สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ผมเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟังละกันครับ
ผมเริ่มเปิดธุรกิจร้านกาแฟ พอเปิดได้วันแรก (ในใจตอนนั้นวิเคราะห์ว่าจะได้ 20 แก้ว) ปรากฏวันแรกผมขายได้แค่ 4 แก้วสาเหตุเป็นเพราะร้านเรายังเปิดใหม่ลูกค้ายังไม่รู้จัก ผมขาดทุนอยู่ทุกๆวันครับค่าไฟเดือนละเกือบ 5,000 ค่าเช่าอีกหลายหมื่นๆ จนสุดท้ายทำโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าเข้ามา ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้ระยะเวลากว่า 5 เดือนถึงจะไม่ขาดทุน แล้วก็กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ จนกระทั่งยอดขายนิ่งแล้ว มีฐานลูกค้าประจำ และลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ
รับพนักงานเข้ามา บริการไม่ได้ผ่านแต่โชคยังดีครับ เป็นลูกค้าที่สนิทสนมกับผมพอสมควรเค้าเลยมาพูดกับตรงๆ แถมเค้ายังพูดอีกว่าถ้ามากินครั้งแล้ว ป่านนี้คงไม่มากินอีกตลอดเพราะพนักงาน ผมก็เลยต้องไปคุยกับลูกน้องถามเค้าว่าจะปรับตัว หรือ ว่าจะสิ้นสุดกันเท่านี้ ก็ให้โอกาสเค้าอีกซักครั้ง จนสุดท้ายก็ต้องจบกัน
แต่พอได้พนักงานคนใหม่เข้ามาแล้ว ถือว่าบริการดีคุยเรียบร้อย แต่ก็มีการถามชื่อลูกค้าเพื่อสร้างความเป็นกันเอง จนลูกค้ารู้จักและสนิทสนมก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำ
ปัญหาเมื่อผมเจอแล้วผมจะไม่ทำให้มันเจอ สิ่งที่ตกใจครั้งแรกคือมดเข้าไปอยู่ในกาแฟของลูกค้าครับ (ในใจคิดเอาแล้วไง) แต่ก็ได้ขอโทษลูกค้าและยื่นข้อเสนอให้ลูกค้ามาทานกาแฟฟรีมูลค่า 200 บาท ลูกค้าก็ยอมรับได้ครับ ตั้งแต่นั้นมีการป้องกันอย่างเดียวไม่ให้มดมาขึ้นน้ำเชื่อมอีก
ความสะดวกสบายของลูกค้า จากการที่ลูกค้าน้อยพอผมได้มีการออกแบบเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และเพิ่มรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็มีลูกค้าเข้ามาเพิ่มขึ้นครับ ผมเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ทุกตัวจากไม้แข็งๆ เป็นเบาะทุกตัว จัดให้ลูกนั่งได้อย่างสบายและมีความเป็นส่วนตัว และก็มี Wifi กับ มุมหนังสือให้ลูกค้าอ่าน (ซึ่งพอนำ Wifi เข้ามาบริการลูกค้าได้การตอบรับอย่างดีมากครับ)
เบื้องหน้าและเบื้องหลังต้องเหมือนกัน ผมพยายามชูจุดขายอย่างเสมอครับไม่ว่าจะเป็น รสชาติ , การบริหาร , ความสะอาด ไม่ว่าเบื้องหน้าผมจะทำอย่างไร เบื้องหลังก็ต้องเหมือนกันหมดครับ อย่างกับเค้กผมเก็บไว้แค่ 1 สัปดาห์ ถ้าขายยังไม่หมดผมจะยกให้พนักงานเอาไปกินต่อทันทีครับ ไม่ขายให้ลูกอย่างเด็ดขาด (ทั้งๆที่ยังไม่เสีย) แต่สภาพมันไม่ค่อยสวยครับ
ของผมหลักๆก็ประมาณนี้ครับ ลองมองกลับไปดูครับว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน และเราต้องปรับอะไรอีกบ้างครับ แล้วลูกค้ารู้จักแบรนด์เราเยอะมากพอหรือยัง
