บทก่อนหน้า
บทนำ
http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/31253339
เขาเรียกเธอว่า แนท นาทาย่าห์ อย่างนั้นหรือ หญิงสาวคิดอย่างตระหนก ในใจกระหวัดไปถึงรูปภาพของ นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ ภรรยาของเจ้าของสถานีล่าวาฬที่ยืนเคียงสามี ใบหน้าฉายรอยยิ้มเปี่ยมสุข จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นรูปภาพ หญิงสาวประหลาดใจที่นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ มีใบหน้ากระเดียดมาทางคนเอเชีย และมีใบหน้าคล้ายกับตน หากแต่ตอนนี้ความคิดบางอย่างทำให้หญิงสาวถึงกับตัวชา
เธอคือนาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์อย่างนั้นหรือ เธอจะถูกขังอยู่ในอดีต ไม่ได้กลับไปหามารดาอีกตลอดชีวิตอย่างนั้นใช่ไหม ผู้ชายคนนี้หรือที่จะกลายมาเป็นสามีที่รักเธอเหนืออื่นใดอย่างที่หนังสือว่าไว้ ทำไมเธอรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ฟังดูประหลาดและบ้าบออย่างที่สุด เธอจะไปมีความรักจนกระทั่งแต่งงานกับคนโบราณที่มีอายุมากกว่าเธอเป็นร้อย ๆ ปีได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เธอจะต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ เมื่อมีทางมาก็ต้องมีทางกลับ เธอจะต้องกลับไปหามารดา จะปล่อยให้มารดาใจสลายเพราะลูกสาวคนเดียวหายตัวไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรได้อย่างไร ไม่เด็ดขาด เธอจะยอมให้มารดาเสียใจเช่นนั้นไม่ได้ หลังจากบิดาเสียชีวิต เธอกับมารดาก็มีกันอยู่สองคน แล้วเธอจะมาทิ้งมารดาไปอีกคนอย่างนั้นหรือ ไม่... เธอจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเป็นอันขาด
“คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง” ผู้เป็นเจ้าของบ้านถามหลังจากที่ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่
“ฉัน... ไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน” หญิงสาวพึมพำในสิ่งที่วนอยู่ในหัว ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พูดเสียงนุ่ม
“คุณจะได้กลับบ้านแน่ ผมจะจัดการและอำนวยความสะดวกให้คุณเดินทางถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
“ถ้าคุณรู้ว่าฉันมาจากไหน คุณจะไม่พูดแบบนี้แน่ ๆ ค่ะกัปตัน” หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียวในความสงบเยือกเย็นของเขา ถ้าเพียงแต่เขารู้ว่าเธอมาจากอนาคต อยากจะรู้นักว่าเขาจะยังยืนยันว่าเธอจะได้กลับบ้านอยู่แบบนี้ไหม
“เรื่องนี้ล่ะที่เราต้องคุยกัน เพราะหากไม่ทราบว่าคุณมาจากไหน ผมคงส่งคุณกลับบ้านไม่ถูก” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น ผู้หญิงที่ขึ้นเสียงโวยวายเป็นกริยาที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย แต่กัปตันหนุ่มพยายามจะเข้าใจว่า หญิงสาวแปลกหน้าเพิ่งประสบอุบัติเหตุ ตื่นมาในสถานที่แปลกตา พบกับคนแปลกหน้า จึงอาจจะทำให้ลืมรักษากริยาไปบ้าง และอีกอย่าง ดูเหมือนว่าเธอจะมาจากต่างถิ่น ที่อาจจะไม่ได้มีมารยาททางสังคมอย่างเดียวกับเขา จึงพอที่จะให้อภัยการแสดงออกที่ดูเหมือนไร้มารยาทของเธอได้
“ฉันมาจากประเทศไทยค่ะ” หญิงสาวตอบ น้ำเสียงอ่อนลง มันคงไม่ยุติธรรมกับเขานักที่เธอจะระบายความอัดอั้นตันใจด้วยการใส่อารมณ์กับเขา เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย คงเป็นเวรกรรมของเธอเองที่โผล่มาในอดีตเป็นร้อยกว่าปีแบบนี้
