากเล่น ไม่อยากเหนื่อย เหมือนทุกๆคน
เราไม่ได้วิเศษมาจากไหน
เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยการไม่ออกกำลังกายแล้วเล่นเลยทันทีทุกวัน
แบบนั้นเราคิดว่ามันมากไปด้วยซ้ำ
ใครที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วจู่ๆให้มาออกทุกวัน
เราว่าไม่มีใครทำได้เท่าไหร่หรอก
ตัวเราเองกว่าจะออกได้ทุกวันก็ใช้เวลาอยู่หลายปี ค่อยเป็นค่อยไป
ต้องบอกว่ามันมีเหตุปัจจัยในชีวิตหลายอย่างที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้
แต่ว่าเราต้องมีวินัยในตัวเอง ยิ่งช่วงแรกๆด้วย ยิ่งต้องใช้กำลังใจมาก
เราเริ่มต้นจากการไปฟิตเนสอาทิตย์ละวัน แค่นั้นก็ภูมิใจมากแล้ว
จำได้ว่าเป็นปี 2007 ตอนนั้นอายุ 28-29
ว่าอาทิตย์นี้ได้ออกกำลังกายแล้วนะ
(เล่นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ขับรถไปกลับใช้เวลามากกว่า 555)
เล่นได้ประมาณ 1 ปี ไม่เห็นผลอะไรจริงจัง
แค่ความรู้สึกดีที่ได้บอกคนอื่นว่า ออกกำลังกายเป็นประจำนะ
อาทิตย์ละ 1 ครั้งแน่ะ
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองอายุมากขึ้น 30 แล้วเจ็บโน่น เป็นนี่
คิดตอนนั้นว่า แหม่ หลัง 30 แล้วนี่ชีวิตมันเปลี่ยนจริงๆแฮะ
เหมือนที่ใครๆบอก แต่ตอนนั้นกลัวอย่างเดียว
ไม่อยากมีหนอกที่หลังเหมือนผู้หญิงอายุมากๆ
เลยเพิ่มเป็นอาทิตย์ละ 2 หน เล่นโยคะกับว่ายน้ำ
ตอนนั้นก็คิดว่าเยอะแล้ว แต่พอมาคิดตอนนี้มันช่างเบบี๋มาก
ว่ายน้ำไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โยคะก็เป็นแบบยืดเหยียดเบาๆ ไม่ได้ใช้แรงอะไร
ก็ยังไม่เห็นผลอะไรจริงจังในชีวิตอยู่ดี
จนกระทั่งลาออกจากงานเก่า งานที่ใหม่ไม่มีฟิตเนสฟรีให้เล่น
ก็เลยต้องไปสมัครฟิตเนสเอง จะได้เล่นโยคะเหมือนเดิม
เท่านั้นแหละ ถึงได้เห็นว่าคนที่เค้าออกกำลังกายกันจริงจังเป็นไง
บอกเทรนเนอร์ว่าไม่วิ่งนะ ไม่ชอบวิ่ง (ก็มันเหนื่อย)
จะเล่นแต่โยคะ เทรนเนอร์พูดตอนนั้นว่า
ให้มาเล่นคาร์ดิโอ 3 วัน โยคะ 2 วัน
ตอนนั้นคิดในใจว่า บ้าเหรอ ใครเค้าออกกำลังกายกันทุกวันบ้าง
ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันบ้างเหรอชีวิตนี้
คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายแบบให้หัวใจได้ทำงานหนัก
ให้เลือดสูบฉีด มีการถ่ายเทของออกซิเจน
เช่น การเดินเร็ว วิ่ง แอโรบิค ว่ายน้ำ มากกว่า 30 นาทีขึ้นไป
ว่าแล้วก็ยังคงยืนยันที่จะมาเล่นโยคะอย่างเดียว อาทิตย์ละ 2 ครั้งเหมือนเดิม
แต่ว่าโยคะที่นี่มันช่างหนักหนาสาหัส
คนเล่นโยคะมาแล้ว 2 ปีอย่างเราเหมือนเริ่มต้นใหม่เลย
ซึ่งก็ดีแล้ว หนักขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าเหงื่อออกเต็มที่มากๆ
จุดเปลี่ยนของการออกกำลังกายคือ การอยู่ที่ฟิตเนสเรื่อยๆ
