เมื่อเห็นการ ดิ้นรน แถกแถ ของพวกเม็ดมะขาม ก็ได้แต่นึก "สมเพช" ในอนาคตของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ในประเทศไทย
ทั้งๆ ที่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ความเชื่อว่า โสดาบัน "หอบหิ้ว" ข้ามภพข้ามชาติได้ หรือ ความเป็นอริยบุคคล มีตั้งแต่อยู่ในครรภ์
เป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของ อัญเดียรถีย์ นิกาย อุตตราปถะ ที่ถูกท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ "จับสึก" ไปเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓
แต่พวก เม็ดมะขาม กลับยังพยายาม ยืนยัน ในความเห็นผิดของตนอยู่ แม้ว่าจะขัดกับหลักฐานจากพระอภิธรรมปิฎก ก็ตาม
หากถามว่า พวกเม็ดมะขาม แถกแถ อย่างไร ?
ตอบว่า ล็อกอิน คันโตนาซี ได้ยก พระสูตร และ อรรถกถา ขึ้นอ้าง เพื่อ "ตีความ" เข้าข้าง มิจฉาทิฐิของพวกมัน ดังนี้ว่า
ในเมื่อ อัญเดียรถีย์ พวกนี้ อุตส่าห์ "หน้าด้าน" ตีความพระบาลีและอรรถกถา ได้อย่างน่าสมเพช ถึงเพียงนี้แล้ว
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท จึงจำต้อง "ชำระ" สะสางความมัวหมอง ให้กระจ่างชัด ดังต่อไปนี้
สิ่งแรก ที่ท่านทั้งหลายพึงพิจารณา อย่างรอบคอบ ก็คือ ทั้งพระสูตร และ อรรถกถา ที่คนพวกนี้ยกขึ้นมาอ้าง
แท้ที่จริงแล้ว ไม่พบว่า มีข้อความใดระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งเลยว่า (๑) สามารถบรรลุธรรมตั้งแต่ยังนอนในครรภ์ หรือ
(๒) สามารถหอบหิ้วความเป็นโสดาบันข้ามภพชาติได้
หลักฐาน ๑ อรรถกถา
ข้อความจาก อรรถกถา ที่อ้างถึง ก็ระบุเพียงว่า พระอริยบุคคล ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
(และ)ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเป็นพระอริยสาวก ท่านก็ยังคงเคร่งครัดในศีล ฯลฯ
ประเด็นแรก ข้อที่กล่าวถึง การเวียนว่ายตายเกิดของพระอริยบุคคล นี้เป็นเพียงแค่ โวหารโลก เป็นภาษาสมมุติ
ซึ่งย่อมมิใช่ข้อยืนยัน หรือ หลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า สามารถ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบัน ข้ามภพชาติไปได้
เพราะตัวหลักฐานเอง ก็มิได้กล่าวเอาไว้อย่างนั้นสักหน่อย หากแต่เป็นการ "คิดปรุงแต่ง" ของตัวผู้อ่าน เสียมากกว่า
แต่ในทางกลับกัน ย่อมสามารถพิจารณาได้ว่า เป็นเพราะพวกนิกาย อุตตราปถะ ฟังความข้อนี้ ด้วย ตัณหาอุปาทาน
จึงเข้าใจผิดไปว่า สามารถ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบันข้ามภพชาติไปได้จริงๆ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ส่วนประเด็นที่ว่า อริยบุคคล นั้นอาจไม่รู้ว่าตนเป็น อริยะสาวก นี่เป็นเพียงการอธิบายความว่า
ท่านไม่ทราบว่าจะ "สมมุติ" เรียก "สภาวะ" ตามที่เป็นอยู่จริงของ "อัตตภาพ" นี้ว่าอย่างไร เท่านั้นเอง
แต่ สภาวธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คุณธรรม หรือ ศีลธรรม อะไรก็ตาม ท่านย่อม "รู้แจ้ง" แก่ใจ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
กล่าวโดยสรุป ก็คือ หลักฐาน ในชั้นอรรถกถาชิ้นนี้ มิได้นำมาซึ่งข้อสรุป ที่พวกอัญเดียรถีย์ต้องการ
หรือ สามารถใช้เป็นข้อคัดค้าน หลักฐานจาก กถาวัตถุ ซึ่งเป็นหลักฐานชั้นพระไตรปิฎก ได้เลย
หลักฐาน ๒ มหานิทเทส ของท่านพระสารีบุตร
การยกหลักฐานนี้ขึ้นอ้างเพื่อ "ชี้นำ" ว่า "กิเลส" ที่ "อริยบุคคล" ละแล้ว ย่อมไม่เกิดกลับคืนมาอีก
หรือ อาจกล่าวได้อีกแบบหนึ่งว่า "สังโยชน์" ที่ "อริยบุคคล" ละแล้ว ย่อมไม่เกิดกลับคืนมาอีก
แต่ปัญหาที่เกิดกับ พวกเม็ดมะขาม ก็คือ มันสามารถ "เข้าใจ" ความข้อนี้ ได้อย่างถูกต้องมากน้อยเพียงใด น่ะสิ ?