“ประเทศไทย... ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ชายหนุ่มทวนชื่อประเทศตามที่หญิงสาวบอก ทำท่านึก ก่อนจะส่ายหน้ายอมแพ้
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะในเวลาที่คุณมีชีวิตอยู่ ยังไม่มีประเทศไทยในโลกเลย” หญิงสาวพูดน้ำเสียงขมขื่น เศร้าใจกับชะตาชีวิตของตน หากแต่คำพูดของหญิงสาวกลับทำให้คนฟังรู้สึกสะดุด
“เท่าที่ทราบ ผมยังคงมีชีวิตอยู่” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ท่าทางหญิงสาวจะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนพูดอะไรที่ฟังดูแปลก ๆ ออกมา เขาคงต้องให้เออร์เนสท์เช็คอย่างละเอียดอีกที ว่าสมองของเธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจนทำงานผิดปกติ
“เอาล่ะ รอให้คุณรู้สึกดีกว่านี้แล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมจะปล่อยให้คุณพักผ่อน แล้วจะให้คนเอาเสื้อผ้ามาให้ เอลิซาเบธ ภรรยาของคุณหมอเออร์เนสท์กรุณาให้ยืมเสื้อผ้าของเธอก่อนชั่วคราว แล้วผมจะพาไปตลาดเมื่อคุณแข็งแรงดีแล้ว”
สิ้นเสียงชายหนุ่ม ณัฐญาณ์ก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่ ก่อนจะพบว่าเป็นชุดผ้าฝ้ายยาวสีขาวคอปิด มีระบายลูกไม้รอบคอและสาบเสื้อด้านหน้า แขนยาวจั๊มตรงข้อมือ ปลายแขนที่ปักลูกไม้บานออก นัยน์ตาโตเบิกกว้าง เมื่อมองไม่เห็นว่ามีใครอยู่บริเวณนี้อีกนอกจากเขา ใบหน้าซีดเงยขึ้น ปากอ้าทำท่าจะคาดคั้น หากชายหนุ่มที่ยืนสังเกตคนบนเตียงอยู่ไม่ไกล ตอบก่อนที่จะถูกถาม
“เอลานอร์เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ” ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันหนุ่มระบายยิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางโล่งอกของคนบนเตียง
“เอลานอร์เป็นแม่บ้านของผม เธอจะนำเสื้อผ้ามาให้และอยู่เป็นเพื่อนคุณ และจะจัดอาหารกลางวันให้คุณด้วยเมื่อถึงเวลา หากคุณต้องการอะไร ให้บอกกับเอลานอร์ได้ ผมขอตัวก่อน ขอให้คุณพักผ่อนให้สบาย” กล่าวจบก็โค้งให้ด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
เมื่อชายหนุ่มลับตัวไป ณัฐญาณ์นอนตะแคงใบหน้าซุกหมอน คิดถึงสถานการณ์ที่ประสบอยู่ และเมื่อมองไม่เห็นทางออกว่าจะกลับออกไปจากอดีตนี่ได้อย่างไร หญิงสาวก็ปล่อยโฮ
“แม่ ณัฐจะทำยังไง ณัฐไม่อยากอยู่ที่นี่ ณัฐอยากกลับบ้าน ช่วยณัฐด้วย” พึมพำเจือเสียงสะอื้นอย่างเสียขวัญ
ในตอนที่อ่านหนังสือประวัติของสถานีล่าวาฬแห่งนี้พร้อมทั้งเรื่องราวความรักของเจ้าของสถานีและภรรยา มันก็อ่อนหวานโรแมนติกดีอยู่หรอก แต่พอต้องมามีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับเจ้าของเรื่องราวในหนังสือ มันคนละเรื่องกันเลย เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างช่างแตกต่างกับที่ที่เธอจากมาเหลือเกิน แล้วยิ่งคิดว่าเธออยู่ห่างจากบ้านแค่ไหนก็ยิ่งใจหาย เพราะไม่ใช่เพียงอยู่กันคนละประเทศ หากแต่อยู่กันคนละชาติภพเลยทีเดียว แล้วเธอจะหาทางกลับบ้านได้อย่างไร
“คุณ... คุณคะ” เสียงของผู้หญิงที่ส่งมาจากด้านหลัง ทำให้ณัฐญาณ์ที่นอนหันหลังให้ประตูนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น เช็ดน้ำตา แล้วจึงหันกลับมา
เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงผิวดำ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ผมหยิกถูกมัดรวบไว้ข้างหลัง ใบหน้ากลม ริมฝีปากหนา ตาโปน อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาล เอวคอด แขนเสื้อพองตรงต้นแขนแล้วค่อย ๆ แคบเข้าตรงข้อมือ รอบคอและหน้าอกเป็นระบายระย้า กำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาแสดงความสนอกสนใจ
“นายท่านให้ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้คุณ จะเปลี่ยนเลยไหมคะ”
“เอลานอร์... ใช่ไหม” หญิงสาวไม่ตอบคำถาม หากถามกลับคนที่นั่งอยู่บนพื้น
“ใช่ค่ะ นายท่านให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ ลุกขึ้นแต่งตัวเถอะค่ะ จะได้รับประทานอาหารกลางวัน” หญิงรับใช้บอก
“ขอบใจมากเอลานอร์ แต่ฉันไม่หิว ไม่มีอารมณ์จะแต่งตัว ฉันจะนอนอยู่นี่ เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ” หญิงสาวบอกหญิงรับใช้อย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่มีอารมณ์จะแต่งตัวหรือรับประทานอาหาร หรือรับการปรนนิบัติจากหญิงรับใช้ เธอไม่ได้กำลังพักร้อนในรีอสร์ทที่ต่างประเทศ แต่เธอเป็นคนหลงยุคมาจากอนาคตต่างหาก ใครจะไปมีกะจิตกะใจทำอะไร เธออยากนอนร้องไห้ ร้องจนกว่าจะหมดแรงหลับไป พอตื่นมาก็พบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย หญิงสาวหวังเหลือเกินว่ามันจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
“ฉันไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ นายท่านสั่งให้ฉันมาเฝ้าคุณ”
“เฝ้าฉันทำไม เขากลัวฉันหนีหรืออย่างไร ฉันจะมีปัญญาหนีไปไหนได้” พูดอย่างขมขื่น ถึงเธอจะอยากหนีไปจากที่นี่เพียงใด ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะหนีไปได้อย่างไร ทำไมชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับเธอ เธอจะหนีไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร... เธอจะกลับบ้านได้อย่างไร...
แม่ขา ณัฐคิดถึงแม่เหลือเกิน... ณัฐจะทำยังไงดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ฉันจะนอนล่ะ ไม่ต้องเอาอาหารกลางวันมา ฉันไม่หิว” หญิงสาวบอกพลางหันกลับไปนอนซุกหมอนอีกครั้ง เงี่ยหูฟังเสียงคนที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น หากแต่ไม่มีเสียงอะไรที่พอจะบอกได้เลยว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะนั่งนิ่ง ๆ อยู่ในห้อง ทำตามคำสั่งนายอย่างเคร่งครัดกระมัง
แม้ตั้งใจเพียงจะนอนพิลาปรำพันถึงชะตากรรมชีวิตอันเลวร้ายของตนอยู่บนเตียง แต่ด้วยความอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความรู้สึกที่ถาโถมอยู่ในใจ ทำให้ณัฐญาณ์ผลอยหลับไป ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงทุ้มที่ไม่ทราบว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด
“ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ดูเหมือนคุณจะชอบถูกบังคับ”
สิ้นเสียงชายหนุ่ม คนที่นอนอยู่บนเตียงหันขวับมาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
“ฉันไม่ชอบถูกบังคับ ฉันไม่อยากกินอะไร ไปให้พ้น” ทำไมเขาไม่เข้าใจ ว่าตอนนี้สถานการณ์ในชีวิตของเธอมันย่ำแย่หาทางออกไม่เจอ เขาคิดว่าเธอจะอยู่ในบ้านเขาอย่างมีความสุข สบายอกสบายใจในฐานะแขกอย่างที่เขาว่าได้อย่างไร ในเมื่อความจริงคือ เธอหลงยุคมา และยังหาทางกลับไม่เจอ!