ผมเริ่มเปิดธุรกิจร้านกาแฟ พอเปิดได้วันแรก (ในใจตอนนั้นวิเคราะห์ว่าจะได้ 20 แก้ว) ปรากฏวันแรกผมขายได้แค่ 4 แก้วสาเหตุเป็นเพราะร้านเรายังเปิดใหม่ลูกค้ายังไม่รู้จัก ผมขาดทุนอยู่ทุกๆวันครับค่าไฟเดือนละเกือบ 5,000 ค่าเช่าอีกหลายหมื่นๆ จนสุดท้ายทำโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้าเข้ามา ก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้ระยะเวลากว่า 5 เดือนถึงจะไม่ขาดทุน แล้วก็กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ จนกระทั่งยอดขายนิ่งแล้ว มีฐานลูกค้าประจำ และลูกค้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ
รับพนักงานเข้ามา บริการไม่ได้ผ่านแต่โชคยังดีครับ เป็นลูกค้าที่สนิทสนมกับผมพอสมควรเค้าเลยมาพูดกับตรงๆ แถมเค้ายังพูดอีกว่าถ้ามากินครั้งแล้ว ป่านนี้คงไม่มากินอีกตลอดเพราะพนักงาน ผมก็เลยต้องไปคุยกับลูกน้องถามเค้าว่าจะปรับตัว หรือ ว่าจะสิ้นสุดกันเท่านี้ ก็ให้โอกาสเค้าอีกซักครั้ง จนสุดท้ายก็ต้องจบกัน
แต่พอได้พนักงานคนใหม่เข้ามาแล้ว ถือว่าบริการดีคุยเรียบร้อย แต่ก็มีการถามชื่อลูกค้าเพื่อสร้างความเป็นกันเอง จนลูกค้ารู้จักและสนิทสนมก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำ
ปัญหาเมื่อผมเจอแล้วผมจะไม่ทำให้มันเจอ สิ่งที่ตกใจครั้งแรกคือมดเข้าไปอยู่ในกาแฟของลูกค้าครับ (ในใจคิดเอาแล้วไง) แต่ก็ได้ขอโทษลูกค้าและยื่นข้อเสนอให้ลูกค้ามาทานกาแฟฟรีมูลค่า 200 บาท ลูกค้าก็ยอมรับได้ครับ ตั้งแต่นั้นมีการป้องกันอย่างเดียวไม่ให้มดมาขึ้นน้ำเชื่อมอีก
ความสะดวกสบายของลูกค้า จากการที่ลูกค้าน้อยพอผมได้มีการออกแบบเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และเพิ่มรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็มีลูกค้าเข้ามาเพิ่มขึ้นครับ ผมเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ทุกตัวจากไม้แข็งๆ เป็นเบาะทุกตัว จัดให้ลูกนั่งได้อย่างสบายและมีความเป็นส่วนตัว และก็มี Wifi กับ มุมหนังสือให้ลูกค้าอ่าน (ซึ่งพอนำ Wifi เข้ามาบริการลูกค้าได้การตอบรับอย่างดีมากครับ)
เบื้องหน้าและเบื้องหลังต้องเหมือนกัน ผมพยายามชูจุดขายอย่างเสมอครับไม่ว่าจะเป็น รสชาติ , การบริหาร , ความสะอาด ไม่ว่าเบื้องหน้าผมจะทำอย่างไร เบื้องหลังก็ต้องเหมือนกันหมดครับ อย่างกับเค้กผมเก็บไว้แค่ 1 สัปดาห์ ถ้าขายยังไม่หมดผมจะยกให้พนักงานเอาไปกินต่อทันทีครับ ไม่ขายให้ลูกอย่างเด็ดขาด (ทั้งๆที่ยังไม่เสีย) แต่สภาพมันไม่ค่อยสวยครับ
ของผมหลักๆก็ประมาณนี้ครับ ลองมองกลับไปดูครับว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน และเราต้องปรับอะไรอีกบ้างครับ แล้วลูกค้ารู้จักแบรนด์เราเยอะมากพอหรือยัง
ความคิดเห็นที่ 9
ลองตอบโจทย์นี้ให้ได้นะครับ
