ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ มิได้มีความซับซ้อนอะไรเลย
(๑) ในเมื่อผมกล่าวว่า สัสสตทิฐิ มีความเห็นว่า "ตายแล้วเกิด" ผมก็เพียงแต่อธิบายความ พร้อมแสดง "หลักฐาน" จากพระคัมภีร์ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง
(๒) ในเมื่อ คันโตนาซี รวมไปถึง นางเอิงเอย กล่าวอ้างว่า สัสสตทิฐิ ไม่ใช่พวกที่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" ก็เพียงแสดง "หลักฐาน" ให้เห็นว่า
พวก สัสสตทิฐิ ไม่มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" จริงตามที่พวกแกอ้าง เรื่องมันก็น่าจะ "จบ" จริงไหมครับ ?
แต่จะด้วย "ความโง่เขลาเบาปัญญา" หรือ "ตาถั่วสมองทึบ" ผมก็มิอาจทราบได้
ล็อกอิน คันโตนาซี กลับ กล่าววาจาท้าทาย อย่างน่าสมเพชเวทนาว่า
"ไปถามเจ้าคุณปยุตไหม ?"
คืออย่างนี้นะครับ ..............
ถ้ามันมีความจำเป็นถึงขนาดนั้น ผมก็เห็นควรว่า คันโตนาซี และ เอิงเอย จำเป็นต้องไปกราบเรียนถามท่าน จริงๆ นั่นแหละ
แต่สิ่งที่มีความจำเป็น มากยิ่งกว่า ก็คือ ผมเห็นว่า คันโตนาซีและพวก น่าจะไปพบ "จักษุแพทย์" โดยด่วน นะครับ !
หากท่านทั้งหลาย พิจารณา "หลักฐาน" ที่ ล็อกอิน คันโตนาซี ยกขึ้นแสดง ก็จะพบข้อเท็จจริง อย่างโจ่งแจ้งว่า
นั่นเป็น "หลักฐาน" ที่แสดงให้เห็นว่า พวกสัสสตทิฐิ มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" จริงๆ
ช่างน่าสมเพช ที่คันโตนาซี เป็นคน "พิมพ์" ข้อความว่า "ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่น" ด้วยมือตนเองแท้ๆ
แต่กลับ หน้ามืดตามัว มากล่าวแย้งอย่างโง่ๆ ว่า สัสสตทิฐิ ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด !
มัน โง่ หรือว่า บ้า กันแน่วะเนี่ย ?
ส่วนหลักฐานจากพระไตรปิฎก ที่มันยกขึ้นอ้าง ก็ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนเช่นกัน ดังนี้ว่า
"ส่วนสัตว์เหล่านั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด"
ถ้าถามผม ผมเห็นว่า หลักฐานที่ ล็อกอิน คันโตนาซี ยกขึ้นมาอ้างนั่นแหละ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนทีเดียวว่า
พวกสัสสตทิฐิ มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" จริง ตรงตามที่ผมได้สรุปความเอาไว้ ทุกประการ นี่ครับ
(๑) คำว่า "ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่น" แปลว่า "ตายแล้วเกิด" ไหมครับ ?
(๒) คำว่า "ส่วนสัตว์เหล่านั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด" แปลว่า "ตายแล้วเกิด" ไหมครับ ?
ถ้าหาก ข้อความดังกล่าว มิได้แปลว่า "ตายแล้วเกิด" คันโตนาซี และ เอิงเอย ก็จงมาแปลความให้ฟังหน่อยเถิดว่า มันแปลว่ากระไร ?
หรือหาก คันโตนาซี และ เอิงเอย เห็นว่า นั่นมิใช่ "ความเชื่อ" ของพวกสัสสตทิฐิ ก็จงอธิบายความด้วยเถิดว่า
เช่นนั้นแล้ว ข้อความดังกล่าว มาปรากฏอยู่ในส่วนของ สัสสตทิฐิ จาก พรหมชาลสูตร ได้ด้วยเหตุผล อย่างไร ?
ขอให้จงแสดงความรับผิดชอบ ด้วยนะครับ
*****************************************************************************************
ที่จริงแล้ว ผมอธิบายความไปหลายครั้งแล้วนะครับ สำหรับเรื่องความแตกต่าง ระหว่าง มิจฉาทิฐิ กับ สัมมาทิฐิ
แต่ขออนุญาต อธิบายซ้ำ เพื่อความเข้าใจที่มากยิ่งขึ้น ดังนี้ว่า .......
