US BOX OFFICE June 28-30, 2013
(ข้อมูล/แปล-เรียบเรียงจาก
www.boxofficemojo.com)
อันดับหนังทำเงินในอเมริกาสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งหนึ่งที่สาวๆ ชอบ ก็คือการไปชมภาพยนตร์ และนั่นก็ทำให้ The Heat เปิดตัวได้เริ่มสะแมนแตนมากๆ ส่วนหนังเข้าใหม่อีกเรื่อง White House Down ร่วงสนั่น ไม่สามารถทำให้ตัวเองมีความแตกต่างไปจากหนัง Olympus Has Fallen ที่ออกฉายเมื่อเดือนมีนาคมได้สำเร็จ และน่าจะจบลงด้วยความล้มเหลวไม่ว่าจะมองในแง่ไหนของตลาด สำหรับอันดับหนังทำเงินในอเมริกาสัปดาห์ที่ผ่านๆ มา คลิกดูได้ที่
http://www.sadaos.com/category/one-short/us-box-office/
โดยที่หนังแอนิเมชั่น พิกซาร์สร้าง Monsters University ยังยืนแป้นอันดับ 1 ไว้ได้อีก 1 สัปดาห์ โดยรายได้ของหนังนั้นหล่นลงแค่ 45% ทำเงินไปอีก 45.6 ล้านเหรียญ จากการฉาย 10 วันหนังกวาดเงินไปทั้งหมด 170.4 ล้านเหรียญ และยืนระยะได้ดีกว่าToy Story 3 (รายได้ตก 46%) และ Brave (รายได้ตก 49% เล็กน้อย) แล้วก็ดีกว่า Cars 2 ที่รายได้ร่วง 60% เพียบ ถ้าสุดสัปดาห์นี้ไม่มีตัวแชร์รายได้อย่าง Despicable Me 2 เข้าฉาย ก็เป็นไปได้ว่าหนังน่าจะทำรายได้ใกล้ 300 ล้านเหรียญ
ด้วยโรงฉาย 3,181 โรง The Heat เข้าวินมาในอันดับ 2 ด้วยรายได้ 39.1 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรายได้เปิดตัวหนังซานดร้า บูลล็อค สูงสุดตลอดกาลเหนือกว่า The Blind Side (34.1 ล้านเหรียญ) และ The Proposal (33.6 ล้านเหรียญ) แถมยังทำได้ดีกว่า 34.6 ล้านเหรียญที่ Identity Thief หนังเมลิสสา แม็คคาร์ธีย์ทำได้ แล้วก็มากกว่า 26.2 ล้านของ Bridesmaids หนังอีกเรื่อง พอล ไฟก์ ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังไปได้สวย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการร่วมทีมกันอีกหนของผู้กำกับไฟก์ และแม็คคาร์ธีย์ หลังจาก Bridesmaids เมื่อปี แล้วก็เติมป้าซานดร้า บูลล็อค ที่มาในบทที่เหมาะเจาะกับตัวเธอเข้ามา ทำให้กลายเป็นหนังที่ยั่วใจคนดูสาวๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกเมินไปซะเฉยๆ ในซัมเมอร์ปีนี้
คนดูผู้หญิงของหนังมีถึง 65% และ 67% อายุมากกว่า 25 ปี โดยได้คะแนน A- จากซีนีมาสกอร์ แม้จะไม่อยู่ระดับที่ปากต่อปากแข็งแรงมากๆ อย่าง Bridesmaids แต่กับการที่ไม่มีคู่แข่งมาประกบทำให้หนังน่าจะทำเงินได้เกิน 150 ล้านเหรียญเมื่อจบโปรแกรม