ประการแรก ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ ว่า อริยบุคคล ที่กล่าวถึงนี้ เป็นเพียงแค่ สมมุติบัญญัติ เราไม่มีทางกล่าวว่า
สมมุติบัญญัติใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีความเที่ยงแท้ ชนิดข้ามภพข้ามชาติ ได้หรอก
เพราะนั่นมันเป็น มิจฉาทิฐิ ของพวก อัญเดียรถีย์ นอกพระพุทธศาสนา !
ก็ในเมื่อ ความข้อนี้ ระบุถึง สมมุติบัญญัติ มันก็ย่อมหมายความว่า ที่กล่าวว่า ความเป็นอริยบุคคล ไม่เสื่อม
หรือ อริยบุคคล สามารถ ละสังโยชน์ ข้อนั้นข้อนี้ได้ โดยที่มันไม่มีทางหวนกลับมาอีกนั้น
มีขอบเขตของความหมาย อย่างเจาะจง เฉพาะสมมุติบัญญัติหนึ่งๆ ในภพปัจจุบันเท่านั้น
โดยไม่สามารถ พิจารณาใน ขอบเขต ที่ไกลจนถึงขนาด ข้ามภพข้ามชาติ อย่างที่พวกอัญเดียรถีย์เข้าใจ(ผิด)กัน
ทั้งนี้ เหตุผล ที่สามารถใช้ "ยืนยัน" ก็ปรากฏอยู่ใน "หลักฐาน" ที่พวกเม็ดมะขาม ยกขึ้นอ้างนั่นเอง
ท่านทั้งหลาย จงสังเกต ให้ดีๆ สิครับ ข้อความ ดังกล่าวนั้น ระบุ อย่างชัดเจนว่า
(๑) บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม เป็นไฉน ?
(๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ .........
ขอให้สังเกตด้วยว่า เมื่อกล่าวถึง บุคคล ซึ่งเป็น สมมุติบัญญัติ จักกล่าวเฉพาะ บุคคลในโลกนี้ เท่านั้น
เพราะคุณสมบัติประการต่างๆ ตามที่กล่าวถึง มันชี้เฉพาะ "บุคคล" อันเป็นสมมุติของ อัตตภาพหนึ่งๆ ในภพหนึ่งๆ
ว่าหมายถึง บุคคลผู้นั้น ผู้มีชื่ออย่างนั้น ตระกูลนั้น อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เท่านั้น โดยมิได้มีความหมายแบบข้ามภพชาติ แต่อย่างใด !
สรุปแล้ว ผมยังมองไม่เห็นทางเลยว่า หลักฐานต่างๆ ที่พวกเม็ดมะขาม ยกขึ้นแสดงนี้ จะบ่งชี้ว่า
ทิฐิความเห็นผิดของพวกมัน จะกลายเป็น สัมมาทิฐิ ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ไปได้อย่างไร ?