(๑) พวก สัสสตทิฐิ เขามีความเชื่อว่า มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ อยู่ในสัตว์ บุคคล
ซึ่งอะไรสักอย่างที่ว่ามานี้ อาจเรียกว่า อาตมัน อัตตา ชีวะ เจตภูติ ศรีรินท์ ฯลฯ ตามแต่ลัทธิเหล่านั้นจะบัญญัติว่าอย่างไร
โดยสิ่งที่ "เที่ยง" นั้นอาจเป็น สิ่งหนึ่งต่างหากจาก ขันธ์ ๕ หรือ อาจเป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใด ในขันธ์ ๕ นี้ก็ได้
เช่น บางพวก กล่าวว่า ชีวะ คือ อัตตา ที่มีอยู่ต่างหากจากขันธ์ ๕ บางพวก ก็กล่าวว่า วิญญาณ นี่แหละ คือ อัตตา
หรือ บางพวกอาจระบุว่า สัญญา คือ อัตตา ที่เที่ยงแท้ ฯลฯ เป็นต้น
(๒) ด้วยเหตุที่อัญเดียรถีย์พวกนี้ เชื่อว่า มีบางสิ่งที่เที่ยงแท้ ดังนั้น เขาจึงกล่าวว่า การเกิด การตาย ของ สัตว์ บุคคล เป็น "มายา"
นั่นจึงหมายความว่า เมื่อสัตว์ตายแล้ว ย่อมเกิดเสมอ โดยมี อัตตา ที่เที่ยงแท้ ยืนโรงอยู่
หรือ กล่าวอีกแบบ ก็คือ เพราะมีอัตตาที่เที่ยงแท้ ยืนโรงอยู่ สัตว์บุคคล จึงย่อมต้องเกิดตายอยู่ร่ำไป !
(๓) ประเด็นของเรื่อง มันก็อยู่ตรงที่ว่า คันโตนาซี และ เอิงเอย กำลังจะบอกว่า
สัสสตทิฐิ เชื่อว่ามีอะไรสักอย่างเที่ยง แต่ไม่เชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด"
ซึ่งมันย่อมเป็นการพูดที่ไม่สอดคล้องกับ หลักฐานทางพระคัมภีร์ และคำอธิบายทางปรัชญา เอาเสียเลย
เพราะถ้า สัสสตทิฐิ ไม่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" แล้วเขาจะสร้างระบบปรัชญาชนิดนี้ขึ้นมา เพื่ออธิบายอะไร ?
ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่า เหตุที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะ คันโตนาซี และ เอิงเอย ไม่กล้ายอมรับความจริงว่า
พวกมัน ก็คือหนึ่งใน กลุ่มชาวพุทธชายขอบ ที่มีความเชื่อแบบเดียวกันกับ มิจฉาทิฐิฝ่ายสัสสตทิฐิ นั่นเอง
หรือมิใช่ ?
(๔) แล้ว ความเชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด" ของพวก สัสสตทิฐิ แตกต่างจาก สัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา ตรงไหน ?