“นาทาย่าห์ คุณอ่อนเพลียมาก และต้องได้รับอาหาร ลุกขึ้นมารับประทานเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มออกคำสั่ง และนั่นก็เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาอย่างณัฐญาณ์หลังหัก หญิงสาวสูญสิ้นการควบคุมตนเอง ความรู้สึกอัดอั้นตันใจในชะตากรรมของตนทั้งหมดถูกระบายออกด้วยการขว้างหมอนเข้าใส่คนที่บังอาจมาออกคำสั่งกับเธอ
“ไปให้พ้น ออกไป๊!” แล้วก็ร้องไห้โฮ ฟุบลงไปบนเตียง สะอึกสะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
วิลเลียมตกใจกับปฏิกริยาของหญิงสาว และโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็วิ่งเข้าไปหาคนที่ฟุบหน้าอยู่บนเตียง รวบร่างบางที่ตัวสั่นด้วยแรงสะอื้นเข้ามากอดแนบอกอย่างปลอบประโลม
“นาทาย่าห์ สงบสติอารมณ์ก่อน” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ยกมือลูบศีรษะที่ซุกอยู่บนหน้าอกของตนอย่างอ่อนโยน
หญิงสาวปล่อยให้อ้อมแขนแกร่งโอบกอดอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในยุคโบราณแห่งนี้ อย่างน้อยก็คงจะพอมีคนที่จะร่วมรับรู้ถึงปัญหาอันใหญ่หลวงของเธอ... หวังว่าเขาจะรับฟังและไม่หาว่าเธอเสียสติไปเสียก่อน
“กัปตันคะ ฉันไม่ใช่คนสมัยนี้ ฉันหลงเข้ามา เข้ามาได้อย่างไรฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันมาจากอนาคต ที่ที่ฉันจากมา คุณเป็นเพียงอดีตที่ผ่านไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ตอนนี้ฉันมาอยู่ตรงนี้ พูดคุยอยู่กับคุณ ลองคิดดูสิคะว่าถ้าคุณเป็นฉัน คุณจะรู้สึกอย่างไร ฉันกลัวค่ะ ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผู้คนที่อยู่คนละยุคสมัยกับฉัน ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันมาอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าคุณ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง คุณตายไปแล้วเป็นร้อยปี ฉันจะทำยังไงคะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันอยากกลับบ้าน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลับได้อย่างไร เพราะฉันมาได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย” หญิงสาวพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมายืดยาว หากเขาจะว่าเธอเสียสติก็คงต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่เธอบอกเขา มันฟังดูบ้าบอและเป็นไปไม่ได้ ซึ่งหากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง หญิงสาวก็คงจะไม่เชื่อเช่นกัน หากแต่คำตอบของชายหนุ่มทำให้คนที่กำลังสะอื้นหนักถึงกับหยุดชะงัก
“ผมจะช่วยคุณหาทางกลับให้ได้” ชายหนุ่มตอบ เพราะเมื่อฟังที่หญิงสาวบอก เขาก็ได้ยินเสียงของโมรานดังก้องขึ้นมาในหูอีกครั้ง
“...จะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นประตูมิติที่จะเปิดให้สองมิติเชื่อมถึงกัน...”
“คะ?” ถามอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อเธอง่าย ๆ เช่นนี้
“บางทีปัญหาของคุณอาจจะมีทางออก” ชายหนุ่มตอบ อุ้งมือเรียวยาวยังคงลูบผมนุ่มอย่างอ่อนโยน
“คะ... คุณเชื่อฉันหรือคะ”
“ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องโกหกไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มถาม ใบหน้ายิ้มละไม
“ค่ะ ฉันไม่ได้โกหก แต่เรื่องมันเหลือเชื่อ จนแม้แต่ฉันเอง หากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง ฉันก็อาจจะไม่เชื่อ” หญิงสาวพึมพำ
“เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณ และคิดว่าอาจจะมีคนที่มีคำตอบสำหรับปัญหาของคุณ ผมจะพาคุณไปพบเขาหลังจากที่คุณแข็งแรงดีแล้ว ตอนนี้มารับประทานอาหารกลางวันก่อนนะครับ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะคลายอ้อมแขน และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตว่าหญิงสาวอยู่ในชุดนอนบางเบา ทำให้ใบหน้าคมสันเรื่อสีขึ้นและขยับออกห่างในทันที จังหวะเดียวกับที่ณัฐญาณ์ก็รู้ตัวว่าตนอยู่ในชุดที่ไม่เรียบร้อยเพียงใด จึงบอกชายหนุ่มตะกุกตะกัก
“ฉัน... เอ่อ... ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะคะ”
“ผมจะให้เอลานอร์เข้ามาช่วย” ชายหนุ่มตอบ ใบหน้าเมินมองไปทางอื่น หญิงสาวเกือบจะตอบปฏิเสธข้อเสนอของเขา เพราะแค่แต่งตัว เธอทำเองได้ แต่เมื่อนึกได้ว่า ตอนนี้เธออยู่ในยุคสมัยใด และเสื้อผ้ากรุยกรายที่คนรับใช้นำมาให้นั้น เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะใส่เป็นหรือเปล่า จึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย และถอนหายใจยาวเมื่อชายหนุ่มลับตัวไป
สุดปลายฝัน บทที่ ๓
บทนำ http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/31253339
เขาเรียกเธอว่า แนท นาทาย่าห์ อย่างนั้นหรือ หญิงสาวคิดอย่างตระหนก ในใจกระหวัดไปถึงรูปภาพของ นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ ภรรยาของเจ้าของสถานีล่าวาฬที่ยืนเคียงสามี ใบหน้าฉายรอยยิ้มเปี่ยมสุข จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นรูปภาพ หญิงสาวประหลาดใจที่นาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์ มีใบหน้ากระเดียดมาทางคนเอเชีย และมีใบหน้าคล้ายกับตน หากแต่ตอนนี้ความคิดบางอย่างทำให้หญิงสาวถึงกับตัวชา
เธอคือนาทาย่าห์ แคมพ์เบลล์อย่างนั้นหรือ เธอจะถูกขังอยู่ในอดีต ไม่ได้กลับไปหามารดาอีกตลอดชีวิตอย่างนั้นใช่ไหม ผู้ชายคนนี้หรือที่จะกลายมาเป็นสามีที่รักเธอเหนืออื่นใดอย่างที่หนังสือว่าไว้ ทำไมเธอรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ฟังดูประหลาดและบ้าบออย่างที่สุด เธอจะไปมีความรักจนกระทั่งแต่งงานกับคนโบราณที่มีอายุมากกว่าเธอเป็นร้อย ๆ ปีได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เธอจะต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ เมื่อมีทางมาก็ต้องมีทางกลับ เธอจะต้องกลับไปหามารดา จะปล่อยให้มารดาใจสลายเพราะลูกสาวคนเดียวหายตัวไป ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรได้อย่างไร ไม่เด็ดขาด เธอจะยอมให้มารดาเสียใจเช่นนั้นไม่ได้ หลังจากบิดาเสียชีวิต เธอกับมารดาก็มีกันอยู่สองคน แล้วเธอจะมาทิ้งมารดาไปอีกคนอย่างนั้นหรือ ไม่... เธอจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเป็นอันขาด
“คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง” ผู้เป็นเจ้าของบ้านถามหลังจากที่ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่
“ฉัน... ไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน” หญิงสาวพึมพำในสิ่งที่วนอยู่ในหัว ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พูดเสียงนุ่ม
“คุณจะได้กลับบ้านแน่ ผมจะจัดการและอำนวยความสะดวกให้คุณเดินทางถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
“ถ้าคุณรู้ว่าฉันมาจากไหน คุณจะไม่พูดแบบนี้แน่ ๆ ค่ะกัปตัน” หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียวในความสงบเยือกเย็นของเขา ถ้าเพียงแต่เขารู้ว่าเธอมาจากอนาคต อยากจะรู้นักว่าเขาจะยังยืนยันว่าเธอจะได้กลับบ้านอยู่แบบนี้ไหม
