US BOX OFFICE November 15-17, 2013
(แปล/เรียบเรียงจาก
www.boxofficemojo.com)
ไม่น่าเชื่อว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีหนังเปิดตัวในวงกว้างเพียงเรื่องเดียวคือ The Best Man Holiday ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาปรากฏว่าทำได้ดีเหนือความคาดหมาย เมื่อทำรายได้เปิดตัว 30 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่มากพอจะเขี่ย Thor: The Dark World ลงมาจากอันดับ 1 ได้ โดยกับการฉายในสัปดาห์ที่ 2 หนังเทพสายฟ้า คว้าเงินมาเพิ่ม 36.6 ล้านเหรียญ และรายได้รวมจากการฉาย 10 วัน เท่ากับ 145.1 ล้านเหรียญ รายได้หนังตกจากสัปดาห์เปิดตัว 57% ซึ่งมากกว่าหนังภาคแรก ที่ตกเพียง 47% แต่พอๆ กับ Iron Man 3 (58%) แต่ทำได้ดีกว่าหนังมาร์เวลเหมือนกัน Captain America และ The Incredible Hulk เล็กน้อย หากทำรายได้ทรงตัวแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ หนังจะทำรายได้ปิดตัวที่ 225 ล้านเหรียญ
กับโรงฉาย 2,024 โรง The Best Man Holiday ทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 2 ด้วยรายได้ที่น่าทึ่ง 30.1 ล้านเหรียญ ขณะที่หนังภาคแรกเปิดตัวแค่ 9 ล้านเหรียญเมื่อ 14 ปีก่อน แต่ถ้าปรับค่าเงินเฟ้อจะเป็น 14 ล้านเหรียญ นั่นหมายความว่า Best Man Holiday ทำได้ดีกว่าภาคแรกถึง 2 เท่า แล้วหากนำไปเทียบกับหนังนักแสดงแอฟริกัน-อเมริกันเหมือนกัน หนังก็ทำได้ดีกว่าทุกเรื่อง ยกเว้น หนังไทเลอร์ เพอร์รี่เมื่อปี 2009 Madea Goes to Jail กับหนังเมื่อปีที่แล้ว Think Like a Man ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 33.6 ล้านเหรียญ
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีหนังพุ่งเป้าคนดูแอฟริกัน-อเมริกัน ทำเงินได้ดี ก็จะทำให้ความคิดที่ว่า นี่คือคนดูกลุ่มใหญ่ ที่ตามคามเป็นมาในอดีตแล้วถูกให้ความสำคัญต่ำมาโดยตลอดจากฮอลลีวู้ด ซึ่งเป็นความคิดที่ง่าย และไม่ถูกต้อง เพราะถ้ามองว่าหนังเรื่องไหนก็ตามที่วางเป้าคนดูไปที่คนดูแอฟริกัน-อเมริกัน จะประสบความสำเร็จ แล้วการที่หนังในปีนี้อย่าง Baggage Claim และ Tyler Perry Presents Peeples เปิดตัวแค่ กว่า 9 ล้านเหรียญ และ 4.6 ล้านเหรียญตามลำดับ หมายถึงอะไร คำตอบก็คือ ทำหนังเน้นคนดูกลุ่มนี้เท่านั้นยังไม่พอ แต่หนังต้องมีเสน่ห์ มีความน่าสนใจสำหรับพวกเขาด้วย
แล้ว The Best Man Holiday ยังมีข้อได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ชื่อหนังมีความแข็งแรง แม้หนัง Best Man จะทำเงินไปแค่พอประมาณ แต่คนดูหลายๆ คนก็ค้นพบความสนุก และเพลิดเพลินกับหนังมานานหลายปีจากวิดีโอ หรือดีวีดี แผนการตลาดของยูนิเวอร์แซล ก็เน้นภาพของการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของตัวละคร และนักแสดงจากหนังภาคแรก ซึ่งบางคนกำลังเป็นดาวเด่นเมื่อ 14 ปีก่อน แล้วการเน้นความเป็นหนังคริสต์มาส ก็ตอกย้ำธีมการรวมตัวให้เด่นขึ้นมาอีก