ใจความหลัก มันอยู่ที่ว่า พระพุทธศาสนา ไม่เห็นว่า ขันธ์ ๕ สิ่งที่เนื่องกับขันธ์ ๕ หรือ อื่นจากขันธ์ ๕ เที่ยงแท้ถาวรเลยสักอย่าง
แต่พวกสัสสตทิฐิ กลับเห็นว่า "มี" โดยบัญญัติว่า คือ อาตมัน อัตตา ฯลฯ ทั้งยังเชื่อว่า นี่เป็น ความจริงแท้
แต่พระพุทธศาสนา กลับเห็นไปในทางตรงข้าม กล่าวคือ เห็นว่า อาตมัน อัตตา ฯลฯ นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
หรืออาจกล่าวได้ว่ามีอยู่ ก็เฉพาะแต่ในระดับ สมมุติบัญญัติ เท่านั้น มิอาจกล่าวว่าเป็นความจริงแท้ได้เลย
ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดดับตามเหตุปัจจัย นี้ถือว่าเป็นความจริง แต่พวกสัสสตทิฐิกลับเห็นว่านั่นเป็น "ความลวง"
ขออนุญาตสรุป ชัดๆ ดังนี้ว่า
(๑) สัสสตทิฐิ เห็นว่า มีแต่ สัตว์ และ บุคคล เท่านั้น ที่สามารถตายแล้วเกิดได้
แต่ สัมมาทิฐิ เห็นว่า ไม่มี สัตว์ และ บุคคล เกิดตาย ได้จริงๆ นั่นเป็นเพียงสมมุติ เท่านั้น
(เช่น ถ้าใครเห็นว่า สมมุติบัญญัติ เช่น สัตว์ บุคคล เกิดตายได้จริงๆ ย่อมถือว่าเป็นความเห็นผิด ฝ่าย สัสสตทิฐิ)
(๒) สัสสตทิฐิ เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดดับ นั้นเป็นเพียง "มายา"
แต่ สัมมาทิฐิ เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดดับ นั้นเป็น "ความจริง"
(๓) สัสสตทิฐิ เห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงเกิดตาย มีบางสิ่งเที่ยงแท้ ยืนโรงอยู่
แต่ สัมมาทิฐิ เห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงเกิดดับ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ยั่งยืน เลยสักอย่าง
(เช่น ถ้าใครเห็นว่า สมมุติบัญญัติ เช่น ความเป็นโสดาบัน เที่ยงแท้ ยืนโรง ข้ามภพชาติ ย่อมถือว่าเป็นความเห็นผิด ฝ่าย สัสสตทิฐิ)
*****************************************************************************************
สรุปในสรุป
สำหรับ ประเด็นหลัก ในกระทู้นี้ คันโตนาซี และพวก ก็เพียงแค่ อธิบาย "หลักฐาน" ที่แกยกขึ้นอ้าง
ให้ได้ว่า พวกสัสสตทิฐิ ไม่เชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด" จริงๆ ตามที่แกและพวก กล่าวอ้าง ได้อย่างไร ?
ทั้งๆ ที่หลักฐานดังกล่าว ก็ยืนยันตัวเองอย่างชัดแจ้งว่า พวกสัสสตทิฐิ เขามีความเชื่ออย่างนั้นอยู่ !
หวังว่าจะเข้าใจ ประเด็นของคำถาม นะครับ
สวัสดี
เรื่อง สัสสตทิฐิ ไปถาม ท่านปยุตโต ไหม ?
(๑) ในเมื่อผมกล่าวว่า สัสสตทิฐิ มีความเห็นว่า "ตายแล้วเกิด" ผมก็เพียงแต่อธิบายความ พร้อมแสดง "หลักฐาน" จากพระคัมภีร์ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง
(๒) ในเมื่อ คันโตนาซี รวมไปถึง นางเอิงเอย กล่าวอ้างว่า สัสสตทิฐิ ไม่ใช่พวกที่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" ก็เพียงแสดง "หลักฐาน" ให้เห็นว่า
พวก สัสสตทิฐิ ไม่มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" จริงตามที่พวกแกอ้าง เรื่องมันก็น่าจะ "จบ" จริงไหมครับ ?
แต่จะด้วย "ความโง่เขลาเบาปัญญา" หรือ "ตาถั่วสมองทึบ" ผมก็มิอาจทราบได้
ล็อกอิน คันโตนาซี กลับ กล่าววาจาท้าทาย อย่างน่าสมเพชเวทนาว่า
"ไปถามเจ้าคุณปยุตไหม ?"
คืออย่างนี้นะครับ ..............
ถ้ามันมีความจำเป็นถึงขนาดนั้น ผมก็เห็นควรว่า คันโตนาซี และ เอิงเอย จำเป็นต้องไปกราบเรียนถามท่าน จริงๆ นั่นแหละ
แต่สิ่งที่มีความจำเป็น มากยิ่งกว่า ก็คือ ผมเห็นว่า คันโตนาซีและพวก น่าจะไปพบ "จักษุแพทย์" โดยด่วน นะครับ !
หากท่านทั้งหลาย พิจารณา "หลักฐาน" ที่ ล็อกอิน คันโตนาซี ยกขึ้นแสดง ก็จะพบข้อเท็จจริง อย่างโจ่งแจ้งว่า
นั่นเป็น "หลักฐาน" ที่แสดงให้เห็นว่า พวกสัสสตทิฐิ มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" จริงๆ
ช่างน่าสมเพช ที่คันโตนาซี เป็นคน "พิมพ์" ข้อความว่า "ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่น" ด้วยมือตนเองแท้ๆ
แต่กลับ หน้ามืดตามัว มากล่าวแย้งอย่างโง่ๆ ว่า สัสสตทิฐิ ไม่เชื่อว่าตายแล้วเกิด !