“เรื่องนี้ล่ะที่เราต้องคุยกัน เพราะหากไม่ทราบว่าคุณมาจากไหน ผมคงส่งคุณกลับบ้านไม่ถูก” ชายหนุ่มพูดอย่างใจเย็น ผู้หญิงที่ขึ้นเสียงโวยวายเป็นกริยาที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย แต่กัปตันหนุ่มพยายามจะเข้าใจว่า หญิงสาวแปลกหน้าเพิ่งประสบอุบัติเหตุ ตื่นมาในสถานที่แปลกตา พบกับคนแปลกหน้า จึงอาจจะทำให้ลืมรักษากริยาไปบ้าง และอีกอย่าง ดูเหมือนว่าเธอจะมาจากต่างถิ่น ที่อาจจะไม่ได้มีมารยาททางสังคมอย่างเดียวกับเขา จึงพอที่จะให้อภัยการแสดงออกที่ดูเหมือนไร้มารยาทของเธอได้
“ฉันมาจากประเทศไทยค่ะ” หญิงสาวตอบ น้ำเสียงอ่อนลง มันคงไม่ยุติธรรมกับเขานักที่เธอจะระบายความอัดอั้นตันใจด้วยการใส่อารมณ์กับเขา เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย คงเป็นเวรกรรมของเธอเองที่โผล่มาในอดีตเป็นร้อยกว่าปีแบบนี้
“ประเทศไทย... ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ชายหนุ่มทวนชื่อประเทศตามที่หญิงสาวบอก ทำท่านึก ก่อนจะส่ายหน้ายอมแพ้
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะในเวลาที่คุณมีชีวิตอยู่ ยังไม่มีประเทศไทยในโลกเลย” หญิงสาวพูดน้ำเสียงขมขื่น เศร้าใจกับชะตาชีวิตของตน หากแต่คำพูดของหญิงสาวกลับทำให้คนฟังรู้สึกสะดุด
“เท่าที่ทราบ ผมยังคงมีชีวิตอยู่” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ท่าทางหญิงสาวจะยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนพูดอะไรที่ฟังดูแปลก ๆ ออกมา เขาคงต้องให้เออร์เนสท์เช็คอย่างละเอียดอีกที ว่าสมองของเธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจนทำงานผิดปกติ
“เอาล่ะ รอให้คุณรู้สึกดีกว่านี้แล้วเราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที ผมจะปล่อยให้คุณพักผ่อน แล้วจะให้คนเอาเสื้อผ้ามาให้ เอลิซาเบธ ภรรยาของคุณหมอเออร์เนสท์กรุณาให้ยืมเสื้อผ้าของเธอก่อนชั่วคราว แล้วผมจะพาไปตลาดเมื่อคุณแข็งแรงดีแล้ว”
สิ้นเสียงชายหนุ่ม ณัฐญาณ์ก้มลงมองเสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่ ก่อนจะพบว่าเป็นชุดผ้าฝ้ายยาวสีขาวคอปิด มีระบายลูกไม้รอบคอและสาบเสื้อด้านหน้า แขนยาวจั๊มตรงข้อมือ ปลายแขนที่ปักลูกไม้บานออก นัยน์ตาโตเบิกกว้าง เมื่อมองไม่เห็นว่ามีใครอยู่บริเวณนี้อีกนอกจากเขา ใบหน้าซีดเงยขึ้น ปากอ้าทำท่าจะคาดคั้น หากชายหนุ่มที่ยืนสังเกตคนบนเตียงอยู่ไม่ไกล ตอบก่อนที่จะถูกถาม
“เอลานอร์เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณ” ใบหน้าหล่อเหลาของกัปตันหนุ่มระบายยิ้มอย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางโล่งอกของคนบนเตียง
“เอลานอร์เป็นแม่บ้านของผม เธอจะนำเสื้อผ้ามาให้และอยู่เป็นเพื่อนคุณ และจะจัดอาหารกลางวันให้คุณด้วยเมื่อถึงเวลา หากคุณต้องการอะไร ให้บอกกับเอลานอร์ได้ ผมขอตัวก่อน ขอให้คุณพักผ่อนให้สบาย” กล่าวจบก็โค้งให้ด้วยท่าทางสุภาพ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
เมื่อชายหนุ่มลับตัวไป ณัฐญาณ์นอนตะแคงใบหน้าซุกหมอน คิดถึงสถานการณ์ที่ประสบอยู่ และเมื่อมองไม่เห็นทางออกว่าจะกลับออกไปจากอดีตนี่ได้อย่างไร หญิงสาวก็ปล่อยโฮ
“แม่ ณัฐจะทำยังไง ณัฐไม่อยากอยู่ที่นี่ ณัฐอยากกลับบ้าน ช่วยณัฐด้วย” พึมพำเจือเสียงสะอื้นอย่างเสียขวัญ
ในตอนที่อ่านหนังสือประวัติของสถานีล่าวาฬแห่งนี้พร้อมทั้งเรื่องราวความรักของเจ้าของสถานีและภรรยา มันก็อ่อนหวานโรแมนติกดีอยู่หรอก แต่พอต้องมามีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับเจ้าของเรื่องราวในหนังสือ มันคนละเรื่องกันเลย เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่างช่างแตกต่างกับที่ที่เธอจากมาเหลือเกิน แล้วยิ่งคิดว่าเธออยู่ห่างจากบ้านแค่ไหนก็ยิ่งใจหาย เพราะไม่ใช่เพียงอยู่กันคนละประเทศ หากแต่อยู่กันคนละชาติภพเลยทีเดียว แล้วเธอจะหาทางกลับบ้านได้อย่างไร
