สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
เราเปิดร้านอาหารอยู่ที่อเมริกาค่ะ ร้านเเรกเริ่มทำเมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่เเล้ว เป็นร้านขนาดประมาณยี่สิบกว่าโต๊ะ หุ้นกับครอบครัวเเละทำงานเป็นระบบครอบครัวมาโดยตลอด ตอนนั้นทุกคนทำงานกันหนักมาก ตัวเราเองก็ต้องล้างจาน หั่นผัก เสริฟ ล้างห้องน้ำ คิดเงิน ยกอาหาร ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ใครทำงานในครัวก็ทำไป ใครดูเเลข้างนอกก็ทำไป เเต่เวลาใครหยุดหรือมีธุระต้องไปไหนเราทำเเทนกันได้หมด
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ปรับปรุงเปลี่ยนเเปลงมาเรื่อยๆ มีมาทั้งหมดห้าร้าน จนเมื่อประมาณสองปีที่เเล้ว เราตัดสินใจเดินออกมาทำกันเองกับสามี
ปีเเรกของการลุยด้วยตัวเอง เรางี้น้ำตาหยดเหมะเลยค่ะ จากที่เคยรับผิดชอบเเค่ในส่วนของเรา กลายเป็นว่าต้องรับผิดชอบทั้งหมด เหนื่อยจนเเทบกระอักเลือด เเต่เราก็ไม่สามารถเเสดงความเหนื่อยล้าออกมาได้ เพราะไม่อยากให้สามีเสียกำลังใจ ช่วงที่ร้านไม่ยุ่ง เงินหมุนในร้านไม่พอเราก็ไม่เคยบ่นให้เค้าฟัง เเต่เราเลือกที่จะโทรไปยืมเงินน้องสาวเเทน มาถึงช่วงที่พนักงานขาด เราต้องไปทำงานตั้งเเต่เเปดโมงเช้าเพื่อเตรียมของ (ร้านเปิดสิบเอ็ดโมง) ที่ต้องไปเช้าเพราะต้องเตรียมของให้เสร็จก่อนร้านเปิด เพราะหลังจากร้านเปิดเเล้ว เราต้องดูเเลความเรียบร้อยหน้าร้าน ถ้าวันไหนร้านยุ่งมากๆใช้ของที่เตรียมไว้หมด เราต้องอยู่เตรียมของจนเลยเที่ยงคืนก็มี เเละเราต้องเเสร้งทำเป็นสนุกกับงานทั้งๆที่เหนื่อยจนเเทบจะคลาน กลับถึงบ้านเรานอน ตื่นนอนเราออกไปทำงาน ชีวิตไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านกับร้าน
เราใช้เวลาปีเศษที่จะเริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด จากที่เราไม่เคยรับผิดชอบเรื่องสูตรอาหารเราก็ต้องเรียนเพื่อให้รู้ ร้านเรามีอาหารเป็นร้อยอย่างที่ต้องเตรียม เราต้องค่อยๆเรียนรู้ทีละอย่างจนทุกวันนี้รู้น่าจะเกิน 75% เเล้ว นอกจากรู้เเล้วยังต้องลงมือทำเองเพื่อความชำนาญอีกด้วย ของอะไรขาดเราวิ่งซื้อเองตลอด ปัญหาเจอมาร้อยเเปด ไม่ว่าจะกับลูกค้าหรือกับพนักงาน เหนื่อยทั้งกายเเละใจ เเต่เราก็ไม่เคยคิดที่จะยอมเเพ้ค่ะ เราคิดเเต่เพียงว่า เราจะเเก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง ค่อยๆคิด ค่อยๆเรียนรู้มันไป จนวันนี้เราก็ได้คำตอบเกือบจะทั้งหมดเเล้วค่ะ
เริ่มจากปัญหาเรื่องวัตถุดิบ จากที่เคยวิ่งซื้อเองบ้าง เราเลือกที่จะสั่งของทั้งหมดให้มาส่งที่ร้านค่ะ บริษัทไหนส่งของมาไม่ดีไม่สดหรือเกินราคา เราตีคืนโดยไม่ไว้หน้า จากที่เคยสั่งของเดิมๆจากบริษัทเดิมๆ เราก็เริ่มมองหาบริษัทใหม่เพื่อเปรียบเทียบราคา เราไม่ผู้ขาดกับบริษัทไหนทั้งนั้น อาทิตย์นี้ที่นี่ให้ราคาดี เราก็ซื้อจากที่นี่ อาทิตย์หน้าที่อื่นให้ราคาดีกว่าเราก็ชิ่ง ข้อดีของการทำเเบบนี้คือ เเต่ละบริษัทจะกดราคากันเองเพื่อให้ได้ลูกค้า ปีที่เเล้วเราซื้อกุ้งชนิดเดียวกัน ขนาดเดียวกันในราคา 240 มาถึงวันนี้ ล่าสุดเลย เราได้มาในราคา 139 ร้านเราใช้กุ้งชนิดนี้ตกเดือนละสามสิบกว่าลัง นั่นหมายถึงสามพันกว่าเหรียญ นี่เเค่ปัญหากุ้งๆนะคะ มันยังมีเนื้อหมูไก่เเละอาหารเเห้งอีกร้อยเเปดที่เราต้องทำการบ้าน