มัน โง่ หรือว่า บ้า กันแน่วะเนี่ย ?
ส่วนหลักฐานจากพระไตรปิฎก ที่มันยกขึ้นอ้าง ก็ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนเช่นกัน ดังนี้ว่า
"ส่วนสัตว์เหล่านั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด"
ถ้าถามผม ผมเห็นว่า หลักฐานที่ ล็อกอิน คันโตนาซี ยกขึ้นมาอ้างนั่นแหละ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนทีเดียวว่า
พวกสัสสตทิฐิ มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" จริง ตรงตามที่ผมได้สรุปความเอาไว้ ทุกประการ นี่ครับ
(๑) คำว่า "ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่น" แปลว่า "ตายแล้วเกิด" ไหมครับ ?
(๒) คำว่า "ส่วนสัตว์เหล่านั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด" แปลว่า "ตายแล้วเกิด" ไหมครับ ?
ถ้าหาก ข้อความดังกล่าว มิได้แปลว่า "ตายแล้วเกิด" คันโตนาซี และ เอิงเอย ก็จงมาแปลความให้ฟังหน่อยเถิดว่า มันแปลว่ากระไร ?
หรือหาก คันโตนาซี และ เอิงเอย เห็นว่า นั่นมิใช่ "ความเชื่อ" ของพวกสัสสตทิฐิ ก็จงอธิบายความด้วยเถิดว่า
เช่นนั้นแล้ว ข้อความดังกล่าว มาปรากฏอยู่ในส่วนของ สัสสตทิฐิ จาก พรหมชาลสูตร ได้ด้วยเหตุผล อย่างไร ?
ขอให้จงแสดงความรับผิดชอบ ด้วยนะครับ
*****************************************************************************************
ที่จริงแล้ว ผมอธิบายความไปหลายครั้งแล้วนะครับ สำหรับเรื่องความแตกต่าง ระหว่าง มิจฉาทิฐิ กับ สัมมาทิฐิ
แต่ขออนุญาต อธิบายซ้ำ เพื่อความเข้าใจที่มากยิ่งขึ้น ดังนี้ว่า .......
(๑) พวก สัสสตทิฐิ เขามีความเชื่อว่า มีอะไรสักอย่างที่เที่ยงแท้ อยู่ในสัตว์ บุคคล
ซึ่งอะไรสักอย่างที่ว่ามานี้ อาจเรียกว่า อาตมัน อัตตา ชีวะ เจตภูติ ศรีรินท์ ฯลฯ ตามแต่ลัทธิเหล่านั้นจะบัญญัติว่าอย่างไร
โดยสิ่งที่ "เที่ยง" นั้นอาจเป็น สิ่งหนึ่งต่างหากจาก ขันธ์ ๕ หรือ อาจเป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใด ในขันธ์ ๕ นี้ก็ได้
เช่น บางพวก กล่าวว่า ชีวะ คือ อัตตา ที่มีอยู่ต่างหากจากขันธ์ ๕ บางพวก ก็กล่าวว่า วิญญาณ นี่แหละ คือ อัตตา
หรือ บางพวกอาจระบุว่า สัญญา คือ อัตตา ที่เที่ยงแท้ ฯลฯ เป็นต้น
(๒) ด้วยเหตุที่อัญเดียรถีย์พวกนี้ เชื่อว่า มีบางสิ่งที่เที่ยงแท้ ดังนั้น เขาจึงกล่าวว่า การเกิด การตาย ของ สัตว์ บุคคล เป็น "มายา"
นั่นจึงหมายความว่า เมื่อสัตว์ตายแล้ว ย่อมเกิดเสมอ โดยมี อัตตา ที่เที่ยงแท้ ยืนโรงอยู่
หรือ กล่าวอีกแบบ ก็คือ เพราะมีอัตตาที่เที่ยงแท้ ยืนโรงอยู่ สัตว์บุคคล จึงย่อมต้องเกิดตายอยู่ร่ำไป !