ในสุดสัปดาห์ที่ 2 ของการฉาย World War Z รายได้ตกลง 55% ทำเงินมาอีก 29.8 ล้านเหรียญ อาจจะดูเหมือนลดลงแบบฮวบฮาบ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็พอๆ กับหนังแอ็คชั่นทุนสูงส่วนใหญ่ในช่วงซัมเมอร์ และทำได้ดีกว่าบรรดาหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป ซึ่งมีการมองเหมือนกันว่า หนังน่าจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ถึงตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 123.7 ล้านเหรียญ และกำลังไล่ตาม 186.3 ล้านเหรียญของ Mr. & Mrs. Smith เพื่อกลายเป็นหนังแบรด พิทท์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล และมีข่าวว่าทางพาราเมาท์กำลังเตรียมทำภาคต่อของหนัง (อ่านรายละเอียดได้ที่
http://bit.ly/18c8muq)
แม้จะได้โรงฉายถึง 3,222 โรง แต่ White House Down ก็ออกตัวแบบอืดมาก ด้วยรายได้ 24.8 ล้านเหรียญ น้อยกว่าที่หนังพล็อตคล้ายๆ กันอย่าง Olympus Has Fallen ทำเอาไว้ 30.4 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่มีพลังดาราน้อยกว่า เอ็ฟเฟ็คท์ห่วยกว่า และทุนน้อยกว่า แล้วก็ต่ำกว่ารายได้เปิดตัวของ 3 หนังแชนนิง ทาทั่มเมื่อปี 2012 The Vow, Magic Mike และ 21 Jump Street ซึ่งเปิดตัวด้วยรายได้อย่างน้อย 36 ล้านเหรียญ โดยตัวหนัง White House Down ดูจะเป็นงานขนาดเล็กเกินกว่าจะเป็นผลงานการกำกับของโรแลนด์ เอมเมอริช ที่ทำแต่หนังใหญ่ๆ มาโดยตลอด การเปิดตัวที่น่าผิดหวัง น่าจะเป็นเพราะการวางกำหนดฉายที่ไม่ดีนัก แม้ดูจะเป็นการให้เหตุผลหลังจากที่ปัญหาเกิดขึ้นให้เห็นก็ตาม เพราะการออกฉายหลัง Olympus Has Fallen ทำให้หน้าหนังถูกทำลาย ขณะที่ Armageddon กับ Deep Impact อาจจะดูเหมือนๆ กัน แต่กับตัวหนังแล้วทั้งสองเรื่องมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นคนกรณีกับ White House Down และ Olympus Has Fallen ซึ่งทั้งชื่อหนัง และภาพลักษณ์แทบไม่แตกต่างกัน แถมกลุ่มคนดูสาวๆ ที่มักไปให้กำลังใจแชนนิง ทาทั่มเป็นประจำ ก็ดันโดน The Heat ฉกตัวไปอีก เท่านั้นยังไม่พอ บรรดาคอหนังแอ็คชั่น ต่างก็ได้ยินคำพูดดีๆ ถึง World War Z มาตลอดสัปดาห์อีกต่างหาก
หนังได้คนดู 51% เป็นผู้หญิง และ 61% อายุ 25 ปีขึ้นไป ได้คะแนน A- จากซีนีมาสกอร์ ซึ่งพอแสดงให้เห็นว่า น่าจะไปได้ดีสัก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่โอกาสทำรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญ ดูจะเป็นไปไม่ได้เมื่อดูที่รายได้เปิดตัว
หลังบินไม่สวยในสัปดาห์ที่ 2 Man of Steel ทำได้ดีขึ้นในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรายได้ร่วงเพียง 50% เก็บเงินมาได้อีก 20.8 ล้านเหรียญ หนังทำเงินไปแล้ว 248.6 ล้านเหรียญ มากพอจะทำให้กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับ 2 ของปีนี้ ตามหลัง 405.4 ล้านเหรียญ ของ Iron Man 3 โดยหนังน่าจะปิดรายได้ในอเมริกาที่ราวๆ 290 – 310 ล้านเหรียญ
ในอันดับที่ 6 This is the End ทำเงินหล่นไปแค่ 35% ทำเงินไป 8.7 ล้านเหรียญ ฉายมาแล้ว 3 สัปดาห์หนังตลก โลกหายนะ เรื่องนี้ทำเงินไป 74.7 ล้านเหรียญ และน่าจะแซงหน้า Pineapple Express (87.3 ล้านเหรียญ) ได้แน่
