ท้องฟ้าสีเทาหม่นหมอง ภูเขาหินอันแห้งแล้งที่ไม่มีต้นหญ้าแม้แต่สักต้น ที่ตรงนั้นมีเพียงอาคารหลังเล็กสีฟ้าสดใสที่แลขัดกับบรรยากาศอันหมองหม่นของสถานที่แห่งนี้ ด้านหลังเลยออกไปไม่ไกลสักสองสามก้าว มีประตูบานใหญ่ยักษ์ที่ใหญ่โต ขนาดที่ว่าเอาบ้านสองชั้นต่อกันเข้าไป ก็ผ่านไปได้อย่างสบายๆ มันตั้งอยู่โดดๆไม่มีอะไรอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ราวกับว่ามันตั้งอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างนั้น
และที่อาคารสีฟ้าหลังเล็กนั้น
มีสิ่งมีชีวิตสองสิ่งกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ หนึ่งนั้นเป็นแมว จะว่าแมวก็ไม่ถูกนัก เพราะว่ามันมีขนาดเท่าๆกับวัวตัวโตๆ มีลายคล้ายเสือขนสีเทาซีดจนเกือบขาว และมี สิบสองหาง หางหนึ่งนั้นกำลังม้วนเอาตัวหมากรุกที่อยู่บนโต๊ะหินสีเทาต่างมือ จับเอาตัวหมากรุก จ้องเหมือนจะทำท่าเดินหมากแต่แล้ว มันก็วาง แล้วเอาหางปัดไปมาที่หัว อาการเหมือนกับคนที่คิดไม่ออกแล้วเกาหัวไม่มีผิด
“ จับแล้ววาง จับแล้ววางอยู่นั่นล่ะ “ เสียงหวานๆของสตรีคู่เล่นเอ่ยทักท้วง
เธอมีรูปหน้าที่งดงามรูปไข่ คิ้วโก่งสวยได้รูปราวกับวาด รับกันกับริมฝีปากแดงระเรื่อ
เส้นผมสีน้ำตาลยาวถึงบั้นเอว แต่งกายด้วยชุดสีขาว และมีผิวกายขาวเรียบลื่นน่าสัมผัส
เธอกำลังลอยอยู่เหนือพื้น เหมือนกับนั่งด้วยเก้าอี้ที่มองไม่เห็น
“ คิดอยู่ “ เจ้าแมวเอ่ยปากแก้คำกล่าวหา ของเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานับร้อยปี
“ รู้ว่าคิด แต่ช่วยคิดให้มันเร็วๆหน่อยได้มั้ย จ้องจนตัวข้าจะถูกปลวกกินอยู่แล้ว“
“ ทางนี้ก็ไม่ได้แฮะ ทางนั้นยิ่งแล้วใหญ่งั้นก็แบบนี้ แล้วกัน “ โซลเอ่ยปากคล้ายๆกับพูดตัวเองซะมากกว่า พูดเสร็จมันก็เอาหางม้วนเอาตัวหมากรุก เดินไปทางซ้ายสามช่อง ซึ่งหญิงสาวก็จับเอาตัวหมากรุกของตนเดินขึ้นไปดักไว้ แบบที่ไม่เสียเวลาคิด
“ เอ....ทำไงดีนะ “ คู่กรณี เอาหางเกาที่หัวตัวเองอีกครั้ง
“ ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรอก โซล ยังไงเจ้าก็แพ้ข้าอยู่ดี “ หญิงสาวยิ้มเยาะ
เมื่อเห็นอาการของคู่แข่ง
“รู้แล้ว ทำไงดี “ มันยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเอาหางรวบตัวหมากรุกทั้งหมดแล้วปัดล้มลง
“ อะไรกัน แพ้แล้วทำอย่างนี้เหรอ “ หญิงสาวเอ่ยทักท้วง เมื่อเห็นตัวหมากรุกกระจัดกระจาย
“ ข้าง่วงแล้ว ข้าจะนอน “ เจ้าแมวพูดเสร็จก็เดินไปที่ เดินไปที่อาคารสีฟ้า ก่อนจะเอาหางล้วงเข้าไปในตัวอาคาร หยิบเอาที่นอนสีเทาหม่นๆออกมาฟาดกับฝาผนังไล่ฝุ่นสองสามครั้ง จัดแจงปูให้เรียบร้อย แล้วจึงขดตัวลงนอน
“ เฮ้...!! วันนี้เป็น เวรเจ้าเฝ้ายามไม่ใช่ เหรอ แล้วเจ้าจะมาหลับได้ไง “
หญิงสาวเอ่ย ทักท้วงเพื่อนที่มีหน้าที่เฝ้าประตู
เหมือนจะได้ผล โซล ลุกขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่ประตูบานใหญ่ แล้วจัดการ ลับเล็บ
“ กริ๊ด!!..อย่ามาลับเล็บบนบ้านข้านะ “ หญิงสาวเอ่ยปากเมื่อเห็นเจ้าเพื่อนจอมกวน ลับเล็บบนประตูบานใหญ่
“ ก็ข้าไม่ได้ลับเล็บ แล้วนอนไม่หลับนี่นา “
“ ก็ไปลับที่อื่นสิยะ “หญิงสาวแผดเสียงลั่น
“ หนวกหูชมัดเลยลูน่า ไม่เห็นมีใครมาที่ประตูมาตั้งเป็นพันปีได้แล้วมั้ง เจ้าเป็นวิญญาณแห่งประตูบานนี้ก็น่าจะรู้ดีกว่าข้านี่นา “
“ ไม่ได้นะ วันนี้ เป็นเวรเจ้า ไม่ใช่เหรอ “เธอพยามกล่อม
เจ้าแมวใหญ่หาวก่อนจะเอ่ย
