เมื่อได้เห็นการสนทนา โต้แย้งกัน ระหว่าง นางเอิงเอย กับ คุณเซนเถรวาท แล้ว บอกตามตรงว่า "รำคาญ" !
ขอให้สังเกตด้วยว่า ในขณะที่ นางคนนี้ เที่ยวกล่าวหาผู้อื่นไปทั่วว่าเป็น อุจเฉททิฐิ
แต่พอถูกทวงถามถึง เหตุผล และ หลักฐาน มันก็มักจะแสดงอาการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ คือ
(๑) ใบ้กิน เงียบเป็นเป่าสาก จากนั้นก็ "แกล้งตาย" แล้วหายหัวไปจากกระทู้
(๒) หน้าด้าน ตีฝีปาก แถกแถ ไปเรื่อยๆ ในทำนองว่า มีหลักฐานอยู่เยอะแยะ (แต่มันเศือก ไม่มีปัญญา ยกมาแสดง)
คราวนี้ มันก็มาอีหรอบเดิม กล่าวคือ พอจนแต้ม ไม่มีปัญญาโต้แย้งด้วยเหตุผลอย่างที่วิญญูชนพึงกระทำ
มันก็ใช้วิธี "ใส่ความพระ กล่าวหาคน" ตามความเคยชินของมัน อีกตามเคย !
สรุปประเด็นโดยรวม ก็คือ นางเอิงเอย พยายาม คาดคั้น คุณเซนฯ อย่างเอาเป็นเอาตาย
เพื่อให้ตอบ หรือแสดงหลักฐานว่า ท่านพุทธทาส สอนว่าตายแล้วเกิด หรือ ตายแล้วสูญ ?
ผมยอมรับใน คำพูด ของนางเอิงเอย อยู่ประเด็นหนึ่ง นะครับว่า "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง"
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ และที่จริงยิ่งกว่า ก็คือ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) และชาวพุทธเถรวาทท่านอื่นๆ
ก็ได้แสดงหลักฐานคำสอนของท่านพุทธทาสมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็ตรงไปตรงมาอย่างยิ่งว่า เมิงไม่เคยสนใจจะอ่าน !
ท่านพุทธทาสกล่าวอย่างชัดเจนว่า การตาย การเกิด ไปตามเหตุปัจจัย ของกระบวนธรรม คือ สังขาร นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
เมื่อตาย ย่อมเกิด หากมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย มันก็ไม่เกิด
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการกล่าวตามหลักพุทธธรรม ที่เป็นสัมมาทิฐิอย่างยิ่ง
ที่กล่าวว่า สัมมาทิฐิอย่างยิ่งนี้ หมายถึง ธรรมชาติโดยสภาวะธรรมล้วนๆ นั้น มันมีแต่ อาการ หรือ กิริยา การเกิด การตาย แต่มันไม่มีผู้เกิดผู้ตาย
ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งผมก็ได้นำหลักฐานมาเสนอ หลายครั้งหลายหนแล้วเช่นกัน แต่ เมิงไม่เคยสนใจจะอ่าน !
ทีนี้ หาก นางเอิงเอยและพวก ต้องการ หลักฐานคำสอนแบบ สมมุติ
ผมก็ได้เคยนำเสนอหลักฐานจากตำรา อริยสัจ จากพระโอษฐ์ ไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งท่านพุทธทาส อ้างถึงพระบาลีพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า
"เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ไม่มีอุปาทาน ฯลฯ"
สรุป ก็คือ ถ้าจะเอาหลักฐานแบบปรมัตถ์ เนื่องกับ ปฏิจจสมุปบาท ผมก็ยกแสดงแล้ว(หลายครั้ง)
หรือ ถ้าต้องการ หลักฐานแบบสมมุติ ผมก็ได้ยกขึ้นแสดง หลายครั้งแล้ว เช่นกัน
ซึ่ง มันก็เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา มิใช่หรือ ?
การที่ นางเอิงเอย มันพยายาม "คาดคั้น" จะเอาคำตอบ หรือ "หลักฐาน" จากคุณเซนฯ นั้น
ผมเห็นว่า เป็นการกระทำที่ไร้สาระ นะครับ เพราะในความเป็นจริง ก็คือ หลักฐาน หรือ คำตอบเหล่านั้น
เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ง่ายมาก มิได้เป็นความลับ ที่ถูกซ่อนเร้น แต่อย่างใดเลย
ซึ่งก็แน่นอนเช่นกันว่า นั่นย่อมมิใช่คำตอบที่ ชาวพุทธชายขอบพวกนี้ ต้องการ
สิ่งที่พวกมันต้องการ ก็คือ คำสอนในทำนองว่า ........