“คุณ... คุณคะ” เสียงของผู้หญิงที่ส่งมาจากด้านหลัง ทำให้ณัฐญาณ์ที่นอนหันหลังให้ประตูนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น เช็ดน้ำตา แล้วจึงหันกลับมา
เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงผิวดำ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ผมหยิกถูกมัดรวบไว้ข้างหลัง ใบหน้ากลม ริมฝีปากหนา ตาโปน อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาล เอวคอด แขนเสื้อพองตรงต้นแขนแล้วค่อย ๆ แคบเข้าตรงข้อมือ รอบคอและหน้าอกเป็นระบายระย้า กำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาแสดงความสนอกสนใจ
“นายท่านให้ฉันเอาเสื้อผ้ามาให้คุณ จะเปลี่ยนเลยไหมคะ”
“เอลานอร์... ใช่ไหม” หญิงสาวไม่ตอบคำถาม หากถามกลับคนที่นั่งอยู่บนพื้น
“ใช่ค่ะ นายท่านให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ ลุกขึ้นแต่งตัวเถอะค่ะ จะได้รับประทานอาหารกลางวัน” หญิงรับใช้บอก
“ขอบใจมากเอลานอร์ แต่ฉันไม่หิว ไม่มีอารมณ์จะแต่งตัว ฉันจะนอนอยู่นี่ เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ” หญิงสาวบอกหญิงรับใช้อย่างไม่ใส่ใจ เธอไม่มีอารมณ์จะแต่งตัวหรือรับประทานอาหาร หรือรับการปรนนิบัติจากหญิงรับใช้ เธอไม่ได้กำลังพักร้อนในรีอสร์ทที่ต่างประเทศ แต่เธอเป็นคนหลงยุคมาจากอนาคตต่างหาก ใครจะไปมีกะจิตกะใจทำอะไร เธออยากนอนร้องไห้ ร้องจนกว่าจะหมดแรงหลับไป พอตื่นมาก็พบว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย หญิงสาวหวังเหลือเกินว่ามันจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
“ฉันไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ นายท่านสั่งให้ฉันมาเฝ้าคุณ”
“เฝ้าฉันทำไม เขากลัวฉันหนีหรืออย่างไร ฉันจะมีปัญญาหนีไปไหนได้” พูดอย่างขมขื่น ถึงเธอจะอยากหนีไปจากที่นี่เพียงใด ก็มองไม่เห็นทางเลยว่าจะหนีไปได้อย่างไร ทำไมชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับเธอ เธอจะหนีไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร... เธอจะกลับบ้านได้อย่างไร... แม่ขา ณัฐคิดถึงแม่เหลือเกิน... ณัฐจะทำยังไงดี
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ฉันจะนอนล่ะ ไม่ต้องเอาอาหารกลางวันมา ฉันไม่หิว” หญิงสาวบอกพลางหันกลับไปนอนซุกหมอนอีกครั้ง เงี่ยหูฟังเสียงคนที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น หากแต่ไม่มีเสียงอะไรที่พอจะบอกได้เลยว่าอีกคนกำลังทำอะไรอยู่ อาจจะนั่งนิ่ง ๆ อยู่ในห้อง ทำตามคำสั่งนายอย่างเคร่งครัดกระมัง
แม้ตั้งใจเพียงจะนอนพิลาปรำพันถึงชะตากรรมชีวิตอันเลวร้ายของตนอยู่บนเตียง แต่ด้วยความอ่อนเพลียจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และความรู้สึกที่ถาโถมอยู่ในใจ ทำให้ณัฐญาณ์ผลอยหลับไป ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงทุ้มที่ไม่ทราบว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด
“ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว ดูเหมือนคุณจะชอบถูกบังคับ”
สิ้นเสียงชายหนุ่ม คนที่นอนอยู่บนเตียงหันขวับมาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
“ฉันไม่ชอบถูกบังคับ ฉันไม่อยากกินอะไร ไปให้พ้น” ทำไมเขาไม่เข้าใจ ว่าตอนนี้สถานการณ์ในชีวิตของเธอมันย่ำแย่หาทางออกไม่เจอ เขาคิดว่าเธอจะอยู่ในบ้านเขาอย่างมีความสุข สบายอกสบายใจในฐานะแขกอย่างที่เขาว่าได้อย่างไร ในเมื่อความจริงคือ เธอหลงยุคมา และยังหาทางกลับไม่เจอ!