“ อีกแค่สามชั่วโมง พี่เซอบิรุส จะมาเปลี่ยนเวรแล้ว ขอข้านอนหน่อยแล้วกัน “
“ ไม่ได้ยังไงก็ ไม่....” หญิงสาวหยุดพูดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะเจ้าแมวตัวใหญ่จัดแจงเอาหาง
สองเส้นจากทั้งหมดสิบสอง อุดหูกันเสียงของเธอ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายังไงฉันก็จะหลับ
เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงถอนหายใจด้วยความระอาในตัวเพื่อนจากนั้น เธอเดินไปที่ประตู
ก่อนจะลอยขึ้นไปด้านบนแล้วหายเข้าไป โดยไม่ลืมทิ้งท้าย ไว้ว่า
“ ตามใจ เกิดอะไรขึ้นข้าไม่รับรู้ด้วยนะ “
จะมีอะไร เกิดขึ้นได้ไง อยู่มาตั้งเป็นร้อยปี ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก
เจ้าแมวคิดดังนั้นก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา
อีกด้านหนึ่ง
อาคารขนาดใหญ่ที่ก่อด้วยก้อนอิฐสีเทา กำแพงสูงใหญ่เกินกว่าสิบเมตรและหนากว่าห้าเมตร รอบๆมีหอคอยไว้สังเกตุการณ์ มียามติดอาวุธเดินตรวจตราบนกำแพงเป็นระยะๆ และบนหอที่คอยสังเกตุการณ์ ก็มียามประจำอยู่อีกทีหนึ่ง และมีประตูเข้าออกเพียงสองบานเท่านั้นซึ่งประตูทั้งสองบานนั้นก็มียามเฝ้าอยู่ ด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา จนเหมือนว่าแม้แต่มดซักตัวก็คงเข้ามาไม่ได้ และกำแพงที่ว่านี้
ล้อมรอบอาคารสองหลัง อาคารเล็กหลังหนึ่งและอาคารหลังใหญ่อีกหนึ่ง อาคารหลังเล็กหลังนั้นมีเพียง ยามเฝ้าเพียงสองคนผิด กับอาคาร อีกหลังหนึ่งซึ่งใหญ่โตหรูหราด้วยศิลปะแบบโกธิค จนอาคารหลังเล็กหมองลงไปถนัดใจ แต่เมื่อมองดูที่สายตาผู้เฝ้าระวัง ทุกคนกลับคอยชำเลืองมองอาคารหลังเล็ก หลังนั้นอยู่เป็นระยะๆ ด้วยความระแวดระวังสูงสุด ภายในตัวอาคารหลังนั้น มีประตูอีกบานหนึ่งซึ่งจะเชื่อมต่อลงไปยังใต้ดิน ที่จะทำให้ไปโผล่ที่สถานที่หนึ่ง สถานที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุดในโลกปีศาจ
ณ ห้องๆหนึ่งในนั้นจากจำนวนมากมาย บนป้ายเหนือประตูทางเข้าห้องมีป้ายเล็กเขียนไว้ว่า ห้องควบคุมวงจรปิดสาขาย่อยที่ร้อยสามสิบหก ภายในห้องมี ผู้คนนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าจอ อย่างไม่ยอมวางตา ภาพที่ฉายอยู่คือภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้รอบๆทางเดิน ทั่งทั้งพื้นที่โซนแปด
“ ฮ้าว....” หนึ่งในคนที่จ้องมองมอนิเตอร์ เอนหลังหาวไป เนื่องด้วยจ้องหน้าจอมากว่าห้าชั่วโมง
“ ทนหน่อยน่า อีกแค่สามชั่วโมงเองก็เปลี่ยนเวรแล้ว” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยเตือนเมื่ออัปกริยาของคนข้างๆ
“ ก็มันง่วงนี่หว่า ไม่เห็นจะมีอะไรเลย “
“ นั่นะสินะน่าจะมีอะไรให้ตื่นเต้น สักตูมหนึ่ง “
“ นั่นสินะ สักตูมหนึ่งก็ดีเหมือนกัน “
โครม!!!! เสียงดังขึ้นทันทีที่พูดจบ ทั้งหมดหันไปดูทันที และเห็นประกายแสงเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ทั้งหมดจะสติดับวูบไป
ตุบ ตุบ เสียงทึบๆ ที่เกิดจากร่างร่วงหล่นกระทบพื้นเหมือนกับตุ๊กตาชักที่ถูกตัดเชือก
คนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงกลางวงล้อมของผู้ที่สลบสไล ในมือมีดาบสีเงินยาว
ทั้งร่างแต่งกายด้วยสีดำรัดรูป รูปร่างบอบบาง จนดูไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถล้มผู้ชายตัวโตๆ ได้ในพริบตาเดียว ใบหน้าถูกปกปิดไว้ด้วย ผ้าสีดำ ที่มองเห็นก็มีเพียงแค่ลูกตาที่เป็นสีเงินข้างหนึ่ง