เพราะช่วงเทศกาลแบบนี้ ก็คือช่วงเวลาของการพบปะเพื่อนเก่า แถมผลตอบรับจากรอบพรีวิวก็ออกมาดี เมื่อหนังสร้างสมดุลย์ระหว่างความเป็นหนังเบาสมอง, โรแมนซ์ และดรามา ได้ดี ซึ่งทำให้ตัวหนังเหมือนเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แน่นอนว่าคนดูแอฟริกัน-อเมริกันจะแห่กันไปดูหนังเรื่องนี้ถึง 87% โดยเป็นผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 35 ปีถึง 63% และเป็นคนดูสาวๆ ถึง 75% การที่หนังได้คะแนน A+ จากซีนีมาสกอร์ แสดงให้เห็นว่าหนังจะมีเสียงบอกปากต่อปากที่ดี ทำให้ The Best Man Holiday น่าจะทำรายได้มากกว่า 80 ล้านเหรียญเมื่อจบการฉาย
อันดับ 3 เป็น Last Vegas รายได้ลดลงแค่ 24% ทำเงินไป 8.4 ล้านเหรียญ มาถึงตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 46.5 ล้านเหรียญ ซึ่งในสุดสัปดาห์นี้ น่าจะทำเงินแซงหน้า The Woman in Black (54.3 ล้านเหรียญ) เป็นหนังทำเงินสูงสุดของซีบีเอส ฟิล์มส์
Free Birds รายได้ตกเพียง 27% ทำเงินเพิ่ม8.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับไปเป็น 42 ล้านเหรียญ ส่วน Jackass Presents: Bad Grandpa ยังไม่หล่นไปจากห้าอันดับแรก เมื่อทำเงินมาอีก 7.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 89.95 ล้านเหรียญ และกำลังมุ่งสู่ 100 ล้านเหรียญ
ส่วนสัปดาห์ที่ 7 ในการฉายของ Gravity ยังทำเงินได้ 6.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 240.4 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 5 ของหนังทำเงินสูงสุดของปีนี้ แซง Fast & Furious 6 เรียบร้อย
Dallas Buyers Club เพิ่มโรงเป็น 184 โรง ขยับขึ้นมาใน 12 อันดับแรกด้วยรายได้ 1.75 ล้านเหรียญ หนังทำเงินไปแล้ว 3 ล้านเหรียญ และมีแผนจะเปิดฉายในวงกว้างในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่หนังของอเล็กซานเดอร์ เพย์น Nebraska เปิดตัวที่ 140,401 เหรียญจากสี่โรงฉาย คิดเป็นรายได้ต่อโรง 35,100 เหรียญ ซึ่งไม่ดีนักหากมองว่าหนังเรืองนี้ของเพย์นได้ทั้งคำชม และมีแววไปได้สวยบนเวทีรางวัล
หนัง The Christmas Candle ทำรายได้ 68,655 เหรียญจาก 5 โรง นี่คืองานที่ดัดแปลงมาจากหนังสือเกี่ยวกับศาสนาชื่อเดียวกัน สุดสัปดาห์นี้ หนังจะเพิ่มโรงเป็น 400 โรง
ในตลาดนอกอเมริกา Thor: The Dark World เป็นเจ้าสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน โดยได้เงินมาอีก 52.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับเป็น 332.8 ล้านเหรียญ รั้งอันดับ 3 หนังมาร์เวลทำเงินมากสุดตลอดกาลต่อจาก The Avengers และ Iron Man 3 หนังทำรายได้อันดับ 1 ที่จีน 41.8 ล้านเหรียญ และ Russia 31.6 ล้านเหรียญสุดสัปดาห์นี้ หนังจะเปิดตัวที่อิตาลี