“นาทาย่าห์ คุณอ่อนเพลียมาก และต้องได้รับอาหาร ลุกขึ้นมารับประทานเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มออกคำสั่ง และนั่นก็เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ลาอย่างณัฐญาณ์หลังหัก หญิงสาวสูญสิ้นการควบคุมตนเอง ความรู้สึกอัดอั้นตันใจในชะตากรรมของตนทั้งหมดถูกระบายออกด้วยการขว้างหมอนเข้าใส่คนที่บังอาจมาออกคำสั่งกับเธอ
“ไปให้พ้น ออกไป๊!” แล้วก็ร้องไห้โฮ ฟุบลงไปบนเตียง สะอึกสะอื้นอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
วิลเลียมตกใจกับปฏิกริยาของหญิงสาว และโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็วิ่งเข้าไปหาคนที่ฟุบหน้าอยู่บนเตียง รวบร่างบางที่ตัวสั่นด้วยแรงสะอื้นเข้ามากอดแนบอกอย่างปลอบประโลม
“นาทาย่าห์ สงบสติอารมณ์ก่อน” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ยกมือลูบศีรษะที่ซุกอยู่บนหน้าอกของตนอย่างอ่อนโยน
หญิงสาวปล่อยให้อ้อมแขนแกร่งโอบกอดอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในยุคโบราณแห่งนี้ อย่างน้อยก็คงจะพอมีคนที่จะร่วมรับรู้ถึงปัญหาอันใหญ่หลวงของเธอ... หวังว่าเขาจะรับฟังและไม่หาว่าเธอเสียสติไปเสียก่อน
“กัปตันคะ ฉันไม่ใช่คนสมัยนี้ ฉันหลงเข้ามา เข้ามาได้อย่างไรฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันมาจากอนาคต ที่ที่ฉันจากมา คุณเป็นเพียงอดีตที่ผ่านไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ตอนนี้ฉันมาอยู่ตรงนี้ พูดคุยอยู่กับคุณ ลองคิดดูสิคะว่าถ้าคุณเป็นฉัน คุณจะรู้สึกอย่างไร ฉันกลัวค่ะ ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผู้คนที่อยู่คนละยุคสมัยกับฉัน ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันมาอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าคุณ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง คุณตายไปแล้วเป็นร้อยปี ฉันจะทำยังไงคะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันอยากกลับบ้าน แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกลับได้อย่างไร เพราะฉันมาได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย” หญิงสาวพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมายืดยาว หากเขาจะว่าเธอเสียสติก็คงต้องยอมรับ เพราะสิ่งที่เธอบอกเขา มันฟังดูบ้าบอและเป็นไปไม่ได้ ซึ่งหากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง หญิงสาวก็คงจะไม่เชื่อเช่นกัน หากแต่คำตอบของชายหนุ่มทำให้คนที่กำลังสะอื้นหนักถึงกับหยุดชะงัก
“ผมจะช่วยคุณหาทางกลับให้ได้” ชายหนุ่มตอบ เพราะเมื่อฟังที่หญิงสาวบอก เขาก็ได้ยินเสียงของโมรานดังก้องขึ้นมาในหูอีกครั้ง
“...จะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นประตูมิติที่จะเปิดให้สองมิติเชื่อมถึงกัน...”
“คะ?” ถามอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อเธอง่าย ๆ เช่นนี้
“บางทีปัญหาของคุณอาจจะมีทางออก” ชายหนุ่มตอบ อุ้งมือเรียวยาวยังคงลูบผมนุ่มอย่างอ่อนโยน
“คะ... คุณเชื่อฉันหรือคะ”
“ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องโกหกไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มถาม ใบหน้ายิ้มละไม
“ค่ะ ฉันไม่ได้โกหก แต่เรื่องมันเหลือเชื่อ จนแม้แต่ฉันเอง หากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง ฉันก็อาจจะไม่เชื่อ” หญิงสาวพึมพำ
“เอาเป็นว่าผมเชื่อคุณ และคิดว่าอาจจะมีคนที่มีคำตอบสำหรับปัญหาของคุณ ผมจะพาคุณไปพบเขาหลังจากที่คุณแข็งแรงดีแล้ว ตอนนี้มารับประทานอาหารกลางวันก่อนนะครับ” ชายหนุ่มว่าก่อนจะคลายอ้อมแขน และตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งสังเกตว่าหญิงสาวอยู่ในชุดนอนบางเบา ทำให้ใบหน้าคมสันเรื่อสีขึ้นและขยับออกห่างในทันที จังหวะเดียวกับที่ณัฐญาณ์ก็รู้ตัวว่าตนอยู่ในชุดที่ไม่เรียบร้อยเพียงใด จึงบอกชายหนุ่มตะกุกตะกัก
“ฉัน... เอ่อ... ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะคะ”
“ผมจะให้เอลานอร์เข้ามาช่วย” ชายหนุ่มตอบ ใบหน้าเมินมองไปทางอื่น หญิงสาวเกือบจะตอบปฏิเสธข้อเสนอของเขา เพราะแค่แต่งตัว เธอทำเองได้ แต่เมื่อนึกได้ว่า ตอนนี้เธออยู่ในยุคสมัยใด และเสื้อผ้ากรุยกรายที่คนรับใช้นำมาให้นั้น เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะใส่เป็นหรือเปล่า จึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย และถอนหายใจยาวเมื่อชายหนุ่มลับตัวไป