ปัญหาถัดมาก็เรื่องพนักงาน ตลอดระยะเวลายี่สิบปีร้านเราไม่เคยจ้างฝรั่งค่ะ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทำไมต้องจ้างเเต่หัวดำเเละเเม๊กซิกันเท่านั้น ทำไมไม่จ้างคนในพื้นที่ ยังมีคนในพื้นที่อีกตั้งเยอะเเยะที่ตกงานเเละพร้อมที่จะทำงานกับเรา ที่พักก็มีเอง ภาษาก็คล่องปรื๋อ ทำไมต้องจ้างเเต่ต่างด้าว เรามีความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนนั้นสอนได้ค่ะ มันไม่จำเป็นเลยจริงๆว่าต้องเป็นคนไทยเท่านั้นถึงจะทำอาหารไทยได้ ฝรั่งคนเเรกที่เราจ้างเข้ามา สามีเราเบรคเอี๊ยดดดดเลย เเต่เราดื้อค่ะ ใครจะว่าไงเราไม่สน คนขาดนี่หว่า ให้มันรู้กันไปข้างนึง เอาไงเอากัน ตอนนี้พนักงานฝรั่งเดินเต็มร้านเราเลยค่ะ เเม้เเต่ผู้ช่วยกุ๊กที่กำลังเรียนรู้ที่จะขึ้นเเท่นเป็นกุ๊กคนต่อไปก็เป็นฝรั่งค่ะ ตอนนี้ต้องการพนักงานเมื่อไหร่เราขึ้นป้ายหน้าร้าน เป็นว่าหมดปัญหาไปอีกเปราะ
มาถึงปัญหาการรับหน้ากับเสียงด่าของลูกค้า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เพราะฉะนั้นใช่ว่าการที่เราทุ่มเทเต็มร้อยก็ใช่ว่าเราจะได้รับผลตอบเเทนกลับมาเต็มร้อยนะคะ พลาดนิดเดียวบางครั้งก็โดนด่าจนเสียกำลังใจเลยก็มี บางครั้งทำงานอยู่ดีๆ ลูกค้าก็เรียกไปด่าซะงั้น พนักงานเสริฟดูเเลไม่ดีบ้าง อาหารไม่ถูกปากบ้าง ทั้งกดทั้งดันจนสมองเเทบจะระเบิด เราตัดสินใจจ้างผู้จัดการเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า อยากด่าก็โน่นเลย เรียกผู้จัดการไปด่าเเทน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเราเป็นเจ้าของร้าน ไม่มีลูกค้าคนไหนขอพบกับเจ้าของร้านได้ เจ้าของร้านไม่เคยอยู่ร้าน (ทั้งๆที่หัวโด่อยู่ทุกวัน) เราไม่ใช่กุ๊ก ไม่ใช่ผู้บริหาร เเต่เราเป็นนักลงทุน เรามีทุนเปิดร้านได้ เเละเราก็มอบตำเเหน่งให้เค้าไปจัดการกันเองเป็นทอดๆอีกที
ร้านปัจจุบันเรามี 95 โต๊ะค่ะ จุลูกค้าได้มากกว่าสามร้อยห้าสิบคน มีอาหารมากกว่าร้อยชนิด มีพนักงานมากกว่าสามสิบชีวิต
ทุกวันนี้เราก็ยังไปทำงานเช้าเหมือนเดิม เเต่ไม่เครียดเหมือนก่อน มีเวลาคิดเรื่องปรับปรุงร้านมากขึ้น มีเวลานั่งเปรียบเทียบราคาวัตถุดิบมากขึ้น ไม่ต้องจิตตกกับสารพัดปัญหาเหมือนก่อน หน้าร้านมีผู้จัดการ ในครัวมีผู้จัดการ ให้เค้าคอยควบคุมกันเองเป็นทอดๆ ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆเราจะไม่ยุ่ง