อย่าได้พยายาม "ตีความ" กล่าวตู่ เพื่อปกป้อง มิจฉาทิฐิของตนและพวก อีกเลย นะครับ
หัดรู้จัก อายชั่ว กลัวบาป กันเสียบ้างสิ
***************************************************************************************************************
ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ที่พบว่า กลุ่มบุคคล ที่เคยพยายาม กล่าวร้ายโจมตีท่านพุทธทาส ในเรื่อง "ฉีก" พระไตรปิฎก
ทั้งๆ ที่ท่านปยุตโต ก็ได้อธิบายความอย่างชัดเจนว่า นั่นเป็นการ "ตัดตอน" ข้อความของท่านเพียงบางแง่บางส่วน
มา "ตีความ" เอาเองด้วย อัตตโนมัติ คือ ความนึกคิดส่วนตน แล้วเอาไปยัดใส่ปากท่าน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
แน่นอนว่า พวกเม็ดมะขาม ย่อมไม่ไยดีต่อคำเตือนของท่านปยุตโต อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้ว่า คนถ่อยพวกนี้
ก็ยังคง กล่าวร้ายโจมตีท่านพุทธทาส ด้วย "หลักฐาน + อัตตโนมัติ" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างปราศจากความละอาย
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ หลักฐาน มติของท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ จากพระอภิธรรมปิฎก ที่ระบุว่า
ความเห็นในทำนองว่า เป็นโสดาบันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ของพวก นิกาย อุตตรปถะ นั้นเป็นความเห็นผิด
นี่เป็น หลักฐานชั้นต้น จากพระไตรปิฎก ที่ชาวพุทธเถรวาท ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ !
แต่จะด้วยความ หน้าด้าน เพราะหมดทางดิ้นแล้วจริงๆ หรือ จะด้วยเหตุผลอะไร มิอาจทราบได้
พวกเม็ดมะขาม กลับพยายาม ยกหลักฐานจากพระสูตร และอรรถกถาขึ้นมา "ตีความ" เพื่อ "โต้แย้ง" อย่างโง่ๆ
กรณีหลักฐานจากอรรถกถา ยกไว้ เพราะไม่ว่าตีความอย่างไรๆ ก็มิอาจใช้แย้งหลักฐานจากพระไตรปิฎกได้อยู่แล้ว
สุดท้ายจึงเหลือเพียงแค่ หลักฐานจาก มหานิทเทส ของท่านพระสารีบุตร และ ปุคคลบัญญัติปกรณ์ จากพระอภิธรรมปิฎก
แต่หลักฐานจากทั้ง ๒ แหล่งนั้น กลับมิได้แสดงให้เห็นว่า มิจฉาทิฐิของพวก นิกาย อุตตราปถะ จะมีความถูกต้องไปได้เลย
เพราะเมื่อพิจารณา หลักฐานทั้ง ๒ โดยเทียบเคียงกับ พระสูตร ซึ่งเป็นพระพุทธดำรัสแท้ๆ ย่อมทำให้ทราบอย่างหมดข้อสงสัยว่า
ความไม่เสื่อมในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ ของอริยบุคคลทั้งหลายนั้น หมายเอาเฉพาะ สมมุติบัญญัติของอัตตภาพหนึ่งๆ ในภพปัจจุบัน
ที่สามารถระบุ ชื่อตัว และชื่อสกุล ได้อย่างจำเพาะเจาะจง โดยมิได้มีความหมายกว้างขวาง ล่วงเลยไป จนถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติ
เพราะถ้าหาก "ตีความ" แบบผิดๆ อย่างนั้น ก็จะเท่ากับการกล่าวว่า สมมุติบัญญัติ เที่ยงแท้ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ในฝ่ายสัสสตทิฐิ ไปเสียอีก
ดังนั้น ถ้าชาวพุทธเถรวาท สามารถพิจารณาความต่างๆ ด้วย หลักการและเหตุผล ที่ถูกต้องสอดคล้องกับพระธรรมคำสอน
ก็ย่อมสามารถ "เห็น" ได้โดยไม่ยากว่า หลักฐานทั้งหมด ตามที่ปรากฏอยู่นี้ ไม่มีความขัดแย้งกันเลย แม้แต่น้อย !
