เห็นเขาพูดในทำนองว่า สัสสตทิฏฐิ ไม่เชื่อว่า ตายแล้วเกิด !

เพียงเพื่อปกป้อง (มิจฉา)ทิฐิชองตน สาวกเม็ดมะขามเพศผู้ ตนนี้ ถึงกับเกิดอาการ "คลุ้มคลั่ง" ฟาดงวงฟาดงา ไม่ดูตาม้าตาเรือ
กล่าวตู่ ใส่ความ ผู้อื่น รวมไปถึง บิดเบือนพระธรรมคำสอน จนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด แต่ที่เลวร้าย และ น่าสมเพชที่สุด ก็คือ

ทำไปทำมา ไอ้หมอนี่ กลับทำตัวเป็น "ทนายหน้าหอ" ให้กับ อัญเดียรถีย์ สัสสตทิฐิ
โดยช่วยกล่าวปกป้อง มิจฉาทิฐิ ของคนนอกศาสนาเหล่านั้น แบบหน้าตาเฉย !



ผมไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่า มันก็รู้ตัวบ้างหรือไม่ว่า กำลังทำอะไรอยู่ ?

เมื่อเขาตั้งประเด็นขึ้นมา ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ก็จำเป็นต้อง "สนองตอบ" ตามสมควร นะครับ
ถึงแม้ว่า ประเด็นเหล่านั้น จะเป็นเรื่องที่ "ซ้ำซาก" และ โง่เขลา ไร้สาระ มากสักเพียงใดก็ตาม

*********************************************************************************************

ประเด็นที่ ๑

ล็อกอิน คันโตนาซี กล่าวแย้ง เพราะไม่เห็นด้วยว่า สัสสตทิฐิ ก็คือ อัญเดียรถีย์ กลุ่มเดียวกับ พวกที่เชื่อว่า ตายแล้วเกิด
ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ มิได้มีความซับซ้อนอะไรเลย ก็เพียงแค่ แต่ละฝ่าย ยกหลักฐานขึ้นแสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร
หรือ อรรถกถาจารย์ อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้อย่างไร เพียงเท่านี้ ก็สามารถหาข้อยุติ ได้แล้ว    หรือมิใช่ ?

ทีนี้ ฝ่ายที่สรุปว่า ความเชื่อว่าตายแล้วเกิด ก็คือ สัสสตทิฐิ นั้นมิได้เป็นการ "ตีความ" เอาเอง
แต่เป็นข้อสรุปที่ตั้งอยู่บน "หลักฐาน" คือ พระบาลีพุทธพจน์ และ อรรถกถา กล่าวคือ

พระพุทธเจ้า และ อรรถกถาจารย์ ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เทวดาและมนุษย์บางพวก "ยินดีแล้วในภพ เพลิดเพลินแล้วในภพ"
ย่อมไม่น้อมใจไปสู่ "ธรรมเพื่อความดับภพ" แต่กลับ ยึดติด พัวพัน อยู่กับความเกิดในภพนั้นๆ ด้วยความเห็นว่า "เที่ยง"



ประเด็นปัญหา ก็คือ สัตว์โลก ที่ยินดีในภพ ยังยึดติดถือมั่นในภพทั้งหลาย ด้วยความเห็นว่าเที่ยง นี้มิใช่ สัสสตทิฐิ ละหรือ ?
ประการต่อมา ก็คือ สัตว์โลกเหล่านี้ ซึ่งยึดติดถือมั่นในภพ ด้วยความเห็นว่าเที่ยง แต่กลับไม่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" กระนั้นหรือ ?



ดังนั้น ถ้า ล็อกอิน คันโตนาซี จะปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับว่า สัสสตทิฐิ ก็คือ พวกที่เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด"
คันโตนาซี ก็จำต้องระบุว่า สัสสตทิฐิ พวกนี้ เชื่อว่า "ตายแล้วสูญ" น่ะสิ !

