ใคร ........... สนับสนุน ทิฐิตายแล้วสูญ ของใคร ?

ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า เมื่อเห็นมาตรฐานทางสติปัญญาของพวกเม็ดมะขามแล้ว
ก็ได้แต่ทอดถอนใจ ด้วยความสมเพชเวทนาว่า มันมีอยู่เท่านี้เอง ละหรือ ?

ใจความหลักของ กระทู้ ลามปาม ถึงเจ้าชายสิทธัตถะ (กู่ไม่กลับแล้วหละ)
คือการชี้ให้เห็นว่า ตรรกะ(บือ) ของ นางเอิงเอย ที่กล่าวในทำนองว่า
การที่ผม(จ้าวนครเมฆขาว) วิพากษ์วิจารณ์ พระโพธิสัตว์ เท่ากับเป็นการ "ลามปาม" นั้น ไม่สมเหตุผล

ทั้งนี้ ก็เพราะ หากตรรกะ(บือ) ดังกล่าว ถูกต้องจริง ชาวพุทธย่อมไม่สามารถ วิพากษ์วิจารณ์
พฤติกรรมของ พระเทวทัต หรือ โจรองคุลีมาล ฯลฯ ได้เลย เพราะ พระเทวทัตนี้ ต่อมาก็คือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
ส่วน โจรองคุลีมาล ต่อมาก็คือพระอรหันต์ เฉกเช่นเดียวกันกับ เจ้าชายสิทธัตถะ ที่ต่อมาก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า !



แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการ "วิวาทะ" ด้วยเหตุผลอย่างวิญญูชน ซึ่งย่อมประกอบด้วยเหตุผล และหลักฐานอ้างอิง เป็นธรรมดา
และที่แน่นอนยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ พวกเม็ดมะขาม สันดานถ่อย เหล่านั้น ย่อมมิอาจเข้าถึง "แก่นสาร" ของการสนทนาแบบนี้ ได้เลย

หรือมิใช่ ?

ทั้งนี้ ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาว่า นางเอิงเอย ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาผมด้วยคำว่า "ลามปาม" ได้ทำการโต้แย้งผม อย่างไร ?



ประเด็นที่ ๑

น่าประหลาด ที่เริ่มต้นขึ้นมา มันก็ "กล่าวหา" ซ้ำเติมเข้ามาอีกว่า
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) "ต้องการแสดงว่า การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ ไม่มี"

ความจำเป็นอย่างที่สุด สำหรับข้อกล่าวหานี้ ก็คือ "หลักฐาน" นะครับ
หมายความว่า นางเอิงเอย มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องแสดงหลักฐานด้วยว่า
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ได้กล่าวข้อความอย่างนั้น เอาไว้ ที่ใด ?

ขอย้ำอีกครั้งว่า นางเอิงเอย จงแสดงหลักฐานด้วยว่า ผมกล่าวเอาไว้ที่ใดว่า "การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ ไม่มี" !

ข้อกล่าวหาที่ ๒ ก็คือ นางเอิงเอย กล่าวหาผมว่า "ต่อต้านภพชาตินรกสวรรค์"
ซึ่งก็เหมือนเดิมนะครับ กล่าวคือ นางเอิงเอย จำต้องแสดงหลักฐานด้วยว่า ผมกล่าวอย่างนั้น เอาไว้เมื่อใดกัน ?

ถ้าหาก แก ยังมีความเป็น "คน" หลงเหลืออยู่บ้าง ก็จง ละ เลิก อุปนิสัยสันดานชั่วๆ
ในการกล่าวหาผู้อื่นลอยๆ โดยปราศจาก เหตุผล และ หลักฐาน เสียที นะครับ
เพราะมิเช่นนั้นแล้ว คงไม่สามารถ สนทนา กันต่อไปได้ !

แต่ในขณะที่ต้องรอการแสดงหลักฐานจาก นางเอิงเอยปากชั่ว
ผมขออนุญาต กล่าวอธิบายสั้นๆ ด้วยตนเอง ดังนี้ว่า

กรณี การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาตินั้น ผมมิได้เคยปฏิเสธ เลยแม้สักครั้ง
ทั้งนี้ก็เพราะ ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก อย่างชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้เอาไว้หลายครั้งในลักษณะของ สมมติกถา
มิหนำซ้ำ ยังปรากฏอีกว่า พวก สัสสตทิฐิ ในสมัยพุทธกาล ก็มีความเชื่ออย่างนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่ง มิจฉาทิฐิฝ่ายอุจเฉททิฐิ(บางพวก)

ดังนั้น มันจึงไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องปฏิเสธ ข้อเท็จจริง ในระดับสมมุติ แบบนี้เลยนี่ครับ !