นาย ก. ตายไปแล้ว แต่เพราะ ตัณหาอวิชชา ยังมีอยู่ จึงไปเกิดเป็น นาย ข. ในภพชาติถัดไป (ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็น มิจฉาทิฐิ)
สิ่งที่น่ารำคาญ ก็คือ ไอ้อีพวกนี้ มันไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่า มันจะมาค้นหา "คำสอนนอกรีต" แบบนี้
จากท่านพุทธทาส ซึ่งสอนธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า ได้อย่างไร ?
มันไม่มีหรอกครับ !
*****************************************************************************************************
คำถามที่นางเอิงเอย พยายาม คาดคั้น เอาคำตอบจาก คุณเซนฯ นั้น ผมได้ "เศือก" ตอบให้แล้วนะครับ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แก จะไม่แสดงอาการ คลั่ง น้ำลายไหลยืด ทำตาขวาง ไล่งับ ส้นเท้า ใครเขาอีก นะครับ
ทีนี้ ก็มาสู่ ประเด็นการ กล่าวหาใส่ร้าย ทั้งคนทั้งพระ ของนางเอิงเอย ซึ่งมันทำเป็นนี้บ่อยมากจนเหมือนเป็นไปโดยสันดาน
แต่เรื่องแบบนี้ มันพิสูจน์ไม่ยาก นี่ครับ "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง" กล่าวคือ แก มีหลักฐาน หรือไม่ ?
ในเมื่อ ล็อกอิน เอิงเอย กล่าวหาผู้อื่นว่าเป็น อุจเฉททิฐิ นั่นย่อมเป็นภาระของผู้กล่าวหา
ที่จะต้องแสดงหลักฐาน ประกอบข้อกล่าวหานั้น มิใช่ทำ "หน้าด้าน" มากล่าวหาผู้อื่นลอยๆ
เพราะการกระทำอย่างนั้น มันเป็นพฤติกรรมของ "คนถ่อย" นะครับ
ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ล็อกอินเอิงเอย จะไม่ทำตัวเหมือน คนถ่อย นะครับ เพราะมันไม่น่าดูเลย
หากผู้ชายเป็นคนถ่อย เขาก็มักเรียกกันว่า "ไอ้ถ่อย" แล้วถ้าผู้หญิงมีพฤติกรรมอย่างนั้น ผู้คนเขาจะเรียกว่าอะไร ?
เข้าใจว่า ท่านทั้งหลายจะสำเหนียกความข้อนี้ กันตามสมควร นะครับ
เอาเป็นว่า ในเมื่อเอิงเอย กล่าวหาผู้อื่นว่า เป็นพวกอุจเฉททิฐิ เชื่อว่าตายแล้วสูญ
สิ่งแรก ที่ชาวพุทธเถรวาท พึงกระทำ ก็คือ ตรวจสอบดูว่า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงเรื่องนี้เอาไว้ อย่างไรบ้าง ?
หลักฐานจาก ทีฆนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
ความเห็นผิดฝ่าย อุจเฉททิฐิ ที่มีทิฐิว่าขาดสูญ สัตว์ตายแล้วไม่เกิดอีก มีอยู่ทั้งหมด ๗ พวก ดังนี้คือ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ พวกอุจเฉททิฐิ เชื่อว่า
(๑) มีอะไรสักอย่างที่เรียกว่า อัตตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
(๒) เมื่อกายแตก อัตตานั้นจักขาดสูญ และ สัตว์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดังนั้น สิ่งที่ นางเอิงเอย พึงกระทำ ก็คือ จงแสดงหลักฐานให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ท่านพุทธทาส หรือ คุณคนดู
หรือ ใครก็ตามที่ แกและพวก กล่าวหาว่าเขาเป็นพวกอุจเฉททิฐิ มีความคิดความเห็น หรือความเชื่อดังกล่าวนี้ หรือไม่ และ อย่างไร ?