แต่ถ้าพวกเม็ดมะขาม จะยืนยันความเชื่อในการ "ตีความ" แบบผิดๆ ของตนเองให้ได้ มันก็ย่อมหมายความว่า ข้อความจาก กถาวัตถุ ผิด
หรือก็คือ พวกเม็ดมะขาม กำลังยืนยันว่า ทิฐิของ นิกาย อุตตราปถะ เป็นฝ่ายถูกต้อง ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ที่พวกเม็ดมะขาม ยืนยันมาโดยตลอดว่า พระไตรปิฎกทั้งหมด มีความสอดคล้องกัน ก็ไม่จริง
เพราะในขณะนี้ พวกเม็ดมะขาม กำลังกล่าวว่า ข้อความจากกถาวัตถุ ผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับการ "ตีความ" พระธรรมวินัยโดยพวกแกเอง
คันโตนาซีเองมิใช่หรือ ที่กล่าวเอาไว้ว่า "คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีวันขัดแย้งกัน"
ก็ในเมื่อ แกและพวก พยายามยืนยัน มิจฉาทิฐิของตนเองว่า ถูกต้อง มันก็ต้องหมายความว่า คัมภีร์กถาวัตถุ ผิดพลาด น่ะสิ
และก็เป็น คันโตนาซี อีกนั่นแหละ ที่กล่าวว่า (๑) ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ขัดกัน
(๒) มีแต่ไอ้พวกบ้าที่บิดเบือนธรรมของพระองค์นั่นแหละที่เห็นว่าขัดกัน
คำถาม ก็คือ ในกรณีนี้ ระหว่าง คันโตนาซี และ สหายร่วมบาป ซึ่งเชื่อว่า สามารถบรรลุธรรมได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
กับ ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ซึ่งมีมติว่า นั่นเป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของพวกอัญเดียรถีย์(นิกายอุตตรปถะ)
ฝ่ายใดกันแน่ครับ ที่เป็น "ไอ้พวกบ้า" ซึ่งกำลังบิดเบือนพระธรรมวินัย ?
ถ้าคันโตนาซีและพวก ยังยืนยันคำเดิมอยู่ว่า ตนและพวก รวมไปถึง พวกอัญเดียรถีย์(นิกายอุตตรปถะ) เป็นฝ่ายถูกต้อง
นั่นย่อมหมายความว่า "ไอ้พวกบ้า" ที่แกพูดถึง ก็ต้องเป็น คัมภีร์กถาวัตถุ(อภิธรรมปิฎก) และท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ น่ะสิ !
กรณี เช่นนี้ สามารถถือว่าเป็นการ ปรามาส พระไตรปิฎก และ ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ หรือไม่ ?
ท่านทั้งหลาย ก็จงตรองดูเถิด
และแม้ว่าปากของพวกอัญเดียรถีย์เม็ดมะขาม ไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ ว่า จะ "ฉีก" พระไตรปิฎก
แต่ "ใจ" ของพวกมัน ก็ได้ "ฉีก" พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งเป็นพระอภิธรรมปิฎก ออกไปแล้ว ๑ หน้า มิใช่หรือ ?
กล่าวโดยสรุป ก็คือ กลุ่มบุคคล ซึ่งมักอวดอ้างตนเองว่า จะปกป้องพระไตรปิฎก ในทุกกรณี กลับ "ปฏิเสธ" พระไตรปิฎก เสียเอง
เพียงเพราะว่า ข้อความจากพระไตรปิฎก ในส่วนนั้น ขัดกับ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของพวกตน ที่มิอาจ ละทิ้ง ไปได้
พวกแก นี่ช่างไม่รู้จัก ความละอาย เสียบ้างเลยนะ !