ผมเริ่มโดยทุนน้อยครับ เลยต้องบริหารให้ดีที่สุด
ง่ายๆครับ
"มีงานเข้ามา มีลูกค้า ถึงมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น"
ไม่มีงานเข้า ไม่มีลูกค้า ไม่มีรายจ่าย(รายจ่ายเกี่ยวกับงาน ไม่นับกินอยู่ประจำวัน)
ตอนนี้ผมทำได้ครับ ลองคิดดูครับว่าทำอะไรให้ไม่มีรายจ่าย หรือให้มีแบบน้อยมากๆๆๆจนไม่รู้สึกว่าเป็นรายจ่าย
ผมขายของออนไลน์ครับ แต่เป็นของที่จับต้องได้ เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นของมือสอง
ลักษณะของทีขายและวิธีทำการค้าของผมนะครับ
1.ลงทุนทีหลายพัน หรือหมื่นสองหมื่น ต่อชิ้น ดองของไม่มากประมาณ 5-10ชิ้น ของเก่าไม่ออก ของใหม่เพิ่ม
2.ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีค่าเช่า ไม่มีรายจ่าย รายจ่ายคือค่าไฟ ค่าเน็ต ไม่ต้องเฝ้าร้าน ไม่ต้องมีลูกน้อง รับงานทางโทรศัพท์ ชีวิตลั่นล้า ช้อปชิมชิล เที่ยวที่ไหนก็ได้ขออย่างเดียว พกมือถือไว้
3.ผมขายของมือสอง รับของมาจากร้านประจำและจับของในเว็บที่คนใช้ขายเองบางโอกาส(จับของในเว็บถ้าดวงดี หมื่นนึง ข้ามคืนก็เคยมาแล้ว)
สต็อคของช่วงกลางเดือน เพราะสินค้าผมราคาสูง กลางเดือนคนไม่มีกำลังซื้อ ผมเลยคิดมุมกลับ ในเมื่อมนุษย์เงินเดือนไม่มีเงินใช้กัน แต่ผมมีผมก็รีบซื้อๆๆๆๆก่อนในช่วงนี้ พอปลายเดือนผมก็รวมของได้เยอะแล้วพร้อมขายช่วงเทศกาลเงินเดือนออก
- งานลักษณะของผมอาศัยมือไว โทรไว ซื้อไว บางทีไปแย่งคนอื่นซื้อก็เคย (ซื้อของในเน็ตมาก่อนได้ก่อน)
กำไรเคยได้มากสุดข้ามคืนวันเดียว ซื้อบ่ายวันเสาร์ 10000 สายๆวันอาทิตย์ เงินเข้าแล้ว 21000 อาศัยไหวพริบและตาถึงของครับ
ลูกฟรุ้คมีทุกเดือนครับ ข้ามคืนหรือ 2-3วัน กำไร 5-6พันต่อชิ้น
แต่ค้าขายหลักๆแล้ว กำไรต่อชิ้น 2000-4000บาท ยกเว้นดวงไม่ดีส่วนมากก็1000เดียวหลักร้อย แย่สุดๆคือเท่าทุน
#########################################
##### อันนี้หลักการง่ายๆนะครับ แต่สำคัญมาก ######
ค้าขาย คุณสปอร์ตกับลูกค้าไหมครับ ให้ได้ให้ แถมได้แถม มีลูกเล่นตุกติกนิดๆ พูดยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเหมือนได้เปรียบไม่ใช่โดนเอาเปรียบ
สมมุตินะครับ
ของชิ้นนึง ราคา 12000บาท เราต้องราคาเผื่อต่อไว้ในใจคือ 11000 เต็มที่เลย
ลูกค้าAโทรมา บอกจะมารับเอง เราก็ลองบอกลดให้500 ส่วนใหญ่จะต่อถ้วนๆที่ 11000 เราก็อึกอักแล้วก็ลดให้
สรุปนายAพอใจได้ราคาที่ต้องการ
ลูกค้าBโทรมา บอกว่ามาส่งให้หน่อยสิ ค่ารถเท่าไร อะไรยังไง เมื่อเราคำนวณแล้ว(รถเราใช้แก็ส ติดแบบเนียนๆไปถึงคิดว่ารถวิ่งน้ำมันทุกราย )
ค่าแก็สประมาณ 2-3ร้อย เราก็บอกเค้าไปครับ ว่า "งั้นเอางี้นะครับ ผมลดให้500 แล้วไปส่งให้ฟรีด้วย" ฝั่งลูกค้าดูยังไงก็ได้เปรียบ ทั้งที่เรากำไรมากว่าเดิมอีก
ลูกค้าCโทรมา บอกให้ส่งของทางไปรณีย์ ของราคา12000บาทเช่นกัน