Gravity ทำรายได้เพิ่ม 18.5 ล้านเหรียญจาก 62 ตลาด ในอังกฤษ รายได้ของหนังตกลงแค่ 16% ทำเงินจากที่นี่ 7.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมนอกอเมริกาของ Gravity เท่ากับ 274.3 ล้านเหรียญ เมื่อรวมกับในอเมริกา รายได้รวมทั่วโลกของหนังผ่าน 500 ล้านเหรียญไปแล้ว หนังจะเปิดตัวในจีนอังคารที่ 19 นี้ และญี่ปุ่นในเดือนธันวาคม รายได้จาก 2 ตลาดนี้ น่าจะมากพอทำให้หนังทำเงินเกิน 700 ล้านเหรียญทั่วโลก
ขณะที่ไม่ประสบความสำเร็จในอเมริกา หนัง The Counselor ทะยอยเปิดตัวในตลาดนอกอเมริกา ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำเงินได้ดีที่ฝรั่งเศส 2.6 ล้านเหรียญ แต่จบเห่ที่อังกฤษ กับรายได้ 1.3 ล้านเหรียญ โดยรวมๆ ในตลอดนอกอเมริกา หนังทำเงินสัปดาห์นี้ 10.8 ล้านเหรียญ ส่วนรายได้รวมเป็น 19.3 ล้านเหรียญ
สุดสัปดาห์นี้ The Hunger Games: Catching Fire จะเปิดตัวในอเมริกา แต่บางประเทศก็เปิดตัวตั้งแต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำเงิน 6.3 ล้านเหรียญที่บราซิล ซึ่งมากกว่าที่หนังภาคแรกทำไว้ 3.04 ล้านเหรียญถึง 2 เท่า และน่าจะมากกว่านี้ หากค่าเงินของบราซิลไม่ลดลงในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา หนัง The Hunger Games ทำเงินนอกอเมริกาไป 283 ล้านเหรียญ ซึ่ง Catching Fire น่าจะทำได้ดีกว่า สุดสัปดาห์นี้หนังจะเปิดตัวที่ อังกฤษ, ออสเตรเลีย, เยอรมันนี, สเปน, จีน, เกาหลีใต้, รัสเซีย และเม็กซิโก
อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่
www.facebook.com/Sadaos และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงได้ที่
www.sadaos.com
หนังทำเงินอเมริกา 17 พ.ย. ธอร์ยังยึดอันดับ 1 ไปได้อีกสัปดาห์
(แปล/เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
ไม่น่าเชื่อว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีหนังเปิดตัวในวงกว้างเพียงเรื่องเดียวคือ The Best Man Holiday ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาปรากฏว่าทำได้ดีเหนือความคาดหมาย เมื่อทำรายได้เปิดตัว 30 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่มากพอจะเขี่ย Thor: The Dark World ลงมาจากอันดับ 1 ได้ โดยกับการฉายในสัปดาห์ที่ 2 หนังเทพสายฟ้า คว้าเงินมาเพิ่ม 36.6 ล้านเหรียญ และรายได้รวมจากการฉาย 10 วัน เท่ากับ 145.1 ล้านเหรียญ รายได้หนังตกจากสัปดาห์เปิดตัว 57% ซึ่งมากกว่าหนังภาคแรก ที่ตกเพียง 47% แต่พอๆ กับ Iron Man 3 (58%) แต่ทำได้ดีกว่าหนังมาร์เวลเหมือนกัน Captain America และ The Incredible Hulk เล็กน้อย หากทำรายได้ทรงตัวแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ หนังจะทำรายได้ปิดตัวที่ 225 ล้านเหรียญ
กับโรงฉาย 2,024 โรง The Best Man Holiday ทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 2 ด้วยรายได้ที่น่าทึ่ง 30.1 ล้านเหรียญ ขณะที่หนังภาคแรกเปิดตัวแค่ 9 ล้านเหรียญเมื่อ 14 ปีก่อน แต่ถ้าปรับค่าเงินเฟ้อจะเป็น 14 ล้านเหรียญ นั่นหมายความว่า Best Man Holiday ทำได้ดีกว่าภาคแรกถึง 2 เท่า แล้วหากนำไปเทียบกับหนังนักแสดงแอฟริกัน-อเมริกันเหมือนกัน หนังก็ทำได้ดีกว่าทุกเรื่อง ยกเว้น หนังไทเลอร์ เพอร์รี่เมื่อปี 2009 Madea Goes to Jail กับหนังเมื่อปีที่แล้ว Think Like a Man ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 33.6 ล้านเหรียญ