ปล. ประเด็นปลีกย่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ขออนุญาต ไม่อธิบาย เพราะเกินจำเป็น และ ไม่มีเวลาว่างมากพอ
การฉีกพระไตรปิฎก เพื่อปกป้อง มิจฉาทิฐิของตน
ทั้งๆ ที่ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ความเชื่อว่า โสดาบัน "หอบหิ้ว" ข้ามภพข้ามชาติได้ หรือ ความเป็นอริยบุคคล มีตั้งแต่อยู่ในครรภ์
เป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของ อัญเดียรถีย์ นิกาย อุตตราปถะ ที่ถูกท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ "จับสึก" ไปเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓
แต่พวก เม็ดมะขาม กลับยังพยายาม ยืนยัน ในความเห็นผิดของตนอยู่ แม้ว่าจะขัดกับหลักฐานจากพระอภิธรรมปิฎก ก็ตาม
หากถามว่า พวกเม็ดมะขาม แถกแถ อย่างไร ?
ตอบว่า ล็อกอิน คันโตนาซี ได้ยก พระสูตร และ อรรถกถา ขึ้นอ้าง เพื่อ "ตีความ" เข้าข้าง มิจฉาทิฐิของพวกมัน ดังนี้ว่า
ในเมื่อ อัญเดียรถีย์ พวกนี้ อุตส่าห์ "หน้าด้าน" ตีความพระบาลีและอรรถกถา ได้อย่างน่าสมเพช ถึงเพียงนี้แล้ว
ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเถรวาท จึงจำต้อง "ชำระ" สะสางความมัวหมอง ให้กระจ่างชัด ดังต่อไปนี้
สิ่งแรก ที่ท่านทั้งหลายพึงพิจารณา อย่างรอบคอบ ก็คือ ทั้งพระสูตร และ อรรถกถา ที่คนพวกนี้ยกขึ้นมาอ้าง
แท้ที่จริงแล้ว ไม่พบว่า มีข้อความใดระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งเลยว่า (๑) สามารถบรรลุธรรมตั้งแต่ยังนอนในครรภ์ หรือ
(๒) สามารถหอบหิ้วความเป็นโสดาบันข้ามภพชาติได้
หลักฐาน ๑ อรรถกถา
ข้อความจาก อรรถกถา ที่อ้างถึง ก็ระบุเพียงว่า พระอริยบุคคล ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
(และ)ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเป็นพระอริยสาวก ท่านก็ยังคงเคร่งครัดในศีล ฯลฯ
ประเด็นแรก ข้อที่กล่าวถึง การเวียนว่ายตายเกิดของพระอริยบุคคล นี้เป็นเพียงแค่ โวหารโลก เป็นภาษาสมมุติ
ซึ่งย่อมมิใช่ข้อยืนยัน หรือ หลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า สามารถ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบัน ข้ามภพชาติไปได้
เพราะตัวหลักฐานเอง ก็มิได้กล่าวเอาไว้อย่างนั้นสักหน่อย หากแต่เป็นการ "คิดปรุงแต่ง" ของตัวผู้อ่าน เสียมากกว่า
แต่ในทางกลับกัน ย่อมสามารถพิจารณาได้ว่า เป็นเพราะพวกนิกาย อุตตราปถะ ฟังความข้อนี้ ด้วย ตัณหาอุปาทาน
จึงเข้าใจผิดไปว่า สามารถ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบันข้ามภพชาติไปได้จริงๆ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ส่วนประเด็นที่ว่า อริยบุคคล นั้นอาจไม่รู้ว่าตนเป็น อริยะสาวก นี่เป็นเพียงการอธิบายความว่า
ท่านไม่ทราบว่าจะ "สมมุติ" เรียก "สภาวะ" ตามที่เป็นอยู่จริงของ "อัตตภาพ" นี้ว่าอย่างไร เท่านั้นเอง
แต่ สภาวธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คุณธรรม หรือ ศีลธรรม อะไรก็ตาม ท่านย่อม "รู้แจ้ง" แก่ใจ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
กล่าวโดยสรุป ก็คือ หลักฐาน ในชั้นอรรถกถาชิ้นนี้ มิได้นำมาซึ่งข้อสรุป ที่พวกอัญเดียรถีย์ต้องการ
หรือ สามารถใช้เป็นข้อคัดค้าน หลักฐานจาก กถาวัตถุ ซึ่งเป็นหลักฐานชั้นพระไตรปิฎก ได้เลย
หลักฐาน ๒ มหานิทเทส ของท่านพระสารีบุตร
การยกหลักฐานนี้ขึ้นอ้างเพื่อ "ชี้นำ" ว่า "กิเลส" ที่ "อริยบุคคล" ละแล้ว ย่อมไม่เกิดกลับคืนมาอีก
หรือ อาจกล่าวได้อีกแบบหนึ่งว่า "สังโยชน์" ที่ "อริยบุคคล" ละแล้ว ย่อมไม่เกิดกลับคืนมาอีก
แต่ปัญหาที่เกิดกับ พวกเม็ดมะขาม ก็คือ มันสามารถ "เข้าใจ" ความข้อนี้ ได้อย่างถูกต้องมากน้อยเพียงใด น่ะสิ ?