(๓) ประเด็นของเรื่อง มันก็อยู่ตรงที่ว่า คันโตนาซี และ เอิงเอย กำลังจะบอกว่า
สัสสตทิฐิ เชื่อว่ามีอะไรสักอย่างเที่ยง แต่ไม่เชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด"
ซึ่งมันย่อมเป็นการพูดที่ไม่สอดคล้องกับ หลักฐานทางพระคัมภีร์ และคำอธิบายทางปรัชญา เอาเสียเลย
เพราะถ้า สัสสตทิฐิ ไม่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" แล้วเขาจะสร้างระบบปรัชญาชนิดนี้ขึ้นมา เพื่ออธิบายอะไร ?
ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่า เหตุที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะ คันโตนาซี และ เอิงเอย ไม่กล้ายอมรับความจริงว่า
พวกมัน ก็คือหนึ่งใน กลุ่มชาวพุทธชายขอบ ที่มีความเชื่อแบบเดียวกันกับ มิจฉาทิฐิฝ่ายสัสสตทิฐิ นั่นเอง
หรือมิใช่ ?
(๔) แล้ว ความเชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด" ของพวก สัสสตทิฐิ แตกต่างจาก สัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา ตรงไหน ?
ใจความหลัก มันอยู่ที่ว่า พระพุทธศาสนา ไม่เห็นว่า ขันธ์ ๕ สิ่งที่เนื่องกับขันธ์ ๕ หรือ อื่นจากขันธ์ ๕ เที่ยงแท้ถาวรเลยสักอย่าง
แต่พวกสัสสตทิฐิ กลับเห็นว่า "มี" โดยบัญญัติว่า คือ อาตมัน อัตตา ฯลฯ ทั้งยังเชื่อว่า นี่เป็น ความจริงแท้
แต่พระพุทธศาสนา กลับเห็นไปในทางตรงข้าม กล่าวคือ เห็นว่า อาตมัน อัตตา ฯลฯ นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
หรืออาจกล่าวได้ว่ามีอยู่ ก็เฉพาะแต่ในระดับ สมมุติบัญญัติ เท่านั้น มิอาจกล่าวว่าเป็นความจริงแท้ได้เลย
ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดดับตามเหตุปัจจัย นี้ถือว่าเป็นความจริง แต่พวกสัสสตทิฐิกลับเห็นว่านั่นเป็น "ความลวง"
ขออนุญาตสรุป ชัดๆ ดังนี้ว่า
(๑) สัสสตทิฐิ เห็นว่า มีแต่ สัตว์ และ บุคคล เท่านั้น ที่สามารถตายแล้วเกิดได้
แต่ สัมมาทิฐิ เห็นว่า ไม่มี สัตว์ และ บุคคล เกิดตาย ได้จริงๆ นั่นเป็นเพียงสมมุติ เท่านั้น
(เช่น ถ้าใครเห็นว่า สมมุติบัญญัติ เช่น สัตว์ บุคคล เกิดตายได้จริงๆ ย่อมถือว่าเป็นความเห็นผิด ฝ่าย สัสสตทิฐิ)
(๒) สัสสตทิฐิ เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดดับ นั้นเป็นเพียง "มายา"
แต่ สัมมาทิฐิ เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดดับ นั้นเป็น "ความจริง"
(๓) สัสสตทิฐิ เห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงเกิดตาย มีบางสิ่งเที่ยงแท้ ยืนโรงอยู่
แต่ สัมมาทิฐิ เห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงเกิดดับ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ยั่งยืน เลยสักอย่าง
(เช่น ถ้าใครเห็นว่า สมมุติบัญญัติ เช่น ความเป็นโสดาบัน เที่ยงแท้ ยืนโรง ข้ามภพชาติ ย่อมถือว่าเป็นความเห็นผิด ฝ่าย สัสสตทิฐิ)
*****************************************************************************************
สรุปในสรุป
สำหรับ ประเด็นหลัก ในกระทู้นี้ คันโตนาซี และพวก ก็เพียงแค่ อธิบาย "หลักฐาน" ที่แกยกขึ้นอ้าง
ให้ได้ว่า พวกสัสสตทิฐิ ไม่เชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด" จริงๆ ตามที่แกและพวก กล่าวอ้าง ได้อย่างไร ?
ทั้งๆ ที่หลักฐานดังกล่าว ก็ยืนยันตัวเองอย่างชัดแจ้งว่า พวกสัสสตทิฐิ เขามีความเชื่ออย่างนั้นอยู่ !
หวังว่าจะเข้าใจ ประเด็นของคำถาม นะครับ
สวัสดี