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีหนังพุ่งเป้าคนดูแอฟริกัน-อเมริกัน ทำเงินได้ดี ก็จะทำให้ความคิดที่ว่า นี่คือคนดูกลุ่มใหญ่ ที่ตามคามเป็นมาในอดีตแล้วถูกให้ความสำคัญต่ำมาโดยตลอดจากฮอลลีวู้ด ซึ่งเป็นความคิดที่ง่าย และไม่ถูกต้อง เพราะถ้ามองว่าหนังเรื่องไหนก็ตามที่วางเป้าคนดูไปที่คนดูแอฟริกัน-อเมริกัน จะประสบความสำเร็จ แล้วการที่หนังในปีนี้อย่าง Baggage Claim และ Tyler Perry Presents Peeples เปิดตัวแค่ กว่า 9 ล้านเหรียญ และ 4.6 ล้านเหรียญตามลำดับ หมายถึงอะไร คำตอบก็คือ ทำหนังเน้นคนดูกลุ่มนี้เท่านั้นยังไม่พอ แต่หนังต้องมีเสน่ห์ มีความน่าสนใจสำหรับพวกเขาด้วย
แล้ว The Best Man Holiday ยังมีข้อได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ชื่อหนังมีความแข็งแรง แม้หนัง Best Man จะทำเงินไปแค่พอประมาณ แต่คนดูหลายๆ คนก็ค้นพบความสนุก และเพลิดเพลินกับหนังมานานหลายปีจากวิดีโอ หรือดีวีดี แผนการตลาดของยูนิเวอร์แซล ก็เน้นภาพของการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของตัวละคร และนักแสดงจากหนังภาคแรก ซึ่งบางคนกำลังเป็นดาวเด่นเมื่อ 14 ปีก่อน แล้วการเน้นความเป็นหนังคริสต์มาส ก็ตอกย้ำธีมการรวมตัวให้เด่นขึ้นมาอีก เพราะช่วงเทศกาลแบบนี้ ก็คือช่วงเวลาของการพบปะเพื่อนเก่า แถมผลตอบรับจากรอบพรีวิวก็ออกมาดี เมื่อหนังสร้างสมดุลย์ระหว่างความเป็นหนังเบาสมอง, โรแมนซ์ และดรามา ได้ดี ซึ่งทำให้ตัวหนังเหมือนเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แน่นอนว่าคนดูแอฟริกัน-อเมริกันจะแห่กันไปดูหนังเรื่องนี้ถึง 87% โดยเป็นผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 35 ปีถึง 63% และเป็นคนดูสาวๆ ถึง 75% การที่หนังได้คะแนน A+ จากซีนีมาสกอร์ แสดงให้เห็นว่าหนังจะมีเสียงบอกปากต่อปากที่ดี ทำให้ The Best Man Holiday น่าจะทำรายได้มากกว่า 80 ล้านเหรียญเมื่อจบการฉาย
อันดับ 3 เป็น Last Vegas รายได้ลดลงแค่ 24% ทำเงินไป 8.4 ล้านเหรียญ มาถึงตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 46.5 ล้านเหรียญ ซึ่งในสุดสัปดาห์นี้ น่าจะทำเงินแซงหน้า The Woman in Black (54.3 ล้านเหรียญ) เป็นหนังทำเงินสูงสุดของซีบีเอส ฟิล์มส์
Free Birds รายได้ตกเพียง 27% ทำเงินเพิ่ม8.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับไปเป็น 42 ล้านเหรียญ ส่วน Jackass Presents: Bad Grandpa ยังไม่หล่นไปจากห้าอันดับแรก เมื่อทำเงินมาอีก 7.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 89.95 ล้านเหรียญ และกำลังมุ่งสู่ 100 ล้านเหรียญ