เมื่อเราดูเรทไปรณีย์ Logistic แล้ว (ของผมขายของชิ้นใหญ่) ค่าส่งเท่าไรอะไรยังไง ผมก็จะคำนวณในหัวครับ
ค่าส่งมีตั้งแต่ 1000 - 1500บาท สร้างชื่อเสียงให้ดีครับ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ากล้าโอนเงินเป็นหมื่นให้เราแบบไม่กลัว
- ถ้าโซนลูกค้าเรท 1000บาท เราแกล้งทำเป็นสปอร์ตเลยครับ "งั้น เอางี้ครับค่าส่งพันกว่า ผมส่งให้ฟรีเลยละกัน ค่าห่อพี่ก็ไม่ต้องจ่ายผมออกเอง (ความจริงห่อเอง ค่าสก็อตเทปคงไม่เกิน10บาท" เจอแบบนี้เสร็จทุกรายครับ
- มันจะมีโซน 1200 ด้วยครับ ถ้าราคานี้ผมก็ทำแบบอันแรกครับ ยอมเข้าเนื้อนิดหน่อย แต่แลกกับกำไรยังเกินคุ้มครับ
-ส่วนโซน 1500 มันจะเข้าเนื้อมากเกินไป ผมก็จะแจ้งว่า ลูกค้าอยู่ไกล เรทแพงสุด ค่าส่ง1500 ค่าห่ออีก ขอให้ช่วยออก500ที่เหลือผมออกเอง
สุดท้ายทุกอย่างแล้วแต่เทคนิคการขายครับ ถ้าคำนวณดูดีๆ ผมกำไรเท่าเดิมนะ แต่ลูกค้ามาสไตล์ไหนก็ก็พูดให้เค้ารู้สึกได้เปรียบทุกอย่าง แล้วเค้าก็จะซื้อเราครับ
ผมไม่รู้นะครับว่าจะเอาไปใช้ได้ไหม ขอบคุณที่อ่านคับ
ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สำเร็จมากมายอะไรครับ กำลังเริ่มเป็นรูปร่างแค่นันเองครับ
ผมเริ่มโดยทุนน้อยครับ เลยต้องบริหารให้ดีที่สุด
ง่ายๆครับ
"มีงานเข้ามา มีลูกค้า ถึงมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น"
ไม่มีงานเข้า ไม่มีลูกค้า ไม่มีรายจ่าย(รายจ่ายเกี่ยวกับงาน ไม่นับกินอยู่ประจำวัน)
ตอนนี้ผมทำได้ครับ ลองคิดดูครับว่าทำอะไรให้ไม่มีรายจ่าย หรือให้มีแบบน้อยมากๆๆๆจนไม่รู้สึกว่าเป็นรายจ่าย
ผมขายของออนไลน์ครับ แต่เป็นของที่จับต้องได้ เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นของมือสอง
ลักษณะของทีขายและวิธีทำการค้าของผมนะครับ
1.ลงทุนทีหลายพัน หรือหมื่นสองหมื่น ต่อชิ้น ดองของไม่มากประมาณ 5-10ชิ้น ของเก่าไม่ออก ของใหม่เพิ่ม
2.ไม่มีหน้าร้าน ไม่มีค่าเช่า ไม่มีรายจ่าย รายจ่ายคือค่าไฟ ค่าเน็ต ไม่ต้องเฝ้าร้าน ไม่ต้องมีลูกน้อง รับงานทางโทรศัพท์ ชีวิตลั่นล้า ช้อปชิมชิล เที่ยวที่ไหนก็ได้ขออย่างเดียว พกมือถือไว้
3.ผมขายของมือสอง รับของมาจากร้านประจำและจับของในเว็บที่คนใช้ขายเองบางโอกาส(จับของในเว็บถ้าดวงดี หมื่นนึง ข้ามคืนก็เคยมาแล้ว)
สต็อคของช่วงกลางเดือน เพราะสินค้าผมราคาสูง กลางเดือนคนไม่มีกำลังซื้อ ผมเลยคิดมุมกลับ ในเมื่อมนุษย์เงินเดือนไม่มีเงินใช้กัน แต่ผมมีผมก็รีบซื้อๆๆๆๆก่อนในช่วงนี้ พอปลายเดือนผมก็รวมของได้เยอะแล้วพร้อมขายช่วงเทศกาลเงินเดือนออก
- งานลักษณะของผมอาศัยมือไว โทรไว ซื้อไว บางทีไปแย่งคนอื่นซื้อก็เคย (ซื้อของในเน็ตมาก่อนได้ก่อน)
กำไรเคยได้มากสุดข้ามคืนวันเดียว ซื้อบ่ายวันเสาร์ 10000 สายๆวันอาทิตย์ เงินเข้าแล้ว 21000 อาศัยไหวพริบและตาถึงของครับ