จงนำหลักฐานเช่นว่านั้น มาเทียบเคียง และ สอบทาน กับพระบาลีพุทธพจน์ จาก ทีฆนิกาย ที่ผมยกขึ้นแสดง
ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ท่านพุทธทาส หรือใครๆ ที่ แก กล่าวหา มีความเชื่อตรงตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก
แต่ถ้า แก ไม่สามารถแสดงหลักฐาน ให้เห็นจริงได้ ก็จงกราบขอขมา ผู้ที่ แก ไปกล่าวหา ซ้ำๆ ซากๆ เสียด้วย
เข้าใจว่า นางเอิงเอย คงจะสามารถ ดูหลักฐาน ที่เพื่อนสมาชิกนำมาแสดง และสามารถ พิจารณา ได้เอง นะครับ
และหากถ้า เอิงเอย ไม่ดูหลักฐาน
พอมีคนถาม ก็ไม่กล้าตอบ
คนสันดานแบบนั้น คงไม่ใช่ "วิญญูชน" ในความเห็นของคนอย่าง แก กระมัง ?
หวังว่า นางเอิงเอย คงจะมิใช่ คนเดียว ที่ไม่เห็นหลักฐาน นะครับ !
****************************************************************************************************
ก็อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้น นั่นแหละครับว่า "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง"
ตัวอย่างเช่น นางเอิงเอย กล่าวอวดอ้างว่า มันเป็นศิษย์ท่านพุทธทาส
ผมก็เพียงแค่ถามตรงๆ ว่า ท่านพุทธทาส รับมันเป็นศิษย์ ตั้งแต่เมื่อไร ?
มันก็เป็น คำถาม ที่ตรงไปตรงมา จริงไหมครับ ?
เอิงเอย ก็เพียงแค่ตอบมาว่า เมื่อไร และ อย่างไร เท่านั้นเอง
ถ้าเอิงเอย โกหก แก ก็ยอมรับมาตามตรงว่า แก โกหก
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แก ก็แค่แสดงหลักฐานมาว่า มันจะ "จริง" เข้าไปได้อย่างไร ?
เห็นไหมครับว่า "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง"
แต่ก็แปลก ที่นางคนนี้ กลับ "แกล้งตาย" หนีหน้า ไม่กล้าตอบคำถามง่ายๆ เสียอย่างนั้น
น่าสมเพช ไหมล่ะ ?
เฮอะ เฮอะ
มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ............... ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง
ขอให้สังเกตด้วยว่า ในขณะที่ นางคนนี้ เที่ยวกล่าวหาผู้อื่นไปทั่วว่าเป็น อุจเฉททิฐิ
แต่พอถูกทวงถามถึง เหตุผล และ หลักฐาน มันก็มักจะแสดงอาการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ คือ
(๑) ใบ้กิน เงียบเป็นเป่าสาก จากนั้นก็ "แกล้งตาย" แล้วหายหัวไปจากกระทู้
(๒) หน้าด้าน ตีฝีปาก แถกแถ ไปเรื่อยๆ ในทำนองว่า มีหลักฐานอยู่เยอะแยะ (แต่มันเศือก ไม่มีปัญญา ยกมาแสดง)
คราวนี้ มันก็มาอีหรอบเดิม กล่าวคือ พอจนแต้ม ไม่มีปัญญาโต้แย้งด้วยเหตุผลอย่างที่วิญญูชนพึงกระทำ
มันก็ใช้วิธี "ใส่ความพระ กล่าวหาคน" ตามความเคยชินของมัน อีกตามเคย !
สรุปประเด็นโดยรวม ก็คือ นางเอิงเอย พยายาม คาดคั้น คุณเซนฯ อย่างเอาเป็นเอาตาย
เพื่อให้ตอบ หรือแสดงหลักฐานว่า ท่านพุทธทาส สอนว่าตายแล้วเกิด หรือ ตายแล้วสูญ ?
ผมยอมรับใน คำพูด ของนางเอิงเอย อยู่ประเด็นหนึ่ง นะครับว่า "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง"
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ และที่จริงยิ่งกว่า ก็คือ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) และชาวพุทธเถรวาทท่านอื่นๆ
ก็ได้แสดงหลักฐานคำสอนของท่านพุทธทาสมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็ตรงไปตรงมาอย่างยิ่งว่า เมิงไม่เคยสนใจจะอ่าน !