ส่วนหนังเซอร์ไพรส์ประจำซัมเมอร์นี้ Now You See Me ยังยืนระยะได้ดี เมื่อรายได้ลดลงแค่ 29% ได้เงินมาอีก 5.6 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่ห้าของการฉาย รายได้รวมผ่าน 100 ล้านเหรียญแล้ว และน่าจะจบโปรแกรมด้วยตัวเลขแถวๆ120 ล้านเหรียญ
มาดูที่ตลาดนอกอเมริกากัน World War Z สานต่อความสำเร็จในตลาดอเมริกา ด้วยการเปิดตัวในตลาดหลักๆ นอกอเมริกาเพียงไม่กี่แห่ง และทำรายได้น่าสนใจมากๆ ในสุดสัปดาห์นี้ที่ 70.1 ล้านเหรียญ เมื่อรวมกับสุดสัปดาห์ก่อนหน้า หนังทำเงินไปแล้ว 135.3 ล้านเหรียญ
หนังเปิดตัวที่รัสเซียถึง 12.3 ล้านเหรียญ และเปิดตัวได้ดีที่เม็กซิโก 7.9 ล้านเหรียญ, เยอรมันนี 7.6 ล้านเหรียญ, บราซิล 4 ล้านเหรียญ และอิตาลี 3 ล้านเหรียญ โดยในกลุ่มตลาดใหม่ๆ หนังทำรายได้มากถึง 43.6 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่า Inception (26.4 ล้านเหรียญ), Rise of the Planet of the Apes (23.5 ล้านเหรียญ) และ Prometheus (26.5 ล้านเหรียญ) เมื่อเทียบในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งหนังเหล่านี้ล้วนทำเงินนอกอเมริกาได้กว่า 300 ล้านเหรียญ ซึ่งรายได้สุดท้ายของ World War Z ก็น่าจะไม่ต่างกัน
Man of Steel เก็บเงินมาอีก 52.2 ล้านเหรียญ ทำให้รายได้รวมนอกอเมริกาอยู่ที่ 271.7 ล้านเหรียญ หนังเปิดตัวที่ออสเตรเลีย 8.7 ล้านเหรียญ และได้เงินที่จีนเพิ่มมากอีก 11.9 ล้านเหรียญ (รวมเป็น 46.5 ล้านเหรียญ) รายได้รวมทั่วโลกของหนังอยู่ที่ 500 ล้านเหรียญ โดยที่ยังไม่เปิดตัวที่บราซิล และจีน
Monsters University เก็บเงินได้ 44.2 ล้านเหรียญ จาก 50% ของตลาดนอกอเมริกาทั้งหมด ตอนนี้รายได้ของหนังอยู่ที่ 129.3 ล้านเหรียญ ถ้าเติมรายได้อเมริกาไปด้วย หนังทำเงินทั่วโลกผ่าน 300 ล้านเหรียญไปแล้ว
ก่อนจะเปิดตัวในอเมริกา Despicable Me 2 ทำรายได้รวมไว้ 41.5 ล้านเหรียญจากแค่ 7 ตลาดในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็รวมไปถึงการเปิดฉายรอบพรีวิว หนังฉกเงินในอังกฤษมาได้เยอะที่เดียวถึง 23.3 ล้านเหรียญ รวมทั้งทำรายได้ที่สวยงามในฝรั่งเศส 8 ล้านเหรียญ หากรวมรายได้เปิดตัวในทุกตลาด หนังน่าจะทำเงินมากกว่าหนังภาคแรก ที่ปิดรายได้ด้วยตัวเลข 291 ล้านเหรียญ ในสุดสัปดาห์นี้หนังจะเปิดตัวในอเมริกาพร้อมๆ กับอีก 38 ตลาด
เมื่อในอเมริกาทำได้ไม่สวย White House Down ก็ต้องพึ่งรายได้นอกอเมริกาเป็นหลัก กับการเปิดตัวในไม่กี่ตลาด หนังทำเงินไป 6.8 ล้านเหรียญ โดยที่เป็นตลาดหลักมีเพียงเกาหลีใต้ที่เดียว โดยทำรายได้ไป 2.1 ล้านเหรียญ
อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่
www.facebook.com/Sadaos
และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงมากมายได้ที่