และสีทองอีกข้างหนึ่ง
“ ตายหมดเลยเหรอเจ้าคะนายหญิง” เสียงไพเราะราวกับเสียงจากเครื่องดนตรีดังออกมาจากดาบ สีเงินยวงที่เจ้าหล่อนถืออยู่
“ ใช้แค่สันดาบ ” น้ำเสียงเย็นชาดังตอบกลับมาจากปากของนาง
“ฟู่... งั้นเหรอคะ “ดาบสีเงินถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าไม่มีการพรากชีวิตเกิดขึ้น
เจ้าของน้ำเสียงเย็นชาไม่ตอบว่าอะไรแต่ยกมือไปแตะที่อัญมณีที่สร้อยคอ ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสาร แล้วกรอกเสียงลงไป
“ เข้ามาได้แล้ว เอาไงต่อ “
“เธอเอา เจ้าสิ่งที่ฉันให้ไปวางที่จอมอนิเตอร์นะ “เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นในหัวเธอ ด้วยอำนาจของอัญมณี ที่อยู่ลำคอของเธอ
สื้นเสียง นิ้วยาวเรียวก็จัดการหยิบเอาโลหะสีเงินออกมาจากในกระเป๋า และวางที่จอมอนิเตอร์ เมื่อเจ้าสิ่งนั้นถูกวางลง มันก็แยกตัวเองออก ก่อนจะมีสายไฟเส้นเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากเจ้าสิ่งนั้น สายไฟเลื้อย ไปตามช่องว่างทุกที่จัดการต่อตัวเองเข้ากับมอนิเตอร์
“ เรียบร้อยแล้ว ฉันได้การควบคุมกล้องวงจรปิด มาอยู่ในมือแล้ว ทีนี้เธอก็จะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนแล้วล่ะ “
เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกดาบขึ้นพาดไหล่แล้วเอ่ย
“ เยี่ยมมากโซล เอาล่ะ ลูน่าเราไปเอา หัวใจแห่งเฟนเรียลกันเถอะ “
..............................................................
ภายนอกอาคารบนกำแพง ยามเฝ้าที่ทำหน้าที่เดินตรวจตราบนกำแพงสองคน กำลังสอดส่องตรวจตรา อย่างตั้งอกตั้งใจ เนื่องด้วยสถานที่นี้มีความสำคัญที่สุดในระดับชาติ นอกจาก เครื่องกีดขวาง ที่มีอยู่ทั้งกำแพง ทั้งป้อม และกล้องวงจรปิดแล้ว ที่สำคัญยามเฝ้าทุกคน ถูกคัดสันมาอย่างดี และภายนอกกำแพงนั่นห่างออกไปไม่ไกลหน่วยรบพิเศษ จำนวนสามกองร้อย ตั้งอยู่ภายนอกและพร้อมเข้ามาทันที ที่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากที่นี่ มันเป็นความบ้าบิ่นมาก ถ้าคิดที่จะเอาสิ่งใดออกไปจากที่นี่
ไทเนอร์ ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าสถานที่แห่งนี้มากกว่า ห้าปีแล้ว ทำงานที่นี่ให้เงินดีกว่าในหน่วยทหารที่เคยประจำอยู่มากมายนัก ในใจเขาคิดว่าหลังเลิกงานจะเอาอะไรไปฝากเจ้าตัวเล็กที่บ้านดี
งานดี เงินดี ไม่มีความเสี่ยง เพราะคงไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดที่จะบุกเข้ามา
คิดถูกแล้ว ที่เข้ามาทำงานที่นี่ เสียงแหวกลมของอะไรบางอย่าง ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึง ความเปียกตรงชื้นหน้าอก ทำให้ใจคิดไปว่า มันคงเป็นน้ำอะไรซักอย่าง
เมื่อเอานิ้วหนาปาดที่อกส่องดูกับแสงไฟ ก็พบสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ มันใช่แล้วมันคือเลือด
ว่าแต่เลือดใครล่ะ เขาคิดดังนั้นก่อนที่จะ ความพร่ามัวในสายตาจะมาเยือนตามด้วยสติที่ขาดหายไป และวิญญาณ ก็หลุดลอยออกจากร่าง
บุคคลในชุดดำผู้หนึ่งคนผู้นี้สวมผ้าคลุมสีดำทั้งตัวที่หัวมีฮูดปกคลุมใบหน้าอยู่
ในมือมีเคียวเปื้อนเลือด และกำลังยืนมองผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสบัดเคียวเล่มยาวที่เปื้อนเลือดออก ขาของคนๆนั้นเดินก้าวข้ามร่างไร้วิญญาณไปอย่างใจเย็น ก่อนจะเข้าไปกดรหัสที่ประตู
วิ้ง!!
วิ้ง!!
เสียงเล็กแหลมที่เป็นสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมาทันที และในอีกไม่ช้าทุกคนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามก็จะแห่กันมาที่ประตูนี้
ปึง!! มือซีดขาวที่ โผล่พ้นมาจากผ้าคลุมทุบประตูที่เป็นโลหะ อย่างขัดใจ ก่อนจะถอนตัวออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งที่ ประตูตะวันออก
เร็วจนเห็นแค่ เงา ไม่สิเร็วกว่านั้นอีก นี่คือสิ่งที่ทุกคนคิด เมื่อประจัญหน้ากับสตรีในชุดดำ
สติของทุกคนที่ เผชิญหน้าด้วยก็หลุดลอยหายไปทีล่ะคนๆตามด้วยเสียงที่ดังทึบๆเมื่อร่างในชุดเกราะเต็มยศ ล้มลงกับพื้น แต่กระนั้น ก็ยังมีคู่ต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วนอยู่ตรงหน้านาง
“ นายหญิงเจ้าคะ พวกมันมีมากเหลือเกิน ลูน่าว่า เราควรถอนตัวดีกว่านะคะ “
ดาบสีเงินที่อยู่ในมือของนางกล่าว นางไม่ตอบว่าอะไร แต่ใช้ดวงตาสีทองและเงินที่เย็นชา มองสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ
“ ด้วยคำแห่งข้าจงฟัง จงออกมาซิลเฟ่ (ภูตลม) “ สิ้นเสียง ก็ปรากฎสายใยสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน ถักทอรวมกันเป็นหญิงสาวในชุดเกราะติดอาวุธ จำนวนยี่สิบตน ยืนเบื้องหลังนางแล้วเข้าโรมรัน ทหารที่อยู่ตรงหน้านางทันที ทำให้ทหารที่ล้อมนางอยู่ต้องแบ่งออกเป็นสองฟาก
ก่อนที่เจ้าของร่างบางจะพุ่งตรงไปยังทางที่เหล่าภูตลมเบิกทางไว้ให้
“ มันหนีไปแล้ว!! “ เสียงใครคนหนึ่งในหมู่ทหาร ตะโกนออกมา แต่ก็เป็นความโล่งใจของใครอีกหลายคนเช่นกัน เมื่อมองเห็นนางมุ่งตรงไปทางประตูมิติที่อยู่ใกล้ที่สุด ห่างจากที่นี่ไปแค่ประมาณหนึ่งกิโลเมตร เพราะว่า ผู้เฝ้าประตู คือสัตว์อสูรที่มีเสียงล่ำลือกันว่า ไม่มีใครสามารถโค่นลงได้นอกจาก ท่านจ้าว ผู้เป็นผู้ปกครองสูงสุดในโลกปีศาจ
หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ หนีไปประตูไหนไม่หนี หลายคนคิดอย่างนั้น
แต่ทว่า
เมื่อ เวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมงเหล่าภูตลมที่คอยขัดขวางอยู่ก็ค่อยๆหายไปจนหมดสิ้น
เหล่าทหารตามรอยเท้าบางเบาไปจนถึงประตู ขนาดยักษ์ ก็พบว่าประตูเปิดอ้าอยู่
และข้างๆนั้น เจ้าตัวที่ควรจะทำหน้าที่เฝ้ายาม กำลังหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ แถมยังมีป้ายขนาดใหญ่ ปักไว้เขียนด้วยหนังสือสีแดงตัวโตๆ ว่า
“ กำลังหลับยาม ไม่มีกิจ ห้ามปลุก!!! “
เหล่าทหาร ต่างกุมหัวด้วยความอนาจใจ
..........................................................................
ยุ่งนักเมื่อผมหลับยาม!! (แฟนตาซี) EP 01
และที่อาคารสีฟ้าหลังเล็กนั้น
มีสิ่งมีชีวิตสองสิ่งกำลังเล่นหมากรุกกันอยู่ หนึ่งนั้นเป็นแมว จะว่าแมวก็ไม่ถูกนัก เพราะว่ามันมีขนาดเท่าๆกับวัวตัวโตๆ มีลายคล้ายเสือขนสีเทาซีดจนเกือบขาว และมี สิบสองหาง หางหนึ่งนั้นกำลังม้วนเอาตัวหมากรุกที่อยู่บนโต๊ะหินสีเทาต่างมือ จับเอาตัวหมากรุก จ้องเหมือนจะทำท่าเดินหมากแต่แล้ว มันก็วาง แล้วเอาหางปัดไปมาที่หัว อาการเหมือนกับคนที่คิดไม่ออกแล้วเกาหัวไม่มีผิด
“ จับแล้ววาง จับแล้ววางอยู่นั่นล่ะ “ เสียงหวานๆของสตรีคู่เล่นเอ่ยทักท้วง
เธอมีรูปหน้าที่งดงามรูปไข่ คิ้วโก่งสวยได้รูปราวกับวาด รับกันกับริมฝีปากแดงระเรื่อ
เส้นผมสีน้ำตาลยาวถึงบั้นเอว แต่งกายด้วยชุดสีขาว และมีผิวกายขาวเรียบลื่นน่าสัมผัส
เธอกำลังลอยอยู่เหนือพื้น เหมือนกับนั่งด้วยเก้าอี้ที่มองไม่เห็น
“ คิดอยู่ “ เจ้าแมวเอ่ยปากแก้คำกล่าวหา ของเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมานับร้อยปี
“ รู้ว่าคิด แต่ช่วยคิดให้มันเร็วๆหน่อยได้มั้ย จ้องจนตัวข้าจะถูกปลวกกินอยู่แล้ว“
“ ทางนี้ก็ไม่ได้แฮะ ทางนั้นยิ่งแล้วใหญ่งั้นก็แบบนี้ แล้วกัน “ โซลเอ่ยปากคล้ายๆกับพูดตัวเองซะมากกว่า พูดเสร็จมันก็เอาหางม้วนเอาตัวหมากรุก เดินไปทางซ้ายสามช่อง ซึ่งหญิงสาวก็จับเอาตัวหมากรุกของตนเดินขึ้นไปดักไว้ แบบที่ไม่เสียเวลาคิด
“ เอ....ทำไงดีนะ “ คู่กรณี เอาหางเกาที่หัวตัวเองอีกครั้ง
“ ไม่ต้องเสียเวลาคิดหรอก โซล ยังไงเจ้าก็แพ้ข้าอยู่ดี “ หญิงสาวยิ้มเยาะ
เมื่อเห็นอาการของคู่แข่ง
“รู้แล้ว ทำไงดี “ มันยกมุมปากขึ้น ก่อนจะเอาหางรวบตัวหมากรุกทั้งหมดแล้วปัดล้มลง
“ อะไรกัน แพ้แล้วทำอย่างนี้เหรอ “ หญิงสาวเอ่ยทักท้วง เมื่อเห็นตัวหมากรุกกระจัดกระจาย
“ ข้าง่วงแล้ว ข้าจะนอน “ เจ้าแมวพูดเสร็จก็เดินไปที่ เดินไปที่อาคารสีฟ้า ก่อนจะเอาหางล้วงเข้าไปในตัวอาคาร หยิบเอาที่นอนสีเทาหม่นๆออกมาฟาดกับฝาผนังไล่ฝุ่นสองสามครั้ง จัดแจงปูให้เรียบร้อย แล้วจึงขดตัวลงนอน
“ เฮ้...!! วันนี้เป็น เวรเจ้าเฝ้ายามไม่ใช่ เหรอ แล้วเจ้าจะมาหลับได้ไง “
หญิงสาวเอ่ย ทักท้วงเพื่อนที่มีหน้าที่เฝ้าประตู
เหมือนจะได้ผล โซล ลุกขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่ประตูบานใหญ่ แล้วจัดการ ลับเล็บ
“ กริ๊ด!!..อย่ามาลับเล็บบนบ้านข้านะ “ หญิงสาวเอ่ยปากเมื่อเห็นเจ้าเพื่อนจอมกวน ลับเล็บบนประตูบานใหญ่
“ ก็ข้าไม่ได้ลับเล็บ แล้วนอนไม่หลับนี่นา “
“ ก็ไปลับที่อื่นสิยะ “หญิงสาวแผดเสียงลั่น
“ หนวกหูชมัดเลยลูน่า ไม่เห็นมีใครมาที่ประตูมาตั้งเป็นพันปีได้แล้วมั้ง เจ้าเป็นวิญญาณแห่งประตูบานนี้ก็น่าจะรู้ดีกว่าข้านี่นา “
“ ไม่ได้นะ วันนี้ เป็นเวรเจ้า ไม่ใช่เหรอ “เธอพยามกล่อม
เจ้าแมวใหญ่หาวก่อนจะเอ่ย
“ อีกแค่สามชั่วโมง พี่เซอบิรุส จะมาเปลี่ยนเวรแล้ว ขอข้านอนหน่อยแล้วกัน “
“ ไม่ได้ยังไงก็ ไม่....” หญิงสาวหยุดพูดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะเจ้าแมวตัวใหญ่จัดแจงเอาหาง
สองเส้นจากทั้งหมดสิบสอง อุดหูกันเสียงของเธอ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายังไงฉันก็จะหลับ
เมื่อเห็นดังนั้น เธอจึงถอนหายใจด้วยความระอาในตัวเพื่อนจากนั้น เธอเดินไปที่ประตู
ก่อนจะลอยขึ้นไปด้านบนแล้วหายเข้าไป โดยไม่ลืมทิ้งท้าย ไว้ว่า
“ ตามใจ เกิดอะไรขึ้นข้าไม่รับรู้ด้วยนะ “
จะมีอะไร เกิดขึ้นได้ไง อยู่มาตั้งเป็นร้อยปี ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก
เจ้าแมวคิดดังนั้นก่อนจะพาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา
อีกด้านหนึ่ง
อาคารขนาดใหญ่ที่ก่อด้วยก้อนอิฐสีเทา กำแพงสูงใหญ่เกินกว่าสิบเมตรและหนากว่าห้าเมตร รอบๆมีหอคอยไว้สังเกตุการณ์ มียามติดอาวุธเดินตรวจตราบนกำแพงเป็นระยะๆ และบนหอที่คอยสังเกตุการณ์ ก็มียามประจำอยู่อีกทีหนึ่ง และมีประตูเข้าออกเพียงสองบานเท่านั้นซึ่งประตูทั้งสองบานนั้นก็มียามเฝ้าอยู่ ด้วยความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา จนเหมือนว่าแม้แต่มดซักตัวก็คงเข้ามาไม่ได้ และกำแพงที่ว่านี้
ล้อมรอบอาคารสองหลัง อาคารเล็กหลังหนึ่งและอาคารหลังใหญ่อีกหนึ่ง อาคารหลังเล็กหลังนั้นมีเพียง ยามเฝ้าเพียงสองคนผิด กับอาคาร อีกหลังหนึ่งซึ่งใหญ่โตหรูหราด้วยศิลปะแบบโกธิค จนอาคารหลังเล็กหมองลงไปถนัดใจ แต่เมื่อมองดูที่สายตาผู้เฝ้าระวัง ทุกคนกลับคอยชำเลืองมองอาคารหลังเล็ก หลังนั้นอยู่เป็นระยะๆ ด้วยความระแวดระวังสูงสุด ภายในตัวอาคารหลังนั้น มีประตูอีกบานหนึ่งซึ่งจะเชื่อมต่อลงไปยังใต้ดิน ที่จะทำให้ไปโผล่ที่สถานที่หนึ่ง สถานที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุดในโลกปีศาจ
ณ ห้องๆหนึ่งในนั้นจากจำนวนมากมาย บนป้ายเหนือประตูทางเข้าห้องมีป้ายเล็กเขียนไว้ว่า ห้องควบคุมวงจรปิดสาขาย่อยที่ร้อยสามสิบหก ภายในห้องมี ผู้คนนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าจอ อย่างไม่ยอมวางตา ภาพที่ฉายอยู่คือภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้รอบๆทางเดิน ทั่งทั้งพื้นที่โซนแปด
“ ฮ้าว....” หนึ่งในคนที่จ้องมองมอนิเตอร์ เอนหลังหาวไป เนื่องด้วยจ้องหน้าจอมากว่าห้าชั่วโมง
“ ทนหน่อยน่า อีกแค่สามชั่วโมงเองก็เปลี่ยนเวรแล้ว” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยเตือนเมื่ออัปกริยาของคนข้างๆ
“ ก็มันง่วงนี่หว่า ไม่เห็นจะมีอะไรเลย “
“ นั่นะสินะน่าจะมีอะไรให้ตื่นเต้น สักตูมหนึ่ง “
“ นั่นสินะ สักตูมหนึ่งก็ดีเหมือนกัน “
โครม!!!! เสียงดังขึ้นทันทีที่พูดจบ ทั้งหมดหันไปดูทันที และเห็นประกายแสงเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ทั้งหมดจะสติดับวูบไป
ตุบ ตุบ เสียงทึบๆ ที่เกิดจากร่างร่วงหล่นกระทบพื้นเหมือนกับตุ๊กตาชักที่ถูกตัดเชือก
คนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงกลางวงล้อมของผู้ที่สลบสไล ในมือมีดาบสีเงินยาว
ทั้งร่างแต่งกายด้วยสีดำรัดรูป รูปร่างบอบบาง จนดูไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถล้มผู้ชายตัวโตๆ ได้ในพริบตาเดียว ใบหน้าถูกปกปิดไว้ด้วย ผ้าสีดำ ที่มองเห็นก็มีเพียงแค่ลูกตาที่เป็นสีเงินข้างหนึ่ง
และสีทองอีกข้างหนึ่ง
“ ตายหมดเลยเหรอเจ้าคะนายหญิง” เสียงไพเราะราวกับเสียงจากเครื่องดนตรีดังออกมาจากดาบ สีเงินยวงที่เจ้าหล่อนถืออยู่
“ ใช้แค่สันดาบ ” น้ำเสียงเย็นชาดังตอบกลับมาจากปากของนาง
“ฟู่... งั้นเหรอคะ “ดาบสีเงินถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อรู้ว่าไม่มีการพรากชีวิตเกิดขึ้น
เจ้าของน้ำเสียงเย็นชาไม่ตอบว่าอะไรแต่ยกมือไปแตะที่อัญมณีที่สร้อยคอ ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสื่อสาร แล้วกรอกเสียงลงไป
“ เข้ามาได้แล้ว เอาไงต่อ “
“เธอเอา เจ้าสิ่งที่ฉันให้ไปวางที่จอมอนิเตอร์นะ “เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นในหัวเธอ ด้วยอำนาจของอัญมณี ที่อยู่ลำคอของเธอ
สื้นเสียง นิ้วยาวเรียวก็จัดการหยิบเอาโลหะสีเงินออกมาจากในกระเป๋า และวางที่จอมอนิเตอร์ เมื่อเจ้าสิ่งนั้นถูกวางลง มันก็แยกตัวเองออก ก่อนจะมีสายไฟเส้นเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากเจ้าสิ่งนั้น สายไฟเลื้อย ไปตามช่องว่างทุกที่จัดการต่อตัวเองเข้ากับมอนิเตอร์
“ เรียบร้อยแล้ว ฉันได้การควบคุมกล้องวงจรปิด มาอยู่ในมือแล้ว ทีนี้เธอก็จะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนแล้วล่ะ “
เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกดาบขึ้นพาดไหล่แล้วเอ่ย
“ เยี่ยมมากโซล เอาล่ะ ลูน่าเราไปเอา หัวใจแห่งเฟนเรียลกันเถอะ “
..............................................................
ภายนอกอาคารบนกำแพง ยามเฝ้าที่ทำหน้าที่เดินตรวจตราบนกำแพงสองคน กำลังสอดส่องตรวจตรา อย่างตั้งอกตั้งใจ เนื่องด้วยสถานที่นี้มีความสำคัญที่สุดในระดับชาติ นอกจาก เครื่องกีดขวาง ที่มีอยู่ทั้งกำแพง ทั้งป้อม และกล้องวงจรปิดแล้ว ที่สำคัญยามเฝ้าทุกคน ถูกคัดสันมาอย่างดี และภายนอกกำแพงนั่นห่างออกไปไม่ไกลหน่วยรบพิเศษ จำนวนสามกองร้อย ตั้งอยู่ภายนอกและพร้อมเข้ามาทันที ที่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากที่นี่ มันเป็นความบ้าบิ่นมาก ถ้าคิดที่จะเอาสิ่งใดออกไปจากที่นี่
ไทเนอร์ ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าสถานที่แห่งนี้มากกว่า ห้าปีแล้ว ทำงานที่นี่ให้เงินดีกว่าในหน่วยทหารที่เคยประจำอยู่มากมายนัก ในใจเขาคิดว่าหลังเลิกงานจะเอาอะไรไปฝากเจ้าตัวเล็กที่บ้านดี
งานดี เงินดี ไม่มีความเสี่ยง เพราะคงไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดที่จะบุกเข้ามา
คิดถูกแล้ว ที่เข้ามาทำงานที่นี่ เสียงแหวกลมของอะไรบางอย่าง ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกถึง ความเปียกตรงชื้นหน้าอก ทำให้ใจคิดไปว่า มันคงเป็นน้ำอะไรซักอย่าง
เมื่อเอานิ้วหนาปาดที่อกส่องดูกับแสงไฟ ก็พบสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ มันใช่แล้วมันคือเลือด
ว่าแต่เลือดใครล่ะ เขาคิดดังนั้นก่อนที่จะ ความพร่ามัวในสายตาจะมาเยือนตามด้วยสติที่ขาดหายไป และวิญญาณ ก็หลุดลอยออกจากร่าง
บุคคลในชุดดำผู้หนึ่งคนผู้นี้สวมผ้าคลุมสีดำทั้งตัวที่หัวมีฮูดปกคลุมใบหน้าอยู่
ในมือมีเคียวเปื้อนเลือด และกำลังยืนมองผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ ก่อนจะสบัดเคียวเล่มยาวที่เปื้อนเลือดออก ขาของคนๆนั้นเดินก้าวข้ามร่างไร้วิญญาณไปอย่างใจเย็น ก่อนจะเข้าไปกดรหัสที่ประตู
วิ้ง!!
