สิ่งมหัศจรรย์ คือ สิ่งที่น่าทึ่ง หรือแปลกประหลาด ซึ่งการที่เราเห็นว่าสิ่งใดเป็นสิ่งมหัศจรรย์นั้นก็เพราะเราไม่เคยได้พบเห็นสิ่งนั้นมาก่อน แต่เมื่อเราได้พบเห็นสิ่งนั้นมานานจนชินชาแล้ว เราก็จะเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่เคยมหัศจรรย์นั้นได้กลายเป็นของธรรมดาๆที่ไม่น่ามหัศจรรย์อีกต่อไปแล้ว
อย่างเช่นร่างกายของเรานี้ถ้ามองให้ดีเราก็จะพบความมหัศจรรย์ของมัน เพราะอวัยวะต่างของร่างกายได้ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบจนทำให้เกิดร่างกายขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลเหมือน CPU ของคอมพิวเตร์ อีกทั้งมันยังเก็บข้อมูลต่างๆที่เคยจิตรับรู้เอาไว้ได้อีกด้วย
ปกติเรามักจะเห็นว่าสิ่งภายนอกหรือสิ่งนอกโลกว่าน่าอัศจรรย์ เพราะเราไม่เคบได้พบเห็นมันมาก่อน แต่ถ้าเราจะมาพิจารณาให้ดีเราก็จะพบว่า สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในจักวาลหรือในเอกภพนี้ก็ได้แก่ จิต ของเรานี่เอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเหมือนวัตถุ แต่มันสามารถที่จะรับรู้สิ่งต่างๆได้ รู้สึกสิ่งที่รับรู้ได้, จำสิ่งที่เคยรับรู้มาก่อนได้, และมีการปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ เช่นอยากได้ ไม่อยากได้ หรือยึดถือ หรือคิดได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่มีความสามารถได้เช่นนี้จะมีอะไรที่มหัศจรรย์ยิ่งไปกว่าเป็นไม่มี
แต่เพราะเราก็อยู่กับจิตนี้มานานจนชินชาแล้ว เราจึงไม่รู้สึกว่ามันน่าอัศจรรย์เลย คือเรากลับรู้สึกว่ามันเป็นของธรรมดาๆ ซึ่งนี่คือความโง่ของจิตที่ทำให้ไม่รู้จักว่าตัวเองคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด
เมื่อไม่รู้จิตอย่างถูกต้องจึงทำให้ไม่รู้ว่าจิตนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อดับแล้วจะเป็นอย่างไร? มันมีทุกข์ได้อย่างไร? และจะดับทุกข์ของมันได้อย่างไร?
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึงการเกิดขึ้นของจิตเอาไว้แล้ว รวมทั้งสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ของจิตเอาไว้แล้ว ถ้าใครเข้าใจก็จะสามารถปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตในปัจจุบันได้ แต่ถ้าใครยังไม่เข้าใจก็จะยังไม่สามารถปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตในปัจจุบันได้
จิตของเราคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาล
อย่างเช่นร่างกายของเรานี้ถ้ามองให้ดีเราก็จะพบความมหัศจรรย์ของมัน เพราะอวัยวะต่างของร่างกายได้ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบจนทำให้เกิดร่างกายขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองที่ทำหน้าที่ประมวลผลเหมือน CPU ของคอมพิวเตร์ อีกทั้งมันยังเก็บข้อมูลต่างๆที่เคยจิตรับรู้เอาไว้ได้อีกด้วย
ปกติเรามักจะเห็นว่าสิ่งภายนอกหรือสิ่งนอกโลกว่าน่าอัศจรรย์ เพราะเราไม่เคบได้พบเห็นมันมาก่อน แต่ถ้าเราจะมาพิจารณาให้ดีเราก็จะพบว่า สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในจักวาลหรือในเอกภพนี้ก็ได้แก่ จิต ของเรานี่เอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเหมือนวัตถุ แต่มันสามารถที่จะรับรู้สิ่งต่างๆได้ รู้สึกสิ่งที่รับรู้ได้, จำสิ่งที่เคยรับรู้มาก่อนได้, และมีการปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ เช่นอยากได้ ไม่อยากได้ หรือยึดถือ หรือคิดได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่มีความสามารถได้เช่นนี้จะมีอะไรที่มหัศจรรย์ยิ่งไปกว่าเป็นไม่มี
แต่เพราะเราก็อยู่กับจิตนี้มานานจนชินชาแล้ว เราจึงไม่รู้สึกว่ามันน่าอัศจรรย์เลย คือเรากลับรู้สึกว่ามันเป็นของธรรมดาๆ ซึ่งนี่คือความโง่ของจิตที่ทำให้ไม่รู้จักว่าตัวเองคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด
เมื่อไม่รู้จิตอย่างถูกต้องจึงทำให้ไม่รู้ว่าจิตนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อดับแล้วจะเป็นอย่างไร? มันมีทุกข์ได้อย่างไร? และจะดับทุกข์ของมันได้อย่างไร?
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึงการเกิดขึ้นของจิตเอาไว้แล้ว รวมทั้งสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ของจิตเอาไว้แล้ว ถ้าใครเข้าใจก็จะสามารถปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตในปัจจุบันได้ แต่ถ้าใครยังไม่เข้าใจก็จะยังไม่สามารถปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตในปัจจุบันได้