ติสโสปิกถา กับ การบิดเบือน(อย่างเมามัน) ของอัญเดียรถีย์ !

หาเรื่อง "แถกแถ" ไปได้เรื่อยๆ นะครับ สำหรับ พวกมิจฉาทิฐิ อัญเดียรถีย์ เวอร์ชั่น ไทยแลนด์โอนลี่ (คริคริ)
ก็ไม่เป็นไร นะครับ ใครมีปัญญา แถได้ ก็แถไป ผมก็เพียงแค่ ทำหน้าที่ชาวพุทธเถรวาท ประเภทชอบ "แส่" เรื่องชาวบ้าน ต่อไป เท่านั้นเอง



ประเด็นที่ ๑  ความแตกต่างของ คำศัพท์ อภิสมิโต ที่ใช้ ในกถาทั้ง ๒

ที่จริงแล้ว ท่านปยุตโต ก็อธิบายเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า คำๆ นี้ มีความหมายกว้างๆ ไม่จำเพาะเจาะจง โดยอาจหมายถึง
(๑) เข้าใจธรรม (๒) เข้าถึงธรรม (๓) บรรลุธรรม หรือ ตรัสรู้ธรรม ขั้นใดขั้นหนึ่ง ก็ได้

ทั้งนี้ เราสามารถทราบความหมายที่แท้จริงของคำๆ นี้ได้จาก ข้อความแวดล้อม ของข้อความนั้นๆ เช่นว่า
หากเนื้อความระบุถึง โสดาบัน อภิสมิโต ก็หมายถึง การบรรลุโสดาบัน
แต่ถ้าปรากฏข้อความที่ระบุถึง พระอรหันต์  อภิสมิโต ก็หมายถึง การบรรลุอรหัตตผล เป็นต้น



ทีนี้ พวกเม็ดมะขาม เขาไปยก ข้อความจาก "ติสโสปิกถา" ขึ้นมา "แอบอ้าง" อย่างหน้าด้านๆ ในทำนองว่า
คำว่า ธัมมาภิสมัย จาก อภิสมยกถา ต้องหมายถึง การบรรลุอรหัตตผล เท่านั้น
ทั้งๆ ที่ข้อความทั้ง ๒ นี้ นำมาจาก กถา คนละข้อ และ คนละเรื่องกัน !



ที่จริงแล้ว เรื่องนี้ พิจารณาไม่ยากครับ เนื่องจากเราสามารถใช้หลักการที่ท่านปยุตโต แนะนำไว้ มาใช้ได้ทันที กล่าวคือ
เมื่อตรวจสอบที่ พระบาลี กลับปรากฏความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่าง ข้อความจาก ธัมมาภิสมัยกถา กับ ติสโสปิกถา เนื่องจาก

(๑) คำว่า ตรัสรู้ธรรม จาก ธัมมาภิสมัยกถา มาจากพระบาลี ธมฺมาภิสมโยติ
(๒) คำว่า บรรลุอรหัตตผล จาก ติสโสปิกถา มาจากพระบาลี อรหตฺตปฺปตฺตีติ



และด้วยเหตุดังนี้ เราจึงสามารถสรุปความได้ว่า อภิสมิโต/อภิสมิเต ทั้งหมดใน ติสโสปิกถา ต้องหมายถึง การบรรลุอรหัตตผล อย่างแน่นอน
แต่เราไม่สามารถสรุปแบบนี้ได้กับข้อความจาก ธัมมาภิสมัยกถา ทั้งนี้ก็เพราะ ไม่มีถ้อยคำใดๆ เลยใน ธัมมาภิสมัยกถา ที่สามารถ บ่งชี้
หรือ ระบุได้อย่างชัดเจนว่า กำลังกล่าวถึง อริยบุคคลระดับพระอรหันต์ !

ดังนั้น บรรดาเม็ดมะขาม จึงไม่สามารถโมเม "ด่วนสรุป" แบบข้ามห้วย ข้ามกถา ได้ นะครับ



แต่ทั้งนี้ กลับปรากฏหลักฐานในชั้น อรรถกถา ระบุรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ...............

"ชนเหล่าใด มีความเห็นผิด ดุจลัทธิของนิกายอุตตรปถกะบางพวกว่า
การตรัสรู้ธรรมของสัตว์ผู้นอนอยู่ในครรภ์มีอยู่ เพราะถือเอาพระโสดาบันในภพอดีต ฯลฯ"

สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงสังเกต ก็คือ
ข้อความทั้งหมดของอรรถกถาจารย์ ก็มิได้ระบุเอาไว้เลยว่า การตรัสรู้ธรรม นี้หมายถึง การบรรลุอรหัตตผล
ดังนั้น เราจึงไม่สามารถมาโมเมเอาตามใจชอบได้ว่า ต้องหมายถึง อรหัตตผล อย่างที่ใครบางคนกำลังพยายามทำอยู่  จริงไหมครับ ?

บทสรุปขั้นต้น ในตอนนี้ ก็คือ จำเพาะตัว "คำศัพท์" ในชั้นพระบาลี ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า

(๑) อภิสมิโต/อภิสมิเต ทั้งหมดใน ติสโสปิกถา นั้นหมายถึง การบรรลุอรหัตตผล อย่างไม่ต้องสงสัย
(๒) อภิสมิโต/อภิสมิเต ใน ธัมมาภิสมัยกถา มิได้มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า กล่าวถึง บุคคลระดับใด
แต่ปรากฏหลักฐานในชั้นอรรถกถาว่า เป็นการกล่าวถึง อริยบุคคลชั้น โสดาบัน !

*****************************************************************************************************

ประเด็นที่ ๒ ติสโสปิกถา อธิบายถึงเรื่องอะไร ?



ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาข้อความจาก อรรถกถา ของ ติสโสปิกถา ความว่า ...............

"ชนเหล่าใด มีความเห็นผิด ดุจลัทธิของนิกาย อุตตราปถกะบางพวกเหล่านั้นนั่นแหละ แม้ในที่นี้ว่า
การบรรลุพระอรหัตต์มีอยู่แก่สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ เพราะยึดเอาการบรรลุพระอรหัตต์ของพระโสดาบันผู้เกิดแล้วไม่นาน
และเห็นการตั้งครรภ์อยู่ ๗ ปี ของนางสุปปวาสา อุบาสิกา ดังนี้ด้วย ฯลฯ"

สรุปง่ายๆ ก็คือ

(๑) นิกายอุตตรปถะ มีทฤษฏีเป็นของตนเองว่า สัตว์สามารถบรรลุธรรมในครรภ์มารดาได้
(๒) ทั้งนี้เพราะเขาไม่เชื่อว่า จะมีใครสามารถบรรลุธรรมได้ในทันทีที่เกิด โดยยกกรณี นางสุปปวาสา เป็นหลักฐานอ้างอิง !

ดังนั้น สิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ ติสโสปิกถา นี้มุ่งแสดง ทฤษฏี ของลัทธิ อุตตราปถกนิกาย
ที่เชื่อว่า สัตว์สามารถบรรลุธรรมในครรภ์มารดาได้(ในปัจจุบัน) โดยมิได้เกี่ยวกับเรื่อง "ข้ามภพข้ามชาติ" แต่อย่างใด

เหตุที่พวก นิกาย อุตตราปถะ มีความเห็นผิดแบบนี้ เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจในเรื่องความแตกต่างของ "อินทรีย์"
ว่าสัตว์ทั้งหลาย มีความแก่อ่อนของอินทรีย์ ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลทำให้บรรลุธรรมได้ เร็ว หรือ ช้า แตกต่างกันไปด้วย
(หมายเหตุ / ไม่ต้องมาถามผมนะว่า อินทรีย์ มีการส่งต่อ ข้ามภพข้ามชาติ ได้อย่างไร ? เพราะผมมิได้กล่าวอย่างนั้น)

หลักฐาน ในชั้นอรรถกถา บางแหล่ง ก็ว่า ท่านพระสีวลี อยู่ในครรภ์ นางสุปปวาสา นาน ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
บ้างก็ว่า ๗ ปี กับ ๗ วัน (จริงเท็จ ยกไว้ นะครับ) อีกทั้งยังระบุรายละเอียด ขณะบรรลุธรรม ของท่าน (ในวันที่ ๗ หลังการเกิด)  เอาไว้ดังนี้ว่า

(๑) ก็สีวลีสามเณรตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ในขณะที่ขมวดผมปมแรก  ถูกตัดออก นั่นเทียว    
(๒) ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล ในขณะที่เกลียวผมปมที่ ๒ ถูกตัดออก
(๓) ตั้งอยู่ในอนาคามิผล ในขณะที่เกลียวผมปมที่  ๓  ถูกนำออก  
(๔) ส่วนการปลงผมสำเร็จ และการกระทำให้แจ้งพระอรหัต ได้มีไม่ก่อนไม่หลังกัน ฯลฯ

ซึ่งการที่ อรรถกถาจารย์ ยกกรณีของ นางสุปปวาสา อุบาสิกา ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง สำหรับอธิบายเรื่องนี้ ก็เพราะ
พวกอุตตราปถะ เขาไม่เชื่อว่า ท่านพระสีวลี จะสามารถบรรลุธรรมได้ หลังจากที่เกิดมาได้ไม่นาน (ประมาณ ๗ วัน)
โดยพวกเขา อธิบายว่า ท่านพระสีวลี บรรลุธรรม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เป็นเวลานานถึง ๗ ปีกว่า นั้นแล้วต่างหาก

ทั้งนี้ ท่านโมคคัลลีบุตรติสสะ ได้คัดค้านว่า ธัมมาภิสมัย คือ การบรรลุธรรม(ไม่ว่าจะชั้นใดๆ) ไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับ
(๑) สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ (๒) บุคคลผู้หลับแล้ว และ (๓) บุคคลผู้ฝัน เป็นอันขาด

ขอให้ท่านทั้งหลาย พึงเข้าใจว่า นี่คือ เนื้อหาทั้งหมดของ ติสโสปิกถา นะครับ

*****************************************************************************************************

ประเด็นที่ ๓ ธัมมาภิสมัยกถา กับ ต้นตอของปัญหา !

กรณี ของ ธัมมาภิสมัยกถา มีเนื้อหาที่แตกต่างจาก ติสโสปิกถา โดยสิ้นเชิง
เนื่องจาก กรณีนี้ มีที่มาจากปัญหา "โลกแตก" สำหรับพวก สัสสตทิฐิ

ทั้งนี้ ก็เพราะ ถ้าหาก พวกอุตตราปถะ ยืนยันว่า สามารถ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบัน(สมมุติบัญญัติ)
ข้ามภพข้ามชาติมาได้โดยตรง ก็จะถูกระบุว่าเป็นพวก สัสสตทิฐิ ทันที

พวกอุตตราปถะ จึงแก้ปัญหานี้ ด้วยการอ้างว่า มิได้มีการ "หอบหิ้ว" ความเป็นโสดาบัน ข้ามภพชาติ มาโดยตรง
แต่เด็กที่เกิดมา เป็นโสดาบัน ได้ ก็เพราะ บรรลุธรรม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา(ในปัจจุบัน) ต่างหาก
ซึ่งท่านโมคคัลลีบุตรติสสะ ก็ได้โต้แย้งว่า มันเป็นไปไม่ได้ นั่นคือความเห็นผิด !

ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใด พวกอุตตราปถกนิกาย
จึงต้องพยายามสร้าง ทฤษฎี แปลกๆ แบบนี้ขึ้นมาอธิบาย การข้ามภพข้ามชาติของโสดาบัน
ซึ่งนี่ย่อมเป็น ปัญหา ระดับพื้นฐานที่สุด ของความเป็น สัมมาทิฐิ
ในพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท เลยทีเดียว นะครับ กล่าวคือ



(๑) ถ้าพิจารณาในแง่ สมมุติ-ปรมัตถ์ การกล่าวว่า สภาวะ ของ สมมุติบัญญัติหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ก็ตาม
สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ นั่นเท่ากับเป็นการกล่าวว่า สมมุติบัญญัตินั้นๆ มีความ เที่ยงแท้ ย่อมจัดเป็น มิจฉาทิฐิ ฝ่าย สัสสตทิฐิ

(๒) หากพิจารณาในแง่ของ กรรม และ การรับผล กรณี โสดาบัน ข้ามภพชาติ ก็ยังไม่พ้นจาก มิจฉาทิฐิ อยู่นั่นเอง กล่าวคือ
หากอธิบายด้วย "ภาษาสมมุติ" ดังนี้ว่า โสดาบัน ก. ตายไป ในชาติก่อน แล้วเกิดเป็น ทารก ข. ในชาตินี้ คำถาม ก็คือ