วิ้ง!!
เสียงเล็กแหลมที่เป็นสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมาทันที และในอีกไม่ช้าทุกคนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามก็จะแห่กันมาที่ประตูนี้
ปึง!! มือซีดขาวที่ โผล่พ้นมาจากผ้าคลุมทุบประตูที่เป็นโลหะ อย่างขัดใจ ก่อนจะถอนตัวออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งที่ ประตูตะวันออก
เร็วจนเห็นแค่ เงา ไม่สิเร็วกว่านั้นอีก นี่คือสิ่งที่ทุกคนคิด เมื่อประจัญหน้ากับสตรีในชุดดำ
สติของทุกคนที่ เผชิญหน้าด้วยก็หลุดลอยหายไปทีล่ะคนๆตามด้วยเสียงที่ดังทึบๆเมื่อร่างในชุดเกราะเต็มยศ ล้มลงกับพื้น แต่กระนั้น ก็ยังมีคู่ต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วนอยู่ตรงหน้านาง
“ นายหญิงเจ้าคะ พวกมันมีมากเหลือเกิน ลูน่าว่า เราควรถอนตัวดีกว่านะคะ “
ดาบสีเงินที่อยู่ในมือของนางกล่าว นางไม่ตอบว่าอะไร แต่ใช้ดวงตาสีทองและเงินที่เย็นชา มองสถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ
“ ด้วยคำแห่งข้าจงฟัง จงออกมาซิลเฟ่ (ภูตลม) “ สิ้นเสียง ก็ปรากฎสายใยสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน ถักทอรวมกันเป็นหญิงสาวในชุดเกราะติดอาวุธ จำนวนยี่สิบตน ยืนเบื้องหลังนางแล้วเข้าโรมรัน ทหารที่อยู่ตรงหน้านางทันที ทำให้ทหารที่ล้อมนางอยู่ต้องแบ่งออกเป็นสองฟาก
ก่อนที่เจ้าของร่างบางจะพุ่งตรงไปยังทางที่เหล่าภูตลมเบิกทางไว้ให้
“ มันหนีไปแล้ว!! “ เสียงใครคนหนึ่งในหมู่ทหาร ตะโกนออกมา แต่ก็เป็นความโล่งใจของใครอีกหลายคนเช่นกัน เมื่อมองเห็นนางมุ่งตรงไปทางประตูมิติที่อยู่ใกล้ที่สุด ห่างจากที่นี่ไปแค่ประมาณหนึ่งกิโลเมตร เพราะว่า ผู้เฝ้าประตู คือสัตว์อสูรที่มีเสียงล่ำลือกันว่า ไม่มีใครสามารถโค่นลงได้นอกจาก ท่านจ้าว ผู้เป็นผู้ปกครองสูงสุดในโลกปีศาจ
หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ หนีไปประตูไหนไม่หนี หลายคนคิดอย่างนั้น
แต่ทว่า
เมื่อ เวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมงเหล่าภูตลมที่คอยขัดขวางอยู่ก็ค่อยๆหายไปจนหมดสิ้น
เหล่าทหารตามรอยเท้าบางเบาไปจนถึงประตู ขนาดยักษ์ ก็พบว่าประตูเปิดอ้าอยู่
และข้างๆนั้น เจ้าตัวที่ควรจะทำหน้าที่เฝ้ายาม กำลังหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ แถมยังมีป้ายขนาดใหญ่ ปักไว้เขียนด้วยหนังสือสีแดงตัวโตๆ ว่า
“ กำลังหลับยาม ไม่มีกิจ ห้ามปลุก!!! “
เหล่าทหาร ต่างกุมหัวด้วยความอนาจใจ
..........................................................................