สิ่งที่ผมกล่าวเอาไว้แน่ๆ ก็คือ ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพข้ามชาติแบบตายเข้าโลง ไม่มีอยู่ในชั้นพระบาลีพุทธพจน์
หากแต่ปรากฏคำอธิบายแบบนี้ในชั้น อรรถกถา ฎีกา ซึ่งผมก็มิได้กล่าวอย่างนี้แต่เพียงผู้เดียว เสียเมื่อไร ท่านปยุตโต ก็กล่าวแบบนี้ เช่นกัน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงไม่มีใคร เข้าใจผิดแบบโง่ๆ ว่า การเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งเดียวกับ ปฏิจจสมุปบาท นะครับ

ส่วนเรื่องนรกสวรรค์นั้น ผมก็กล่าวอย่างชัดเจนทีเดียวว่า ปฏิเสธความเชื่อเรื่อง นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า อย่างเด็ดขาด
นั่นจึงหมายความว่า ถ้าหาก นางเอิงเอยและพวก เห็นว่า ผมกล่าวผิด ความเป็นไปได้ ก็คือ

(๑) แก พิสูจน์ให้เห็นจริงได้หรือไม่ว่า ใต้ดิน มีนรกอยู่จริง หรือ บนฟ้า เป็นที่ตั้งของสวรรค์(ทั้งๆ ที่ฟ้า ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง)
(๒) หรืออย่างน้อย แก ก็ควรพิสูจน์ให้เห็นว่า พระพุทธได้ตรัสเอาไว้อย่างนี้จริง ............. มีหลักฐาน ไหมครับ ?

กรณีนรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้านี้ ก็เป็นนางเอิงเอยนี่แหละ ที่ทำเป็น สาระแน วี๊ดว๊าย กับผม ด้วยข้อความโง่ๆ ในทำนองว่า
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ยกหลักฐานมา "แย้ง" ตนเอง แต่เมื่อผมขอให้ชี้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดาวดึงส์ อยู่บนฟ้า จริงๆ ละหรือ ?

มันก็ถึงกับ "หงายเงิบ" และ แกล้งตาย ไปในท้ายที่สุด !

เพราะในความเป็นจริง เท่าที่ปรากฏอยู่จริง ตามหลักฐานในพระไตรปิฎก
พระพุทธเจ้าตรัสเพียงว่า เสด็จดาวดึงส์ ซึ่งผม หรือ ชาวพุทธทั้งหลาย ย่อมไม่ปฏิเสธ อยู่แล้ว
แต่ พระพุทธเจ้า มิได้ตรัสเลยว่า ดาวดึงส์ อยู่บนฟ้า เหมือนดังที่นางเอิงเอย "แอบอ้าง" เอาไว้

นรกสวรรค์ทางอายตนะ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง สามารถพิสูจน์ได้จริง และเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ
โดยที่ชาวพุทธ ไม่จำเป็นต้องไปละเมอเพ้อพก อยู่กับ สวรรค์ชั้นฟ้า ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ (เพราะมันไม่มีอยู่จริง)

ผมมิได้โง่ หรือ บ้า มากพอที่จะไปเมาหมกอยู่กับ เรื่องไร้สาระแบบนั้นนี่ครับ
และหากเมื่อพิจารณาโดยหลักฐาน ย่อมปรากฏชัดว่า ผมเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
แม้ว่ามันจะมิใช่ นรกสวรรค์ในแบบที่ พวกเม็ดมะขามเชื่อกันอยู่ ก็ตาม

แต่กระนั้น นางเอิงเอย มีสิทธิอะไร ที่จะมากล่าวหาผมอย่างเสียๆ หายๆ
ทั้งๆ ที่ ตัวของแกเอง ยังไม่มีปัญญา พิสูจน์ข้อเท็จจริงเสียด้วยซ้ำไปว่า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า จริงๆ อย่างที่พวกแกเชื่อตามๆ กันมาอย่างโง่ๆ

หรือมิใช่ ?