ลูกฟรุ้คมีทุกเดือนครับ ข้ามคืนหรือ 2-3วัน กำไร 5-6พันต่อชิ้น
แต่ค้าขายหลักๆแล้ว กำไรต่อชิ้น 2000-4000บาท ยกเว้นดวงไม่ดีส่วนมากก็1000เดียวหลักร้อย แย่สุดๆคือเท่าทุน
#########################################
##### อันนี้หลักการง่ายๆนะครับ แต่สำคัญมาก ######
ค้าขาย คุณสปอร์ตกับลูกค้าไหมครับ ให้ได้ให้ แถมได้แถม มีลูกเล่นตุกติกนิดๆ พูดยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเหมือนได้เปรียบไม่ใช่โดนเอาเปรียบ
สมมุตินะครับ
ของชิ้นนึง ราคา 12000บาท เราต้องราคาเผื่อต่อไว้ในใจคือ 11000 เต็มที่เลย
ลูกค้าAโทรมา บอกจะมารับเอง เราก็ลองบอกลดให้500 ส่วนใหญ่จะต่อถ้วนๆที่ 11000 เราก็อึกอักแล้วก็ลดให้
สรุปนายAพอใจได้ราคาที่ต้องการ
ลูกค้าBโทรมา บอกว่ามาส่งให้หน่อยสิ ค่ารถเท่าไร อะไรยังไง เมื่อเราคำนวณแล้ว(รถเราใช้แก็ส ติดแบบเนียนๆไปถึงคิดว่ารถวิ่งน้ำมันทุกราย )
ค่าแก็สประมาณ 2-3ร้อย เราก็บอกเค้าไปครับ ว่า "งั้นเอางี้นะครับ ผมลดให้500 แล้วไปส่งให้ฟรีด้วย" ฝั่งลูกค้าดูยังไงก็ได้เปรียบ ทั้งที่เรากำไรมากว่าเดิมอีก
ลูกค้าCโทรมา บอกให้ส่งของทางไปรณีย์ ของราคา12000บาทเช่นกัน
เมื่อเราดูเรทไปรณีย์ Logistic แล้ว (ของผมขายของชิ้นใหญ่) ค่าส่งเท่าไรอะไรยังไง ผมก็จะคำนวณในหัวครับ
ค่าส่งมีตั้งแต่ 1000 - 1500บาท สร้างชื่อเสียงให้ดีครับ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้ากล้าโอนเงินเป็นหมื่นให้เราแบบไม่กลัว
- ถ้าโซนลูกค้าเรท 1000บาท เราแกล้งทำเป็นสปอร์ตเลยครับ "งั้น เอางี้ครับค่าส่งพันกว่า ผมส่งให้ฟรีเลยละกัน ค่าห่อพี่ก็ไม่ต้องจ่ายผมออกเอง (ความจริงห่อเอง ค่าสก็อตเทปคงไม่เกิน10บาท" เจอแบบนี้เสร็จทุกรายครับ
- มันจะมีโซน 1200 ด้วยครับ ถ้าราคานี้ผมก็ทำแบบอันแรกครับ ยอมเข้าเนื้อนิดหน่อย แต่แลกกับกำไรยังเกินคุ้มครับ
-ส่วนโซน 1500 มันจะเข้าเนื้อมากเกินไป ผมก็จะแจ้งว่า ลูกค้าอยู่ไกล เรทแพงสุด ค่าส่ง1500 ค่าห่ออีก ขอให้ช่วยออก500ที่เหลือผมออกเอง
สุดท้ายทุกอย่างแล้วแต่เทคนิคการขายครับ ถ้าคำนวณดูดีๆ ผมกำไรเท่าเดิมนะ แต่ลูกค้ามาสไตล์ไหนก็ก็พูดให้เค้ารู้สึกได้เปรียบทุกอย่าง แล้วเค้าก็จะซื้อเราครับ
ผมไม่รู้นะครับว่าจะเอาไปใช้ได้ไหม ขอบคุณที่อ่านคับ
ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้สำเร็จมากมายอะไรครับ กำลังเริ่มเป็นรูปร่างแค่นันเองครับ
แสดงความคิดเห็น
เจ้าของกิจการร้านค้านานไหมคะกว่าจะกำไร
หันมาขบคิดว่าเราทำอะไรพลาด เราขาดอะไร ฮวงจุ้ยไม่ดี ทำเลห่วย หรือเศรษฐกิจมันแย่ ไม่อยากโทษรอบข้างค่ะ พยายามโทษตัวเอง แต่ยังตันๆอยู่เลย หนักสุดคือขาดทุนค่าเช่านี่แหละค่ะ มหาโหดเลย ที่สำคัญคือเงินทุนจากทางบ้านค่ะ อยากให้มันงอกเงย ฮือๆ
แล้วท่านอื่นๆเป็นอย่างไรกันบ้างคะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
แก้ไขตัวสะกด