ทั้งนี้ จงอย่าลืมว่า มิจฉาทิฐิ สุดโต่ง มันก็มีอยู่ ๒ ฝ่าย ๒ ขั้ว นี้เท่านั้น
ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า "ตายแล้วสูญ" อีกฝ่ายหนึ่ง มันก็เชื่อว่า "ตายแล้วเกิด"
ซึ่งนี่ย่อมเป็นประเด็น ที่คนอย่างแก จำต้องอธิบายความให้ชัดเจน ด้วยนะครับ

*********************************************************************************************

ประเด็นที่ ๒

เรื่องนี้ ประเด็นนี้ ค่อนข้างไปในทาง "กล่าวตู่" ใส่ร้ายกันเสียมากกว่า (ถ้าเราตัดประเด็นเรื่อง "ความโง่เง่า" หรือ โกรธจน "หูอื้อตายลาย" ออกไป)
เนื่องจาก ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า มีใครคนใด ที่กล่าวในทำนองว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ของ "พระพุทธเจ้า" เป็น "มิจฉาทิฐิ" ?

ขอให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาตาม "หลักฐาน" เท่าที่ปรากฏอยู่จริง ดังนี้

(๑) จำเพาะ ตัวของผมเอง(จ้าวนครเมฆขาว) ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่บรรลุ วิชชาที่ ๑ และ ๒ นั้นคือ พระโพธิสัตว์ เจ้าชายสิทธัตถะ
นั่นจึงหมายความว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่เป็น "มิจฉาทิฐิ" นั้นหมายถึง การระลึกชาติ ของเจ้าชายสิทธัตถะ มิใช่ของ พระพุทธเจ้า

หวังว่า ทุกๆ คนในที่นี้ คงสามารถแยกแยะ พระโพธิสัตว์ กับ พระพุทธเจ้า ออกจากกันได้ นะครับ



(๒) อีกประการหนึ่ง ก็คือ ผมยก การระลึกชาติของพวกอัญเดียรถีย์ ขึ้นอ้างว่า นั่นเป็นการระลึกชาติ ที่เป็น มิจฉาทิฐิ
ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่า คงไม่มีใครคิดว่า อัญเดียรถีย์ ฝ่ายสัสสตทิฐิ เหล่านั้น หมายถึง พระพุทธเจ้า กระมัง ?



ดังนั้น ประเด็นที่ ๒ นี้ จึงเป็นเรื่องของการอ้างอิงหลักฐาน ประกอบการกล่าวหา เพราะถ้าหากกล่าวหาผู้อื่นโดยไร้หลักฐาน
ก็ย่อมเป็นการกล่าวหาที่ไร้ความชอบธรรม ส่วนประเด็นที่ว่า "มัน" จะรับผิดชอบการกระทำ "ชั่วๆ" ของมันอย่างไรนั้น ผมไม่ทราบจริงๆ

จบไหมครับ ?

*********************************************************************************************

ประเด็นที่ ๓ และ ๔

สองประเด็นนี้ น่าจะตอบรวมกันได้ เพราะเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว ได้ความว่า
ไอ้หมอนี่ กำลังทำตัวเป็น "ทนายหน้าหอ" แก้ต่างให้กับพวกอัญเดียรถีย์ว่า การระลึกชาติ ของคนพวกนั้น ไม่เป็น มิจฉาทิฐิ !



ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้า และ อรรถกถาจารย์ ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ........

สำหรับบุคคลผู้ปรารถนาวัฏฏะ(ภพ) การปฏิบัติใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น สมาบัติ ๘ หรือ อภิญญา
หากคล้อยตามวัฏฏะ หรือ เป็นการประกอบสัตว์ไว้(ในวัฏฏะ) ด้วยเหตุ คือ ปราศจาก "โยนิโสมนสิการ"
ไม่พิจารณา "เห็น" ตามความเป็นจริง ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาญาณ ว่าเป็นเพียงแค่ การเกิดดับของกองสังขาร
ย่อมจัดเป็น มิจฉาปฏิปทา อันหมายถึง มิจฉาทิฐิ ฯลฯ นั่นเอง



ดังนั้น ประเด็นของเรื่องนี้ ก็คือ ถ้าหาก ล็อกอิน คันโตนาซี ยังจะยืนยัน "ทิฐิ" ของตนเองว่า
การระลึกชาติของอัญเดียรถีย์ สัสสตทิฐิ เป็นความเห็นถูก(กร๊ากกกกกกกกกก)

คันโตนาซี ก็จงแสดงหลักฐานให้เห็นอย่างชัดแจ้งด้วยเถิดว่า อัญเดียรถีย์เหล่านั้น
พิจารณาเห็น การระลึกชาติ ด้วยวิปัสสนาญาณ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยหรืออย่างไร ?

เพราะถ้าหากไม่มีหลักฐานดังว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมา ก็คือ คันโตนาซี อาศัยหลักการอะไร จึงสรุปความโง่ๆ แบบนั้น
โดยไม่ใส่ใจ "โยนิโสมนสิการ" ใน พระสูตร และ อรรถกถา ที่ผมยกขึ้นแสดง เลยแม้สักนิด !

ทั้งนี้ ผมขออนุญาต ย้ำเตือนว่า ชาวพุทธเถรวาท ไม่สามารถใช้ อัตตโนมัติ ของตนเองเป็นข้อยุติใดๆ ได้
หากแต่จำต้องอ้างอิงพระบาลีพุทธพจน์ว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อย่างนี้ๆ
หรืออย่างน้อย ก็ควรอ้างอิงได้ว่า อรรถกถาจารย์ อธิบายความเอาไว้ อย่างนี้ๆ

มิใช่ อาศัยแต่การ "ตีความ" ด้วยมิจฉาทิฐิของตน แบบเลยเถิด และขาดสติ
จนกลายสภาพเป็น "ทนายหน้าหอ" ให้กับ อัญเดียรถีย์ ทั้งๆ ที่อ้างตัวอ้างตน มาโดยตลอดว่าเป็น ชาวพุทธ
ดังที่ปรากฏ "หลักฐาน" ประจาน "ตนเอง" ให้เห็นกันอยู่ในบัดนี้ นั่นแล ฯ

จบไหมครับ ?

*********************************************************************************************

ประเด็นที่ ๕

อันนี้ เป็นการกล่าวย้ำ นะครับ คือ ไอ้หมอนั่น เขาพยายามกล่าวย้ำ "มิจฉาทิฐิ" โง่ๆ เพราะกลัวคนลืม ดังนี้ว่า



ความข้อนี้ ต้องถือว่าเป็น ความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ทีเดียว นะครับ

เพราะในความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติของสัตว์โลก โดยพื้นฐาน ย่อมเป็น สัสสตทิฐิ ในฐานะ "ปุถุชน" ด้วยกันทั้งนั้น
จึงไม่แปลกที่ วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต ลัทธิความเชื่อ ฯลฯ รวมไปถึงภาษา ที่ใช้ในการสื่อสาร
ล้วนแล้วแต่ถูกพัฒนาสร้างสรรขึ้น ภายใต้อิทธิพลของ สัสสตทิฐิ ทั้งสิ้น !

ที่กล่าวกันว่าเป็น "โวหารโลก" เป็นภาษาของชาวโลกนี้ มันก็หมายถึง ภาษาแบบ สัสสตทิฐิ นั่นแหละ
ที่พูดกันว่า เราๆ ท่านๆ ฉันๆ เธอๆ แบบนี้ มิใช่ ภาษาสัสสตทิฐิ หรืออย่างไรกัน ?

ประเด็น มันจึงอยู่ที่ว่า หากไม่พูดด้วยภาษาสัสสตทิฐิ มันก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เมื่อพูดกับชาวโลก ก็ต้องพูดด้วยภาษาของชาวโลก
แต่เมื่อพระอรหันต์พูดภาษาของชาวโลก มันย่อมมีความหมายในเชิงลึก ที่แตกต่างออกไปเป็นธรรมดา ตัวอย่างเช่น