www.sadaos.com
ชาวหลอนมหา'ลัยยังเกาะอันดับ 1 ต่อ White House Down down จริงๆ
(ข้อมูล/แปล-เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
อันดับหนังทำเงินในอเมริกาสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งหนึ่งที่สาวๆ ชอบ ก็คือการไปชมภาพยนตร์ และนั่นก็ทำให้ The Heat เปิดตัวได้เริ่มสะแมนแตนมากๆ ส่วนหนังเข้าใหม่อีกเรื่อง White House Down ร่วงสนั่น ไม่สามารถทำให้ตัวเองมีความแตกต่างไปจากหนัง Olympus Has Fallen ที่ออกฉายเมื่อเดือนมีนาคมได้สำเร็จ และน่าจะจบลงด้วยความล้มเหลวไม่ว่าจะมองในแง่ไหนของตลาด สำหรับอันดับหนังทำเงินในอเมริกาสัปดาห์ที่ผ่านๆ มา คลิกดูได้ที่ http://www.sadaos.com/category/one-short/us-box-office/
โดยที่หนังแอนิเมชั่น พิกซาร์สร้าง Monsters University ยังยืนแป้นอันดับ 1 ไว้ได้อีก 1 สัปดาห์ โดยรายได้ของหนังนั้นหล่นลงแค่ 45% ทำเงินไปอีก 45.6 ล้านเหรียญ จากการฉาย 10 วันหนังกวาดเงินไปทั้งหมด 170.4 ล้านเหรียญ และยืนระยะได้ดีกว่าToy Story 3 (รายได้ตก 46%) และ Brave (รายได้ตก 49% เล็กน้อย) แล้วก็ดีกว่า Cars 2 ที่รายได้ร่วง 60% เพียบ ถ้าสุดสัปดาห์นี้ไม่มีตัวแชร์รายได้อย่าง Despicable Me 2 เข้าฉาย ก็เป็นไปได้ว่าหนังน่าจะทำรายได้ใกล้ 300 ล้านเหรียญ
ด้วยโรงฉาย 3,181 โรง The Heat เข้าวินมาในอันดับ 2 ด้วยรายได้ 39.1 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรายได้เปิดตัวหนังซานดร้า บูลล็อค สูงสุดตลอดกาลเหนือกว่า The Blind Side (34.1 ล้านเหรียญ) และ The Proposal (33.6 ล้านเหรียญ) แถมยังทำได้ดีกว่า 34.6 ล้านเหรียญที่ Identity Thief หนังเมลิสสา แม็คคาร์ธีย์ทำได้ แล้วก็มากกว่า 26.2 ล้านของ Bridesmaids หนังอีกเรื่อง พอล ไฟก์ ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังไปได้สวย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการร่วมทีมกันอีกหนของผู้กำกับไฟก์ และแม็คคาร์ธีย์ หลังจาก Bridesmaids เมื่อปี แล้วก็เติมป้าซานดร้า บูลล็อค ที่มาในบทที่เหมาะเจาะกับตัวเธอเข้ามา ทำให้กลายเป็นหนังที่ยั่วใจคนดูสาวๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกเมินไปซะเฉยๆ ในซัมเมอร์ปีนี้
คนดูผู้หญิงของหนังมีถึง 65% และ 67% อายุมากกว่า 25 ปี โดยได้คะแนน A- จากซีนีมาสกอร์ แม้จะไม่อยู่ระดับที่ปากต่อปากแข็งแรงมากๆ อย่าง Bridesmaids แต่กับการที่ไม่มีคู่แข่งมาประกบทำให้หนังน่าจะทำเงินได้เกิน 150 ล้านเหรียญเมื่อจบโปรแกรม