ส่วนสัปดาห์ที่ 7 ในการฉายของ Gravity ยังทำเงินได้ 6.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 240.4 ล้านเหรียญ อยู่ในอันดับ 5 ของหนังทำเงินสูงสุดของปีนี้ แซง Fast & Furious 6 เรียบร้อย
Dallas Buyers Club เพิ่มโรงเป็น 184 โรง ขยับขึ้นมาใน 12 อันดับแรกด้วยรายได้ 1.75 ล้านเหรียญ หนังทำเงินไปแล้ว 3 ล้านเหรียญ และมีแผนจะเปิดฉายในวงกว้างในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่หนังของอเล็กซานเดอร์ เพย์น Nebraska เปิดตัวที่ 140,401 เหรียญจากสี่โรงฉาย คิดเป็นรายได้ต่อโรง 35,100 เหรียญ ซึ่งไม่ดีนักหากมองว่าหนังเรืองนี้ของเพย์นได้ทั้งคำชม และมีแววไปได้สวยบนเวทีรางวัล
หนัง The Christmas Candle ทำรายได้ 68,655 เหรียญจาก 5 โรง นี่คืองานที่ดัดแปลงมาจากหนังสือเกี่ยวกับศาสนาชื่อเดียวกัน สุดสัปดาห์นี้ หนังจะเพิ่มโรงเป็น 400 โรง
ในตลาดนอกอเมริกา Thor: The Dark World เป็นเจ้าสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน โดยได้เงินมาอีก 52.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับเป็น 332.8 ล้านเหรียญ รั้งอันดับ 3 หนังมาร์เวลทำเงินมากสุดตลอดกาลต่อจาก The Avengers และ Iron Man 3 หนังทำรายได้อันดับ 1 ที่จีน 41.8 ล้านเหรียญ และ Russia 31.6 ล้านเหรียญสุดสัปดาห์นี้ หนังจะเปิดตัวที่อิตาลี
Gravity ทำรายได้เพิ่ม 18.5 ล้านเหรียญจาก 62 ตลาด ในอังกฤษ รายได้ของหนังตกลงแค่ 16% ทำเงินจากที่นี่ 7.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมนอกอเมริกาของ Gravity เท่ากับ 274.3 ล้านเหรียญ เมื่อรวมกับในอเมริกา รายได้รวมทั่วโลกของหนังผ่าน 500 ล้านเหรียญไปแล้ว หนังจะเปิดตัวในจีนอังคารที่ 19 นี้ และญี่ปุ่นในเดือนธันวาคม รายได้จาก 2 ตลาดนี้ น่าจะมากพอทำให้หนังทำเงินเกิน 700 ล้านเหรียญทั่วโลก
ขณะที่ไม่ประสบความสำเร็จในอเมริกา หนัง The Counselor ทะยอยเปิดตัวในตลาดนอกอเมริกา ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำเงินได้ดีที่ฝรั่งเศส 2.6 ล้านเหรียญ แต่จบเห่ที่อังกฤษ กับรายได้ 1.3 ล้านเหรียญ โดยรวมๆ ในตลอดนอกอเมริกา หนังทำเงินสัปดาห์นี้ 10.8 ล้านเหรียญ ส่วนรายได้รวมเป็น 19.3 ล้านเหรียญ
สุดสัปดาห์นี้ The Hunger Games: Catching Fire จะเปิดตัวในอเมริกา แต่บางประเทศก็เปิดตัวตั้งแต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำเงิน 6.3 ล้านเหรียญที่บราซิล ซึ่งมากกว่าที่หนังภาคแรกทำไว้ 3.04 ล้านเหรียญถึง 2 เท่า และน่าจะมากกว่านี้ หากค่าเงินของบราซิลไม่ลดลงในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา หนัง The Hunger Games ทำเงินนอกอเมริกาไป 283 ล้านเหรียญ ซึ่ง Catching Fire น่าจะทำได้ดีกว่า สุดสัปดาห์นี้หนังจะเปิดตัวที่ อังกฤษ, ออสเตรเลีย, เยอรมันนี, สเปน, จีน, เกาหลีใต้, รัสเซีย และเม็กซิโก
อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงได้ที่ www.sadaos.com