การที่ พวกเม็ดมะขาม เชื่อว่า สภาวะความเป็นโสดาบัน คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ที่โสดาบัน ก. ทำไว้ในชาติก่อน
สามารถ "หอบหิ้ว" หรือ "ส่งต่อ" จาก โสดาบัน ก. ในชาติก่อน ไปสู่ ทารก ข. ในชาตินี้ ได้นั้น มันมีความหมายว่าอย่างไร ?

(๑) หากเข้าใจว่า โสดาบัน ก. ในชาติก่อน กับ ทารก ข. ในชาตินี้ เป็นคนๆ เดียวกัน คือ เป็นทั้งผู้ทำและผู้เสวยผล
ความเข้าใจ(ผิด)อย่างนี้ เป็น สัสสตทิฐิ นะครับ

(๒) หากเข้าใจว่า โสดาบัน ก. ในชาติก่อน กับ ทารก ข. ในชาตินี้ เป็นคนละคนกัน คือ โสดาบัน ก. เป็นทั้งผู้ทำ ส่วน ทารก ข. ผู้เสวยผล
ความเข้าใจ(ผิด)อย่างนี้ เป็น อุจเฉททิฐิ นะครับ

ซึ่งปัญหาแบบนี้ นี่เอง ที่พวกอุตตราปถกนิกาย เขาประสบมาโดยตรง พวกเขาจึงได้พยายามสร้างทฤษฎีแปลกๆ ขึ้นมา
เพื่ออธิบายว่า พวกเขา เป็นสัมมาทิฐิ (!) มิใช่ทั้งพวก สัสสตทิฐิ หรือ อุจเฉททิฐิ แต่ในท้ายที่สุด ก็ไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี



ดังนั้น สิ่งที่ชาวพุทธเถรวาท พึงทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ เมื่อพบพุทธพจน์ ที่ตรัสด้วย สมมุติ ก็พึงเข้าใจว่ามันเป็น สมมุติ
พระบาลีที่ตรัสถึง การเวียนว่ายตายเกิด มีอยู่ถมเถไป นะครับ ซึ่งผม และชาวพุทธเถรวาท ย่อมไม่ปฏิเสธ ด้วยความเข้าใจ
เป็นอย่างดีว่า นั่นเป็นสมมติกถา ซึ่งมีอรรถอันพึงนำไปว่า หาได้มีอยู่อย่างแท้จริงไม่ จะมีก็แต่ปรมัตถธรรม ที่เกิดดับไปตามเหตุปัจจัย
ซึ่งย่อมปราศจาก ความยึดติดถือมั่น ด้วย ตัณหา อุปาทาน ว่าเป็นตน หรือ ของๆ ตน ในทุกๆ กรณี



กล่าวโดยสรุป ก็คือ การที่พวก นิกายอุตตราปถะ พยายาม "เลี่ยงบาลี" ในเรื่อง กรรม และ การรับผล ฯลฯ
โดยการสร้างทฤษฎีว่า สัตว์(ในปัจจุบัน) สามารถบรรลุธรรมในครรภ์มารดาได้ ก็นับว่า แย่ พอแรงอยู่แล้ว

แต่การที่พวกเม็ดมะขาม พยายามยืนยัน ทิฐิลามก ของพวกมันว่า สามารถ "หอบหิ้ว"
ความเป็นโสดาบัน ซึ่งเป็น สมมุติบัญญัติ ข้ามภพข้ามชาติ ไปได้โดยตรงนั้น
ถือได้ว่า คนถ่อยพวกนี้ โง่เขลาเบาปัญญา ยิ่งกว่า สาวกนิกาย อุตตราปถะ เสียอีก

หรือมิใช่ ?

สวัสดี

ปล. แก๊งส์เม็ดมะขาม อยากจะ แถกแถ อะไร ก็เชิญ นะครับ ผม(จ้าวนครเมฆขาว) รับประกันได้ว่า
จะพยายาม "ปลีกตัว" มาช่วย "สะสาง" ทิฐิลามก ของพวกแก ให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เลยทีเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่