ประการแรก ต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ ว่า อริยบุคคล ที่กล่าวถึงนี้ เป็นเพียงแค่ สมมุติบัญญัติ เราไม่มีทางกล่าวว่า
สมมุติบัญญัติใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีความเที่ยงแท้ ชนิดข้ามภพข้ามชาติ ได้หรอก
เพราะนั่นมันเป็น มิจฉาทิฐิ ของพวก อัญเดียรถีย์ นอกพระพุทธศาสนา !
ก็ในเมื่อ ความข้อนี้ ระบุถึง สมมุติบัญญัติ มันก็ย่อมหมายความว่า ที่กล่าวว่า ความเป็นอริยบุคคล ไม่เสื่อม
หรือ อริยบุคคล สามารถ ละสังโยชน์ ข้อนั้นข้อนี้ได้ โดยที่มันไม่มีทางหวนกลับมาอีกนั้น
มีขอบเขตของความหมาย อย่างเจาะจง เฉพาะสมมุติบัญญัติหนึ่งๆ ในภพปัจจุบันเท่านั้น
โดยไม่สามารถ พิจารณาใน ขอบเขต ที่ไกลจนถึงขนาด ข้ามภพข้ามชาติ อย่างที่พวกอัญเดียรถีย์เข้าใจ(ผิด)กัน
ทั้งนี้ เหตุผล ที่สามารถใช้ "ยืนยัน" ก็ปรากฏอยู่ใน "หลักฐาน" ที่พวกเม็ดมะขาม ยกขึ้นอ้างนั่นเอง
ท่านทั้งหลาย จงสังเกต ให้ดีๆ สิครับ ข้อความ ดังกล่าวนั้น ระบุ อย่างชัดเจนว่า
(๑) บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม เป็นไฉน ?
(๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ .........
ขอให้สังเกตด้วยว่า เมื่อกล่าวถึง บุคคล ซึ่งเป็น สมมุติบัญญัติ จักกล่าวเฉพาะ บุคคลในโลกนี้ เท่านั้น
เพราะคุณสมบัติประการต่างๆ ตามที่กล่าวถึง มันชี้เฉพาะ "บุคคล" อันเป็นสมมุติของ อัตตภาพหนึ่งๆ ในภพหนึ่งๆ
ว่าหมายถึง บุคคลผู้นั้น ผู้มีชื่ออย่างนั้น ตระกูลนั้น อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เท่านั้น โดยมิได้มีความหมายแบบข้ามภพชาติ แต่อย่างใด !
สรุปแล้ว ผมยังมองไม่เห็นทางเลยว่า หลักฐานต่างๆ ที่พวกเม็ดมะขาม ยกขึ้นแสดงนี้ จะบ่งชี้ว่า
ทิฐิความเห็นผิดของพวกมัน จะกลายเป็น สัมมาทิฐิ ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ไปได้อย่างไร ?