ท่านพุทธทาสกล่าวอย่างชัดเจนว่า การตาย การเกิด ไปตามเหตุปัจจัย ของกระบวนธรรม คือ สังขาร นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
เมื่อตาย ย่อมเกิด หากมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย มันก็ไม่เกิด
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการกล่าวตามหลักพุทธธรรม ที่เป็นสัมมาทิฐิอย่างยิ่ง
ที่กล่าวว่า สัมมาทิฐิอย่างยิ่งนี้ หมายถึง ธรรมชาติโดยสภาวะธรรมล้วนๆ นั้น มันมีแต่ อาการ หรือ กิริยา การเกิด การตาย แต่มันไม่มีผู้เกิดผู้ตาย
ความข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งผมก็ได้นำหลักฐานมาเสนอ หลายครั้งหลายหนแล้วเช่นกัน แต่ เมิงไม่เคยสนใจจะอ่าน !
ทีนี้ หาก นางเอิงเอยและพวก ต้องการ หลักฐานคำสอนแบบ สมมุติ
ผมก็ได้เคยนำเสนอหลักฐานจากตำรา อริยสัจ จากพระโอษฐ์ ไปแล้วหลายครั้ง ซึ่งท่านพุทธทาส อ้างถึงพระบาลีพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า
"เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ไม่มีอุปาทาน ฯลฯ"
สรุป ก็คือ ถ้าจะเอาหลักฐานแบบปรมัตถ์ เนื่องกับ ปฏิจจสมุปบาท ผมก็ยกแสดงแล้ว(หลายครั้ง)
หรือ ถ้าต้องการ หลักฐานแบบสมมุติ ผมก็ได้ยกขึ้นแสดง หลายครั้งแล้ว เช่นกัน
ซึ่ง มันก็เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา มิใช่หรือ ?
การที่ นางเอิงเอย มันพยายาม "คาดคั้น" จะเอาคำตอบ หรือ "หลักฐาน" จากคุณเซนฯ นั้น
ผมเห็นว่า เป็นการกระทำที่ไร้สาระ นะครับ เพราะในความเป็นจริง ก็คือ หลักฐาน หรือ คำตอบเหล่านั้น
เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ง่ายมาก มิได้เป็นความลับ ที่ถูกซ่อนเร้น แต่อย่างใดเลย
ซึ่งก็แน่นอนเช่นกันว่า นั่นย่อมมิใช่คำตอบที่ ชาวพุทธชายขอบพวกนี้ ต้องการ
สิ่งที่พวกมันต้องการ ก็คือ คำสอนในทำนองว่า ........
นาย ก. ตายไปแล้ว แต่เพราะ ตัณหาอวิชชา ยังมีอยู่ จึงไปเกิดเป็น นาย ข. ในภพชาติถัดไป (ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็น มิจฉาทิฐิ)
สิ่งที่น่ารำคาญ ก็คือ ไอ้อีพวกนี้ มันไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่า มันจะมาค้นหา "คำสอนนอกรีต" แบบนี้
จากท่านพุทธทาส ซึ่งสอนธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า ได้อย่างไร ?
มันไม่มีหรอกครับ !
*****************************************************************************************************
คำถามที่นางเอิงเอย พยายาม คาดคั้น เอาคำตอบจาก คุณเซนฯ นั้น ผมได้ "เศือก" ตอบให้แล้วนะครับ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แก จะไม่แสดงอาการ คลั่ง น้ำลายไหลยืด ทำตาขวาง ไล่งับ ส้นเท้า ใครเขาอีก นะครับ
ทีนี้ ก็มาสู่ ประเด็นการ กล่าวหาใส่ร้าย ทั้งคนทั้งพระ ของนางเอิงเอย ซึ่งมันทำเป็นนี้บ่อยมากจนเหมือนเป็นไปโดยสันดาน
แต่เรื่องแบบนี้ มันพิสูจน์ไม่ยาก นี่ครับ "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง" กล่าวคือ แก มีหลักฐาน หรือไม่ ?
ในเมื่อ ล็อกอิน เอิงเอย กล่าวหาผู้อื่นว่าเป็น อุจเฉททิฐิ นั่นย่อมเป็นภาระของผู้กล่าวหา
ที่จะต้องแสดงหลักฐาน ประกอบข้อกล่าวหานั้น มิใช่ทำ "หน้าด้าน" มากล่าวหาผู้อื่นลอยๆ
เพราะการกระทำอย่างนั้น มันเป็นพฤติกรรมของ "คนถ่อย" นะครับ
ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ล็อกอินเอิงเอย จะไม่ทำตัวเหมือน คนถ่อย นะครับ เพราะมันไม่น่าดูเลย
หากผู้ชายเป็นคนถ่อย เขาก็มักเรียกกันว่า "ไอ้ถ่อย" แล้วถ้าผู้หญิงมีพฤติกรรมอย่างนั้น ผู้คนเขาจะเรียกว่าอะไร ?