อีกเรื่อง ที่จำต้องอธิบายให้ชัดเจน ก็คือ การที่นางเอิงเอย พยายามเบี่ยงเบนประเด็นของกระทู้ไปว่า
กรณี หลักฐานเรื่อง พระเทวทัต เป็นมิจฉาปฏิปทา ส่วน กรณี เจ้าชายสิทธัตถะ ขณะบรรลุวิชชาที่ ๒ เป็น สัมมาปฏิปทานั้น
ขออนุญาต กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า จงเลิก จับแพะชนแกะ ได้แล้ว
เพราะเรื่องพระเทวทัต ที่ผมยกขึ้นมานั้น ก็เพื่อโต้แย้ง ตรรกะ(บือ) ของแก ที่กล่าวร้ายผมในเรื่อง "ลามปาม"

ส่วนกรณี วิชชาที่ ๑ และ ๒ จะเป็น มิจฉาปฏิปทา หรือไม่ นั่นมิใช่สิ่งที่ แก และพวก จะมา คิดเองเออเอง มิได้
เพราะหลักการ ในทางปฏิบัติ มันมีลำดับขั้นตอนของมันอยู่ ซึ่ง ผม(จ้าวนครเมฆขาว) จะปลีกเวลา อธิบาย(เรื่องนี้) ในโอกาสถัดไป

ดังนั้น ในชั้นต้นนี้ แก จง ละเลิก ในการ "มั่วนิ่ม" หลักฐาน ได้แล้ว แต่จง แสดงหลักฐานออกมาว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว)
(๑) ได้กล่าวเอาไว้ว่า "การเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ ไม่มี" และ (๒) "ต่อต้านภพชาตินรกสวรรค์" เอาไว้ ณ ที่ใด

ทั้งนี้ หากไม่สามารถแสดงหลักฐาน ประกอบข้อกล่าวหาได้  
ผู้กล่าวหา ย่อมได้ชื่อว่าเป็น "คนถ่อย" ที่มักกล่าวหาผู้อื่นพล่อยๆ ตามสันดานปากชั่ว

ชัดเจน แล้ว นะครับ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีโอกาสได้เห็นความรับผิดชอบทาง "หลักฐาน" ตามสมควร

***************************************************************************************

จะด้วยแรงผลักดันจาก ความคิดชั่ว&ปากชั่ว ของตัวนางเอิงเอย เอง
หรือ จะเป็นเพราะ แรงผลักดันจาก "สหายอีแอบ"ที่รวมตัว "ซุกหัว" อยู่ใต้ชายผ้าถุงของ นางเอิงเอย ก็มิอาจทราบได้

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เวรกรรม ที่เกิดจากสันดานปากชั่วของนางคนนี้ ยังไม่จบ นะครับ
ช่างน่าขำ ที่อยู่ดีๆ นางเอิงเอย กลับมาทวงถามเอาดื้อๆ ว่า จะอธิบายเรื่องชาดกอย่างไร ไม่ให้เป็น สัสสตทิฐิ ?

นั่นมันเป็นปัญหาของพวกมิจฉาทิฐิอย่างพวกแก มิใช่หรือ ?
แล้วเหตุใด จึงมาถามเอากับผม เล่าครับ ?

หน้าไม่อาย !

เรื่องนี้ มันง่ายนิดเดียว ซึ่งก็เป็นไปตามคำอธิบายของอรรถกถาจารย์นั่นแหละ กล่าวคือ
(๑) ถ้า แกและพวก เข้าใจ(ผิด) ไปว่า พระโพธิสัตว์ คือ บุคคลเดียวกันกับ พระพุทธเจ้า ......... พวกแกก็เป็น สัสสตทิฐิ เจนเนอชั่นที่ ๑
(๒) ถ้า แกและพวก เข้าใจ(ผิด) ไปว่า ขันธ์ ของพระโพธิสัตว์ คือ ขันธ์ อันเดียวกันกับ พระพุทธเจ้า ......... พวกแกก็เป็น สัสสตทิฐิ เจนเนอชั่นที่ ๒