ทำให้เราได้เห็นคนอื่นออกกำลังกายมากๆ เราก็มีกำลังใจจะเล่นอย่างอื่นบ้าง
ไหนๆก็เสียเงินมาแล้ว และอะไรอย่างอื่นในฟิตเนสก็ไม่เคยเล่น
ลองเล่นก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย ก็เลยมีโอกาสได้เล่นอย่างอื่นบ้าง
เลยลองเดินบนลู่ (ก็ยังยืนยันว่าจะไม่วิ่ง) เดินอยู่นาน จนเทรนเนอร์เดินมาทัก
(พอเรามาบ่อยๆ เทรนเนอร์ก็คุ้นหน้า ทักทายกันอะไรกัน ไม่ต้องจ้างนะ)
ทักว่า วิ่งสิวิ่ง ทำไมไม่วิ่งล่ะ
เทรนเนอร์ก็ทักๆ เลยลองก็ได้ วิ่งก็ได้ จากวิ่งช้าๆตอนนั้นความเร็ม 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วิ่งได้ไม่เกิน 3 กิโลหรอก อาทิตย์ละ 2 ครั้งก็เก่งมากแล้ว
อีกอย่างที่ทำให้อยู่ฟิตเนส 2 วันกลายเป็น 4-5 วันต่อสัปดาห์
คือการจราจรกรุงเทพฯ ติดมากขึ้นจนไม่อยากกลับบ้านเลย
อยู่บนรถสองชั่วโมง เหนื่อยเท่าเล่นฟิตเนส ก็เลยเล่นฟิตเนสรอรถโล่งแล้วค่อยกลับดีกว่า
พออยู่หลายวัน โยคะไม่ได้มีให้เล่นทุกวัน จะวิ่งทุกวันมันก็ไม่ไหว แรงไม่ค่อยมี
เลยเล่นคลาสอื่นๆบ้าง รุ่งบ้างไม่รุ่งบ้าง แต่ RPM นี่ไม่กล้าเข้า
ได้แต่เมียงมองๆ เพราะกลัวว่ามันจะเหนื่อย เห็นเค้าปั่นกันแล้วน่ากลัวมาก
เทรนเนอร์ (อีกแล้ว) บอกว่า เหนื่อยก็หยุดปั่น หายเหนื่อยแล้วปั่นต่อ ไม่ต้องกลัว
ก็เลยตัดสินใจเข้าไปปั่น ครั้งแรกเหนื่อยแทบหยุดหายใจจริงๆ
เทรนเนอร์ปั่นไปถึงโคราชแล้ว ตัวเราคงอยู่ประมาณรังสิต อิอิ
RPM คือ คลาสปั่นจักรยานในร่มพร้อมกับเสียงเพลง
ซึ่งจุดเด่นของการบริหารร่างกายวิธีนี้คือ
การเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพสูงสุด
ย่อมาจาก Revolutions per minute
ชีวิตก็เลยเปลี่ยน พอเราเล่นคาร์ดิโอเพิ่มขึ้น มันเห็นความแตกต่างเลยนะ
คือ มีแต่คนทักว่า เอ๊ะ ทำไมเอวคอดลงหรือเปล่า ผอมลงหรือเปล่า
เราก็อ้อ เหรอ ไม่รู้หรอก เพราะว่าน้ำหนักเท่าเดิม ตัวเองก็เห็นตัวเองอยู่ทุกวัน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ จากออกกำลังกายอาทิตย์ละ 1 วัน มาเป็นทุกวันมาประมาณ 3 ปีได้แล้ว
อาจจะพักบ้างอาทิตย์ละ 1 วัน แต่ก็เรียกได้ว่าออกกำลังกายทุกวัน
จะมีทั้งวันที่อยากออกกำลังกายจังเลย อยากไปๆ
และวันที่ เฮ้อ ไม่อยากไปเลย เดินวนรอบฟิตเนสนานมากกว่าจะทำใจเล่นได้
เราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่โปรแกรมมาให้ออกกำลังกายทุกวันแบบสนุกสนาน ร่าเรืง
แล้วเราก็เชื่อว่าทุกคนเป็นเหมือนกัน
เพียงแต่เราต้องมีวินัยในตัวเองให้มากๆ
คือ ต้องพาตัวเองไปให้ถึงฟิตเนสให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน
ไปแบบไม่ต้องคิดอะไร อย่าไปคิดตอนจะออกจากที่ทำงานหรือบ้าน