เข้าใจว่า ท่านทั้งหลายจะสำเหนียกความข้อนี้ กันตามสมควร นะครับ
เอาเป็นว่า ในเมื่อเอิงเอย กล่าวหาผู้อื่นว่า เป็นพวกอุจเฉททิฐิ เชื่อว่าตายแล้วสูญ
สิ่งแรก ที่ชาวพุทธเถรวาท พึงกระทำ ก็คือ ตรวจสอบดูว่า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงเรื่องนี้เอาไว้ อย่างไรบ้าง ?
หลักฐานจาก ทีฆนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
ความเห็นผิดฝ่าย อุจเฉททิฐิ ที่มีทิฐิว่าขาดสูญ สัตว์ตายแล้วไม่เกิดอีก มีอยู่ทั้งหมด ๗ พวก ดังนี้คือ
กล่าวโดยสรุป ก็คือ พวกอุจเฉททิฐิ เชื่อว่า
(๑) มีอะไรสักอย่างที่เรียกว่า อัตตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
(๒) เมื่อกายแตก อัตตานั้นจักขาดสูญ และ สัตว์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดังนั้น สิ่งที่ นางเอิงเอย พึงกระทำ ก็คือ จงแสดงหลักฐานให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ท่านพุทธทาส หรือ คุณคนดู
หรือ ใครก็ตามที่ แกและพวก กล่าวหาว่าเขาเป็นพวกอุจเฉททิฐิ มีความคิดความเห็น หรือความเชื่อดังกล่าวนี้ หรือไม่ และ อย่างไร ?
จงนำหลักฐานเช่นว่านั้น มาเทียบเคียง และ สอบทาน กับพระบาลีพุทธพจน์ จาก ทีฆนิกาย ที่ผมยกขึ้นแสดง
ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ท่านพุทธทาส หรือใครๆ ที่ แก กล่าวหา มีความเชื่อตรงตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก
แต่ถ้า แก ไม่สามารถแสดงหลักฐาน ให้เห็นจริงได้ ก็จงกราบขอขมา ผู้ที่ แก ไปกล่าวหา ซ้ำๆ ซากๆ เสียด้วย
เข้าใจว่า นางเอิงเอย คงจะสามารถ ดูหลักฐาน ที่เพื่อนสมาชิกนำมาแสดง และสามารถ พิจารณา ได้เอง นะครับ
และหากถ้า เอิงเอย ไม่ดูหลักฐาน
พอมีคนถาม ก็ไม่กล้าตอบ
คนสันดานแบบนั้น คงไม่ใช่ "วิญญูชน" ในความเห็นของคนอย่าง แก กระมัง ?
หวังว่า นางเอิงเอย คงจะมิใช่ คนเดียว ที่ไม่เห็นหลักฐาน นะครับ !
****************************************************************************************************
ก็อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้น นั่นแหละครับว่า "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง"
ตัวอย่างเช่น นางเอิงเอย กล่าวอวดอ้างว่า มันเป็นศิษย์ท่านพุทธทาส
ผมก็เพียงแค่ถามตรงๆ ว่า ท่านพุทธทาส รับมันเป็นศิษย์ ตั้งแต่เมื่อไร ?
มันก็เป็น คำถาม ที่ตรงไปตรงมา จริงไหมครับ ?
เอิงเอย ก็เพียงแค่ตอบมาว่า เมื่อไร และ อย่างไร เท่านั้นเอง
ถ้าเอิงเอย โกหก แก ก็ยอมรับมาตามตรงว่า แก โกหก
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แก ก็แค่แสดงหลักฐานมาว่า มันจะ "จริง" เข้าไปได้อย่างไร ?
เห็นไหมครับว่า "มันเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่อย่างหนึ่ง ก็อย่างหนึ่ง"
แต่ก็แปลก ที่นางคนนี้ กลับ "แกล้งตาย" หนีหน้า ไม่กล้าตอบคำถามง่ายๆ เสียอย่างนั้น
น่าสมเพช ไหมล่ะ ?
เฮอะ เฮอะ