ในสุดสัปดาห์ที่ 2 ของการฉาย World War Z รายได้ตกลง 55% ทำเงินมาอีก 29.8 ล้านเหรียญ อาจจะดูเหมือนลดลงแบบฮวบฮาบ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็พอๆ กับหนังแอ็คชั่นทุนสูงส่วนใหญ่ในช่วงซัมเมอร์ และทำได้ดีกว่าบรรดาหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป ซึ่งมีการมองเหมือนกันว่า หนังน่าจะตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ถึงตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 123.7 ล้านเหรียญ และกำลังไล่ตาม 186.3 ล้านเหรียญของ Mr. & Mrs. Smith เพื่อกลายเป็นหนังแบรด พิทท์ทำเงินสูงสุดตลอดกาล และมีข่าวว่าทางพาราเมาท์กำลังเตรียมทำภาคต่อของหนัง (อ่านรายละเอียดได้ที่ http://bit.ly/18c8muq)
แม้จะได้โรงฉายถึง 3,222 โรง แต่ White House Down ก็ออกตัวแบบอืดมาก ด้วยรายได้ 24.8 ล้านเหรียญ น้อยกว่าที่หนังพล็อตคล้ายๆ กันอย่าง Olympus Has Fallen ทำเอาไว้ 30.4 ล้านเหรียญ ทั้งๆ ที่มีพลังดาราน้อยกว่า เอ็ฟเฟ็คท์ห่วยกว่า และทุนน้อยกว่า แล้วก็ต่ำกว่ารายได้เปิดตัวของ 3 หนังแชนนิง ทาทั่มเมื่อปี 2012 The Vow, Magic Mike และ 21 Jump Street ซึ่งเปิดตัวด้วยรายได้อย่างน้อย 36 ล้านเหรียญ โดยตัวหนัง White House Down ดูจะเป็นงานขนาดเล็กเกินกว่าจะเป็นผลงานการกำกับของโรแลนด์ เอมเมอริช ที่ทำแต่หนังใหญ่ๆ มาโดยตลอด การเปิดตัวที่น่าผิดหวัง น่าจะเป็นเพราะการวางกำหนดฉายที่ไม่ดีนัก แม้ดูจะเป็นการให้เหตุผลหลังจากที่ปัญหาเกิดขึ้นให้เห็นก็ตาม เพราะการออกฉายหลัง Olympus Has Fallen ทำให้หน้าหนังถูกทำลาย ขณะที่ Armageddon กับ Deep Impact อาจจะดูเหมือนๆ กัน แต่กับตัวหนังแล้วทั้งสองเรื่องมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นคนกรณีกับ White House Down และ Olympus Has Fallen ซึ่งทั้งชื่อหนัง และภาพลักษณ์แทบไม่แตกต่างกัน แถมกลุ่มคนดูสาวๆ ที่มักไปให้กำลังใจแชนนิง ทาทั่มเป็นประจำ ก็ดันโดน The Heat ฉกตัวไปอีก เท่านั้นยังไม่พอ บรรดาคอหนังแอ็คชั่น ต่างก็ได้ยินคำพูดดีๆ ถึง World War Z มาตลอดสัปดาห์อีกต่างหาก
หนังได้คนดู 51% เป็นผู้หญิง และ 61% อายุ 25 ปีขึ้นไป ได้คะแนน A- จากซีนีมาสกอร์ ซึ่งพอแสดงให้เห็นว่า น่าจะไปได้ดีสัก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่โอกาสทำรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญ ดูจะเป็นไปไม่ได้เมื่อดูที่รายได้เปิดตัว
หลังบินไม่สวยในสัปดาห์ที่ 2 Man of Steel ทำได้ดีขึ้นในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อรายได้ร่วงเพียง 50% เก็บเงินมาได้อีก 20.8 ล้านเหรียญ หนังทำเงินไปแล้ว 248.6 ล้านเหรียญ มากพอจะทำให้กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับ 2 ของปีนี้ ตามหลัง 405.4 ล้านเหรียญ ของ Iron Man 3 โดยหนังน่าจะปิดรายได้ในอเมริกาที่ราวๆ 290 – 310 ล้านเหรียญ
ในอันดับที่ 6 This is the End ทำเงินหล่นไปแค่ 35% ทำเงินไป 8.7 ล้านเหรียญ ฉายมาแล้ว 3 สัปดาห์หนังตลก โลกหายนะ เรื่องนี้ทำเงินไป 74.7 ล้านเหรียญ และน่าจะแซงหน้า Pineapple Express (87.3 ล้านเหรียญ) ได้แน่