อย่าไปคิดตอนนั้นว่าจะไปหรือไม่ไปดี รถจะติดมั้ยนะ จะโน่น จะนี่มั้ยนะ
แต่ให้เก็บเสื้อผ้า ขับรถออกไปเลย แล้วค่อยไปคิดตอนถึงแล้ว
พาตัวเองเดินเข้าฟิตเนสไป แล้วค่อยไปงอแงตอนนั้น
เพราะถึงตรงนั้นแล้วมันก็แบบ เอ้ย มาแล้วอะ จะกลับเหรอ
ไปแล้วเห็นคนอื่นเล่น มันก็เริ่มมีกำลังใจแล้ว
คนแก่กว่าเรายังวิ่งอยู่ คนอ้วนกว่าเรายังเล่นอยู่
คนหุ่นดีกว่าเราก็ยังขยันอยู่ เราก็ต้องทำได้เหมือนกัน
ถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้ตอนที่คิดว่าหุ่นดีๆ
วันไหนหมดกำลังใจ เปิดดูเลยว่า ถ้าอยากได้หุ่นแบบนี้อยู่
ต้องลงไปวิ่งเดี๋ยวนี้ อย่ามานั่งเล่นโทรศัพท์ในฟิตเนส
พอออกกำลังกายเสร็จ ได้เหนื่อย เหงื่อออก พอได้อาบน้ำ
ตอนนั้นเราจะมีความสุขที่สุดของวันเลย
อะไรที่เครียดๆจากที่ทำงานมาทั้งวันก็เหมือนจะมลายหายไปหมด
สดชื่นมากๆ กลับบ้านก็หลับสนิท ไม่เคยมีอาการนอนไม่หลับเลย
สลบไสล ตื่นมาตอนเช้าก็สดชื่นมากๆ
(ใครที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วเพลียลุกไม่ขึ้น แสดงว่ากินน้ำน้อยไป
ร่างกายขาดน้ำจากการออกกำลังกาย ให้กินน้ำให้มากๆทั้งวัน
รวมถึงมากเป็นพิเศษตอนออกกำลังกายและหลังออกกำลังกาย)
ไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องพกชุด รองเท้าไปออกกำลังกาย
รายการวิ่งแบบนี้ก็ไม่อยากตื่นเช้านะ ไปก็ไม่อยากวิ่งเท่าไหร่
แต่พอถึงจังหวะปล่อยตัว ก็ต้องวิ่งใช่ปะคะ
วิ่งไปแล้วมันก็สนุกมาก วิ่งเสร็จก็ภูมิใจกับเวลาตัวเองมาก
วิ่งในฟิตเนสไม่เคยได้ pace 5 มาได้ตามรายการวิ่งนี่แหละ
5.2 5.3 นี่ทำได้ไง เคยแม้แต่แตะเลข 4 ขนาดกิโลท้ายๆยิ่งเวลาดี ^^
จากวันที่เริ่มต้นออกกำลังกายอาทิตย์ละครั้งจนถึงออกได้ทุกวันนี่มากกว่า 5 ปี
แต่เราเชื่อว่าหลายคนจะทำได้เร็วกกว่าเราถ้ามีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจนกว่า
เราเป็นพวกออกกำลังกายเพราะเค้าว่ามันดีกับสุขภาพ ก็ออกไปงั้นๆ
จนมาค้นพบว่ามันดีอย่างไรจริงๆถึงได้เริ่มจริงจังและเห็นผลนี่แหละ
เราว่า คนเราจะเริ่มทำอะไรจริงจัง เปลี่ยนชีวิตตัวเอง
ก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าสิ่งนั้นมันดีต่อเราจริงๆ
ไม่มีทางที่เราจะเปลี่ยนเพราะคนอื่นบอก
เราเองชักชวนหลายคนมาออกกำลังกายได้
แต่การยืนระยะนี่เป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆนะคะ
เพราะงั้นเราต้องยืนระยะจนกระทั่งเห็นว่า เฮ้ย มันดี
แล้วคราวนี้ไม่ต้องมีใครมาคอยลาก คอยพาไปออกกำลังกาย
เราก็จะไปของเราได้เองเสมอ
กระทู้อื่นๆเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ
http://ppantip.com/topic/31191781
ความหวานที่คาดไม่ถึงกับน้ำกระป๋องเล็กๆใกล้ๆตัว
facebook: https://www.facebook.com/ihealthdiary