ล็อกอิน เอิงเอย ได้เสนอความเห็นว่า "สัสสตทิฐิ ไม่เท่ากันกับ ตายแล้วเกิด" ซึ่งเมื่อผม(จ้าวนครเมฆขาว)
ได้พบเห็นการแสดง(มิจฉา)ทิฐิ แบบนี้ โดย "แอ๊บ" แบบเนียนๆ ในทำนองว่าเป็นความเห็นชอบในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ก็จำต้องยื่นมือเข้ามา "สะสาง" เป็นธรรมดานะครับ
ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณา พุทธพจน์ จาก สุตตนิบาต ดังต่อไปนี้ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสถึง สัตว์โลก ที่พัวพันด้วย "ทิฐิ" ๒ ประการ คือ
(๑) ยินดี ในภพ ซึ่งเขาย่อมยินดีเพลิดเพลินในภพ ด้วยความเห็นว่า เที่ยง
(๒) อึดอัด ระอา เกลียดชัง ในภพ ซึ่งเขาย่อมยินดีเพลิดเพลินในความขาดสูญ ด้วยความเห็นว่า "ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก"
ทีนี้ อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายความเพิ่มเติมเอาไว้ว่า พระธรรมคำสอน ย่อมเป็นไปเพื่อ "ดับภพเหล่านั้นให้สิ้นสุด"
กล่าวคือ เพื่อไม่ให้เกิดต่อไป จนแม้แต่ การหยั่งลงของจิต ด้วยความยึดมั่นในความเป็นของเที่ยง !
ก็ถ้า "ตายแล้วเกิด" มันหมายถึง การเกิดดับไป "ตามเหตุปัจจัย" โดยปราศจากความยึดติดถือมั่นว่าเป็นตน หรือ ของๆ ตน
หรือ ปราศจาก ความเห็นผิด ในทำนองว่า มีความเที่ยงแท้ ชนิดข้ามภพข้ามชาติ มันก็คงไม่มีปัญหาอะไร หรอกนะครับ !
แต่บังเอิญว่า อัญเดียรถีย์ อย่าง ล็อกอิน เอิงเอย กลับเป็นผู้มีความเห็น "ลามก" ว่า สมมุติบัญญัติ เช่น ความเป็นโสดาบัน
สามารถ "หอบหิ้ว" ข้ามภพข้ามชาติได้ ซึ่งแม้ "ปาก" จะ "มุสา" ว่า มิได้มีความเห็นว่าเป็น อัตตาตัวตน หรือ มีอะไร "เที่ยงแท้"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้า และ อรรถกถาจารย์ ต่างก็ระบุว่า มนุษย์พวกนี้ ล้วนแล้วแต่ ยินดีในภพ เพื่อการเกิด
ด้วยความยึดมั่นในความเป็นของ "เที่ยง" ทั้งนั้นแหละ
ซึ่งทั้งหมดนี้ ชาวพุทธ นิกายเถรวาท ย่อมกล่าวตาม หลักฐาน ที่มีอยู่จริง มิใช่ยืนยันด้วย อัตตโนมัติ นะครับ
สรุป
(๑) ผู้ที่บัญญัติว่า ตายแล้วเกิด หลักฐานจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ระบุว่า เกิดจาก ความยึดมั่นในความเป็นของ "เที่ยง"
(๒) ความยึดมั่นในความเป็นของ "เที่ยง" ล้วนแล้วแต่มี อัตตา ตัวตน เป็นที่ตั้ง ทั้งนั้น แม้ว่า "ปาก" จะปฏิเสธอย่างใดก็ตาม
(๓) ด้วย เหตุผล และ หลักฐาน ตามที่ปรากฏ จึงสามารถสรุปความได้โดยไม่ยากว่า ผู้บัญญัติว่า ตายแล้วเกิด ก็คือ พวก สัสสตทิฐิ นั่นแหละ
ถ้า ล็อกอิน เอิงเอย ต้องการ โต้แย้ง บทความของผม ก็จงแสดง หลักฐาน ให้ชัดแจ้งด้วยเถิด
และถ้าหาก ไม่สามารถโต้แย้งอย่างสมเหตุผลได้ ก็จงแสดงความรับผิดชอบ ดังต่อไปนี้
(๑) ขอโทษ ล็อกอิน คนดู ที่ไปกล่าวหา เขาอย่างผิดๆ
(๒) ขออขมา พระรัตนตรัย ที่ได้กล่าวตู่ พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย อย่างปราศจากความละอาย
สวัสดี
สัสสตทิฐิ ไม่เท่ากับ ตายแล้วเกิด (เหรอ?)
ได้พบเห็นการแสดง(มิจฉา)ทิฐิ แบบนี้ โดย "แอ๊บ" แบบเนียนๆ ในทำนองว่าเป็นความเห็นชอบในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ก็จำต้องยื่นมือเข้ามา "สะสาง" เป็นธรรมดานะครับ
ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณา พุทธพจน์ จาก สุตตนิบาต ดังต่อไปนี้ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสถึง สัตว์โลก ที่พัวพันด้วย "ทิฐิ" ๒ ประการ คือ
(๑) ยินดี ในภพ ซึ่งเขาย่อมยินดีเพลิดเพลินในภพ ด้วยความเห็นว่า เที่ยง
(๒) อึดอัด ระอา เกลียดชัง ในภพ ซึ่งเขาย่อมยินดีเพลิดเพลินในความขาดสูญ ด้วยความเห็นว่า "ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก"
ทีนี้ อรรถกถาจารย์ ได้อธิบายความเพิ่มเติมเอาไว้ว่า พระธรรมคำสอน ย่อมเป็นไปเพื่อ "ดับภพเหล่านั้นให้สิ้นสุด"
กล่าวคือ เพื่อไม่ให้เกิดต่อไป จนแม้แต่ การหยั่งลงของจิต ด้วยความยึดมั่นในความเป็นของเที่ยง !
ก็ถ้า "ตายแล้วเกิด" มันหมายถึง การเกิดดับไป "ตามเหตุปัจจัย" โดยปราศจากความยึดติดถือมั่นว่าเป็นตน หรือ ของๆ ตน
หรือ ปราศจาก ความเห็นผิด ในทำนองว่า มีความเที่ยงแท้ ชนิดข้ามภพข้ามชาติ มันก็คงไม่มีปัญหาอะไร หรอกนะครับ !
แต่บังเอิญว่า อัญเดียรถีย์ อย่าง ล็อกอิน เอิงเอย กลับเป็นผู้มีความเห็น "ลามก" ว่า สมมุติบัญญัติ เช่น ความเป็นโสดาบัน
สามารถ "หอบหิ้ว" ข้ามภพข้ามชาติได้ ซึ่งแม้ "ปาก" จะ "มุสา" ว่า มิได้มีความเห็นว่าเป็น อัตตาตัวตน หรือ มีอะไร "เที่ยงแท้"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้า และ อรรถกถาจารย์ ต่างก็ระบุว่า มนุษย์พวกนี้ ล้วนแล้วแต่ ยินดีในภพ เพื่อการเกิด
ด้วยความยึดมั่นในความเป็นของ "เที่ยง" ทั้งนั้นแหละ
ซึ่งทั้งหมดนี้ ชาวพุทธ นิกายเถรวาท ย่อมกล่าวตาม หลักฐาน ที่มีอยู่จริง มิใช่ยืนยันด้วย อัตตโนมัติ นะครับ
สรุป
(๑) ผู้ที่บัญญัติว่า ตายแล้วเกิด หลักฐานจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ระบุว่า เกิดจาก ความยึดมั่นในความเป็นของ "เที่ยง"
(๒) ความยึดมั่นในความเป็นของ "เที่ยง" ล้วนแล้วแต่มี อัตตา ตัวตน เป็นที่ตั้ง ทั้งนั้น แม้ว่า "ปาก" จะปฏิเสธอย่างใดก็ตาม
(๓) ด้วย เหตุผล และ หลักฐาน ตามที่ปรากฏ จึงสามารถสรุปความได้โดยไม่ยากว่า ผู้บัญญัติว่า ตายแล้วเกิด ก็คือ พวก สัสสตทิฐิ นั่นแหละ
ถ้า ล็อกอิน เอิงเอย ต้องการ โต้แย้ง บทความของผม ก็จงแสดง หลักฐาน ให้ชัดแจ้งด้วยเถิด
และถ้าหาก ไม่สามารถโต้แย้งอย่างสมเหตุผลได้ ก็จงแสดงความรับผิดชอบ ดังต่อไปนี้
(๑) ขอโทษ ล็อกอิน คนดู ที่ไปกล่าวหา เขาอย่างผิดๆ
(๒) ขออขมา พระรัตนตรัย ที่ได้กล่าวตู่ พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย อย่างปราศจากความละอาย
สวัสดี