หากเป็นชาวโลกทั่วไป เมื่อพูดภาษาแบบโลกๆ ก็ย่อมพูดด้วยอำนาจแห่ง ตัณหา ทิฐิ หรือ มานะ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
แต่พระอรหันต์นั้นเป็นผู้ฉลาด ทราบคำพูดในโลก พึงกล่าวตามสมมุติที่พูดกัน แต่ "ก้าวล่วงแล้ว ซึ่งความสำคัญตนในตัณหา ทิฐิ และ มานะ"



สรุปให้ฟังแบบง่ายๆ ก็คือ เวลาพระอรหันต์พูดภาษาของชาวโลก ซึ่งเป็นภาษาแบบ สัสสตทิฐิ นั้น
ท่านพูดด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า มันเป็นเพียงสมมุติ แม้ท่านกล่าวถึง สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ท่านก็กล่าวด้วยความไม่ยึดติดถือมั่น ว่าเป็นตน หรือ ของๆ ตน เมื่อท่านกล่าวถึง การเวียนว่ายตายเกิด
ท่านก็ย่อมกล่าวด้วยความเข้าใจว่า แท้ที่จริงมันก็เป็นแค่เพียง กระแสการเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยของ "สังขาร"
โดยมิได้ "สำคัญมั่นหมาย" ว่านั่น เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ฯลฯ จริงๆ จังๆ อย่างที่ชาวโลก หรือ พวกสัสสตทิฐิ เขายึดถือกัน

ทีนี้ คันโตนาซี กล่าวแย้งว่า

"พระพุทธเจ้ามิได้บอกว่า เวียนว่ายตายเกิดเป็นสัสสตทิฐิ นะครับ"

ซึ่งมัน "ผิด" มาตั้งแต่ตรงนี้แล้วนะครับ ก็ภาษาโลก โวหารโลกนี้ โดยธรรมชาติของมัน มันก็เป็น สัสสตทิฐิ มาตั้งแต่แรกแล้ว
การเวียนว่ายตายเกิดนี้ มันเป็นการกล่าวถึง การเวียนตายเวียนเกิดของ สัตว์ บุคคล ฯลฯ หรือเปล่าล่ะ ?
ถ้าใช่ ก็ย่อมแปลว่า มันเป็น สัสสตทิฐิ มาแต่แรกแล้วครับ กล่าวคือ มันเป็น ภาษาแบบสัสสตทิฐิ โดยไม่จำเป็นต้องระบุกำกับเอาไว้เลยด้วยซ้ำ !

ประเด็นมันจึงเป็นไปตาม ข้อความจาก อรหันตสูตร ที่ระบุว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย
แม้กล่าวด้วยภาษาของชาวโลก แต่ก็กล่าวด้วยความไม่ยึดติดถือมั่น !

ทีนี้ ถ้า คันโตนาซี จะยืนยันว่า เมื่อพวกอัญเดียรถีย์ กล่าวถึง การเวียนว่ายตายเกิด เขาก็กล่าวด้วยความไม่ยึดติดถือมั่น
หรือถ้า คันโตนาซี จะยืนยันว่า เมื่อพวกอัญเดียรถีย์ กล่าวถึง การระลึกชาติ เขาก็กล่าวด้วยความไม่ยึดติดถือมั่น
เฉกเช่นเดียวกันกับที่ พระอรหันต์ทั้งหลายในพระธรรมวินัยนี้ ล้วนกล่าวถึงเรื่องเหล่านั้น ด้วยความไม่ยึดติดถือมั่น ใช่หรือไม่ ?

ก็ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง นั่นย่อมหมายความว่า คันโตนาซี กำลังทำตัวเป็น "นายประกัน"
ให้กับอัญเดียรถีย์เหล่านั้นว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติ ดุจเดียวกับพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา น่ะสิ !
ผมเห็นว่า คันโตนาซี จำเป็นต้องอธิบายประเด็นนี้ ให้ชัดเจน นะครับ

สุดท้ายนี้ ขออนุญาต เน้นย้ำว่า คำสอนใด ก็ตาม ที่เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้ในวัฏฏะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับท่านพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ว่า "นั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา"



หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงไม่มีชาวพุทธเถรวาทท่านใด "กล้า" โต้แย้งหลักการ อันสำคัญยิ่งนี้ นะครับ



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่