ส่วนหนังเซอร์ไพรส์ประจำซัมเมอร์นี้ Now You See Me ยังยืนระยะได้ดี เมื่อรายได้ลดลงแค่ 29% ได้เงินมาอีก 5.6 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่ห้าของการฉาย รายได้รวมผ่าน 100 ล้านเหรียญแล้ว และน่าจะจบโปรแกรมด้วยตัวเลขแถวๆ120 ล้านเหรียญ
มาดูที่ตลาดนอกอเมริกากัน World War Z สานต่อความสำเร็จในตลาดอเมริกา ด้วยการเปิดตัวในตลาดหลักๆ นอกอเมริกาเพียงไม่กี่แห่ง และทำรายได้น่าสนใจมากๆ ในสุดสัปดาห์นี้ที่ 70.1 ล้านเหรียญ เมื่อรวมกับสุดสัปดาห์ก่อนหน้า หนังทำเงินไปแล้ว 135.3 ล้านเหรียญ
หนังเปิดตัวที่รัสเซียถึง 12.3 ล้านเหรียญ และเปิดตัวได้ดีที่เม็กซิโก 7.9 ล้านเหรียญ, เยอรมันนี 7.6 ล้านเหรียญ, บราซิล 4 ล้านเหรียญ และอิตาลี 3 ล้านเหรียญ โดยในกลุ่มตลาดใหม่ๆ หนังทำรายได้มากถึง 43.6 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่า Inception (26.4 ล้านเหรียญ), Rise of the Planet of the Apes (23.5 ล้านเหรียญ) และ Prometheus (26.5 ล้านเหรียญ) เมื่อเทียบในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งหนังเหล่านี้ล้วนทำเงินนอกอเมริกาได้กว่า 300 ล้านเหรียญ ซึ่งรายได้สุดท้ายของ World War Z ก็น่าจะไม่ต่างกัน
Man of Steel เก็บเงินมาอีก 52.2 ล้านเหรียญ ทำให้รายได้รวมนอกอเมริกาอยู่ที่ 271.7 ล้านเหรียญ หนังเปิดตัวที่ออสเตรเลีย 8.7 ล้านเหรียญ และได้เงินที่จีนเพิ่มมากอีก 11.9 ล้านเหรียญ (รวมเป็น 46.5 ล้านเหรียญ) รายได้รวมทั่วโลกของหนังอยู่ที่ 500 ล้านเหรียญ โดยที่ยังไม่เปิดตัวที่บราซิล และจีน
Monsters University เก็บเงินได้ 44.2 ล้านเหรียญ จาก 50% ของตลาดนอกอเมริกาทั้งหมด ตอนนี้รายได้ของหนังอยู่ที่ 129.3 ล้านเหรียญ ถ้าเติมรายได้อเมริกาไปด้วย หนังทำเงินทั่วโลกผ่าน 300 ล้านเหรียญไปแล้ว
ก่อนจะเปิดตัวในอเมริกา Despicable Me 2 ทำรายได้รวมไว้ 41.5 ล้านเหรียญจากแค่ 7 ตลาดในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็รวมไปถึงการเปิดฉายรอบพรีวิว หนังฉกเงินในอังกฤษมาได้เยอะที่เดียวถึง 23.3 ล้านเหรียญ รวมทั้งทำรายได้ที่สวยงามในฝรั่งเศส 8 ล้านเหรียญ หากรวมรายได้เปิดตัวในทุกตลาด หนังน่าจะทำเงินมากกว่าหนังภาคแรก ที่ปิดรายได้ด้วยตัวเลข 291 ล้านเหรียญ ในสุดสัปดาห์นี้หนังจะเปิดตัวในอเมริกาพร้อมๆ กับอีก 38 ตลาด
เมื่อในอเมริกาทำได้ไม่สวย White House Down ก็ต้องพึ่งรายได้นอกอเมริกาเป็นหลัก กับการเปิดตัวในไม่กี่ตลาด หนังทำเงินไป 6.8 ล้านเหรียญ โดยที่เป็นตลาดหลักมีเพียงเกาหลีใต้ที่เดียว โดยทำรายได้ไป 2.1 ล้านเหรียญ
อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos
และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงมากมายได้ที่ www.sadaos.com