อย่าได้พยายาม "ตีความ" กล่าวตู่ เพื่อปกป้อง มิจฉาทิฐิของตนและพวก อีกเลย นะครับ
หัดรู้จัก อายชั่ว กลัวบาป กันเสียบ้างสิ
***************************************************************************************************************
ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ที่พบว่า กลุ่มบุคคล ที่เคยพยายาม กล่าวร้ายโจมตีท่านพุทธทาส ในเรื่อง "ฉีก" พระไตรปิฎก
ทั้งๆ ที่ท่านปยุตโต ก็ได้อธิบายความอย่างชัดเจนว่า นั่นเป็นการ "ตัดตอน" ข้อความของท่านเพียงบางแง่บางส่วน
มา "ตีความ" เอาเองด้วย อัตตโนมัติ คือ ความนึกคิดส่วนตน แล้วเอาไปยัดใส่ปากท่าน ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
แน่นอนว่า พวกเม็ดมะขาม ย่อมไม่ไยดีต่อคำเตือนของท่านปยุตโต อยู่แล้ว ดังจะเห็นได้ว่า คนถ่อยพวกนี้
ก็ยังคง กล่าวร้ายโจมตีท่านพุทธทาส ด้วย "หลักฐาน + อัตตโนมัติ" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างปราศจากความละอาย
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ หลักฐาน มติของท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ จากพระอภิธรรมปิฎก ที่ระบุว่า
ความเห็นในทำนองว่า เป็นโสดาบันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ของพวก นิกาย อุตตรปถะ นั้นเป็นความเห็นผิด
นี่เป็น หลักฐานชั้นต้น จากพระไตรปิฎก ที่ชาวพุทธเถรวาท ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ !
แต่จะด้วยความ หน้าด้าน เพราะหมดทางดิ้นแล้วจริงๆ หรือ จะด้วยเหตุผลอะไร มิอาจทราบได้
พวกเม็ดมะขาม กลับพยายาม ยกหลักฐานจากพระสูตร และอรรถกถาขึ้นมา "ตีความ" เพื่อ "โต้แย้ง" อย่างโง่ๆ
กรณีหลักฐานจากอรรถกถา ยกไว้ เพราะไม่ว่าตีความอย่างไรๆ ก็มิอาจใช้แย้งหลักฐานจากพระไตรปิฎกได้อยู่แล้ว
สุดท้ายจึงเหลือเพียงแค่ หลักฐานจาก มหานิทเทส ของท่านพระสารีบุตร และ ปุคคลบัญญัติปกรณ์ จากพระอภิธรรมปิฎก
แต่หลักฐานจากทั้ง ๒ แหล่งนั้น กลับมิได้แสดงให้เห็นว่า มิจฉาทิฐิของพวก นิกาย อุตตราปถะ จะมีความถูกต้องไปได้เลย
เพราะเมื่อพิจารณา หลักฐานทั้ง ๒ โดยเทียบเคียงกับ พระสูตร ซึ่งเป็นพระพุทธดำรัสแท้ๆ ย่อมทำให้ทราบอย่างหมดข้อสงสัยว่า
ความไม่เสื่อมในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ ของอริยบุคคลทั้งหลายนั้น หมายเอาเฉพาะ สมมุติบัญญัติของอัตตภาพหนึ่งๆ ในภพปัจจุบัน
ที่สามารถระบุ ชื่อตัว และชื่อสกุล ได้อย่างจำเพาะเจาะจง โดยมิได้มีความหมายกว้างขวาง ล่วงเลยไป จนถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติ
เพราะถ้าหาก "ตีความ" แบบผิดๆ อย่างนั้น ก็จะเท่ากับการกล่าวว่า สมมุติบัญญัติ เที่ยงแท้ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิ ในฝ่ายสัสสตทิฐิ ไปเสียอีก
ดังนั้น ถ้าชาวพุทธเถรวาท สามารถพิจารณาความต่างๆ ด้วย หลักการและเหตุผล ที่ถูกต้องสอดคล้องกับพระธรรมคำสอน
ก็ย่อมสามารถ "เห็น" ได้โดยไม่ยากว่า หลักฐานทั้งหมด ตามที่ปรากฏอยู่นี้ ไม่มีความขัดแย้งกันเลย แม้แต่น้อย !