เรื่องนี้ พวกแกทั้งหลาย ต้อง โยนิโสมนสิการ กันเอาเอง นะครับ อย่าได้หวังพึ่งผู้อื่นเลย



แต่ประเด็นสำคัญ ของเรื่องนี้ ก็คือ การที่นางเอิงเอย กล่าวร้ายผู้อื่น ตามสันดานปากชั่วของมัน อีกตามเคยว่า

"ที่คุณ(หมายถึงจ้าวนครเมฆขาว) ตั้งกระทู้ทั้งหลายออกมานี้ นั้น เพื่อสนับสนุน ทิฐิตายแล้วสูญของท่านพุทธทาส"

ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่า ข้อกล่าวหาเลวๆ แบบนี้ จำต้องแสดง "หลักฐาน" ให้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า
ท่านพุทธทาส มีทิฐิความเห็นผิดว่า "ตายแล้วสูญ" จริงหรือไม่ ?

ทั้งนี้ ขออนุญาต กล่าวตามความจริงว่า นางเอิงเอยและพวกของมัน ก็ได้เคยกล่าวหา ทั้งท่านพุทธทาส และ ล็อกอินอื่นๆ อีกมากมายในทำนองนี้
แต่เมื่อผมทวงถามถึง "หลักฐาน" และคำอธิบายว่า ผู้คนเหล่านั้น ที่ถูกกล่าวหา เป็น อุจเฉททิฐิ อย่างไร แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ !

และนี่ ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่พอ จนแต้ม ไม่มีปัญญาโต้แย้งด้วยเหตุผล และ หลักฐานใดๆ แล้ว
มันก็จะเข้าสู่ mode ใส่ร้ายพระ & กล่าวหาคน ด้วยสันดานปากชั่วของพวกมัน

ไม่เป็นไร นะครับ ถ้าหากคิดว่า สามารถกล่าวหาแบบชุ่ยๆ ได้โดยไม่รู้สึกกระดากปาก
ผม ก็ย่อมมีความชอบธรรม ที่จะทวงถามหา "หลักฐาน" และ คำอธิบาย ได้อย่างเต็มที่ เช่นกัน

ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณา ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่จริงในชั้นพระบาลีพุทธพจน์ ดังนี้ว่า
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง พวกอุจเฉททิฐิ ว่ามีเหตุอยู่เพียง ๗ ประการ เช่น เข้าใจว่า อัตตา คือ มนุษย์ หรือ สัตว์  
หรือ เข้าใจว่า อัตตา คือ กายทิพย์ เป็นต้น ซึ่ง อัตตา ทั้ง ๗ อย่างนั้น เมื่อสิ้นชีพ กายแตก ก็ขาดสูญ และไม่มีการเกิดอีก



ทีนี้ ในเมื่อ นางเอิงเอยและพวก เพียรพยายาม จะกล่าวหาท่านพุทธทาส ว่าเป็นอุจเฉททิฐิ ให้จงได้
ก็ย่อมหมายความว่า พวกแก จะต้องมีหลักฐานอยางชัดแจ้งว่า ท่านพุทธทาส ได้กล่าวสอน
หรือ มีความเชื่ออย่างหนึ่งอย่างใด ใน ๗ ข้อนี้ บ้างหรือไม่ว่า อัตตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

เพราะถ้าไม่เชื่อว่า อัตตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง โดย "ขาดสูญ" ไปเมื่อกายแตก  แล้วพวกแก จะไปกล่าวหาท่านได้อย่างไร ?
ทั้งนี้ ก็เพราะ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า อุจเฉททิฐิ มีเหตุอยู่เพียง ๗ ประการนี้ เท่านั้น !

กล่าวโดยสรุป ก็คือ ถ้าไม่มีหลักฐาน คำสอน หรือ ความคิดเห็น ของท่านพุทธทาส
ที่สอดคล้องกับ หลักฐานจากพระสูตร ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสถึง อุจเฉททิฐิ เอาไว้ว่า มี ๗ แบบ
นางเอิงเอย ในฐานะ ผู้กล่าวหา จักต้องกล่าวขอขมาท่านพุทธทาส รวมไปถึง ผู้อื่นที่แกและพวก ได้กล่าวหาเอาไว้ด้วย

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นางเอิงเอย จะไม่ "แกล้งตาย" หรือ ทำเป็นตาบอดตาใส นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่