แต่ถ้าพวกเม็ดมะขาม จะยืนยันความเชื่อในการ "ตีความ" แบบผิดๆ ของตนเองให้ได้ มันก็ย่อมหมายความว่า ข้อความจาก กถาวัตถุ ผิด
หรือก็คือ พวกเม็ดมะขาม กำลังยืนยันว่า ทิฐิของ นิกาย อุตตราปถะ เป็นฝ่ายถูกต้อง ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ที่พวกเม็ดมะขาม ยืนยันมาโดยตลอดว่า พระไตรปิฎกทั้งหมด มีความสอดคล้องกัน ก็ไม่จริง
เพราะในขณะนี้ พวกเม็ดมะขาม กำลังกล่าวว่า ข้อความจากกถาวัตถุ ผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับการ "ตีความ" พระธรรมวินัยโดยพวกแกเอง
คันโตนาซีเองมิใช่หรือ ที่กล่าวเอาไว้ว่า "คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีวันขัดแย้งกัน"
ก็ในเมื่อ แกและพวก พยายามยืนยัน มิจฉาทิฐิของตนเองว่า ถูกต้อง มันก็ต้องหมายความว่า คัมภีร์กถาวัตถุ ผิดพลาด น่ะสิ
และก็เป็น คันโตนาซี อีกนั่นแหละ ที่กล่าวว่า (๑) ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ขัดกัน
(๒) มีแต่ไอ้พวกบ้าที่บิดเบือนธรรมของพระองค์นั่นแหละที่เห็นว่าขัดกัน
คำถาม ก็คือ ในกรณีนี้ ระหว่าง คันโตนาซี และ สหายร่วมบาป ซึ่งเชื่อว่า สามารถบรรลุธรรมได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
กับ ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ซึ่งมีมติว่า นั่นเป็นมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของพวกอัญเดียรถีย์(นิกายอุตตรปถะ)
ฝ่ายใดกันแน่ครับ ที่เป็น "ไอ้พวกบ้า" ซึ่งกำลังบิดเบือนพระธรรมวินัย ?
ถ้าคันโตนาซีและพวก ยังยืนยันคำเดิมอยู่ว่า ตนและพวก รวมไปถึง พวกอัญเดียรถีย์(นิกายอุตตรปถะ) เป็นฝ่ายถูกต้อง
นั่นย่อมหมายความว่า "ไอ้พวกบ้า" ที่แกพูดถึง ก็ต้องเป็น คัมภีร์กถาวัตถุ(อภิธรรมปิฎก) และท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ น่ะสิ !
กรณี เช่นนี้ สามารถถือว่าเป็นการ ปรามาส พระไตรปิฎก และ ท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสะ หรือไม่ ?
ท่านทั้งหลาย ก็จงตรองดูเถิด
และแม้ว่าปากของพวกอัญเดียรถีย์เม็ดมะขาม ไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ ว่า จะ "ฉีก" พระไตรปิฎก
แต่ "ใจ" ของพวกมัน ก็ได้ "ฉีก" พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งเป็นพระอภิธรรมปิฎก ออกไปแล้ว ๑ หน้า มิใช่หรือ ?
กล่าวโดยสรุป ก็คือ กลุ่มบุคคล ซึ่งมักอวดอ้างตนเองว่า จะปกป้องพระไตรปิฎก ในทุกกรณี กลับ "ปฏิเสธ" พระไตรปิฎก เสียเอง
เพียงเพราะว่า ข้อความจากพระไตรปิฎก ในส่วนนั้น ขัดกับ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิดของพวกตน ที่มิอาจ ละทิ้ง ไปได้
พวกแก นี่ช่างไม่รู้จัก ความละอาย เสียบ้างเลยนะ !
ปล. ประเด็นปลีกย่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ขออนุญาต ไม่อธิบาย เพราะเกินจำเป็น และ ไม่มีเวลาว่างมากพอ