เเละก่อนที่เราจะก้าวมาถึงวันนี้ได้ เราก็เคยผ่านประสพการณ์เหมือนอย่างที่คุณเจออยู่ตอนนี้มาเเล้วทั้งหมดค่ะ เราอยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งท้อนะคะ ทุกปัญหานั้นเเก้ได้ค่ะ ค่อยๆเรียนรู้กับความผิดพลาดไป ตัวเราเองก็ยังมีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ ตราบใดที่ยังไม่ล้มเลิก ก็ยังไม่ถือว่าล้มเหลวค่ะ สู้ต่อไปนะ เอาใจช่วยค่ะ ^__^
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ปรับปรุงเปลี่ยนเเปลงมาเรื่อยๆ มีมาทั้งหมดห้าร้าน จนเมื่อประมาณสองปีที่เเล้ว เราตัดสินใจเดินออกมาทำกันเองกับสามี
ปีเเรกของการลุยด้วยตัวเอง เรางี้น้ำตาหยดเหมะเลยค่ะ จากที่เคยรับผิดชอบเเค่ในส่วนของเรา กลายเป็นว่าต้องรับผิดชอบทั้งหมด เหนื่อยจนเเทบกระอักเลือด เเต่เราก็ไม่สามารถเเสดงความเหนื่อยล้าออกมาได้ เพราะไม่อยากให้สามีเสียกำลังใจ ช่วงที่ร้านไม่ยุ่ง เงินหมุนในร้านไม่พอเราก็ไม่เคยบ่นให้เค้าฟัง เเต่เราเลือกที่จะโทรไปยืมเงินน้องสาวเเทน มาถึงช่วงที่พนักงานขาด เราต้องไปทำงานตั้งเเต่เเปดโมงเช้าเพื่อเตรียมของ (ร้านเปิดสิบเอ็ดโมง) ที่ต้องไปเช้าเพราะต้องเตรียมของให้เสร็จก่อนร้านเปิด เพราะหลังจากร้านเปิดเเล้ว เราต้องดูเเลความเรียบร้อยหน้าร้าน ถ้าวันไหนร้านยุ่งมากๆใช้ของที่เตรียมไว้หมด เราต้องอยู่เตรียมของจนเลยเที่ยงคืนก็มี เเละเราต้องเเสร้งทำเป็นสนุกกับงานทั้งๆที่เหนื่อยจนเเทบจะคลาน กลับถึงบ้านเรานอน ตื่นนอนเราออกไปทำงาน ชีวิตไม่มีอะไรเลยนอกจากบ้านกับร้าน
เราใช้เวลาปีเศษที่จะเริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด จากที่เราไม่เคยรับผิดชอบเรื่องสูตรอาหารเราก็ต้องเรียนเพื่อให้รู้ ร้านเรามีอาหารเป็นร้อยอย่างที่ต้องเตรียม เราต้องค่อยๆเรียนรู้ทีละอย่างจนทุกวันนี้รู้น่าจะเกิน 75% เเล้ว นอกจากรู้เเล้วยังต้องลงมือทำเองเพื่อความชำนาญอีกด้วย ของอะไรขาดเราวิ่งซื้อเองตลอด ปัญหาเจอมาร้อยเเปด ไม่ว่าจะกับลูกค้าหรือกับพนักงาน เหนื่อยทั้งกายเเละใจ เเต่เราก็ไม่เคยคิดที่จะยอมเเพ้ค่ะ เราคิดเเต่เพียงว่า เราจะเเก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง ค่อยๆคิด ค่อยๆเรียนรู้มันไป จนวันนี้เราก็ได้คำตอบเกือบจะทั้งหมดเเล้วค่ะ
เริ่มจากปัญหาเรื่องวัตถุดิบ จากที่เคยวิ่งซื้อเองบ้าง เราเลือกที่จะสั่งของทั้งหมดให้มาส่งที่ร้านค่ะ บริษัทไหนส่งของมาไม่ดีไม่สดหรือเกินราคา เราตีคืนโดยไม่ไว้หน้า จากที่เคยสั่งของเดิมๆจากบริษัทเดิมๆ เราก็เริ่มมองหาบริษัทใหม่เพื่อเปรียบเทียบราคา เราไม่ผู้ขาดกับบริษัทไหนทั้งนั้น อาทิตย์นี้ที่นี่ให้ราคาดี เราก็ซื้อจากที่นี่ อาทิตย์หน้าที่อื่นให้ราคาดีกว่าเราก็ชิ่ง ข้อดีของการทำเเบบนี้คือ เเต่ละบริษัทจะกดราคากันเองเพื่อให้ได้ลูกค้า ปีที่เเล้วเราซื้อกุ้งชนิดเดียวกัน ขนาดเดียวกันในราคา 240 มาถึงวันนี้ ล่าสุดเลย เราได้มาในราคา 139 ร้านเราใช้กุ้งชนิดนี้ตกเดือนละสามสิบกว่าลัง นั่นหมายถึงสามพันกว่าเหรียญ นี่เเค่ปัญหากุ้งๆนะคะ มันยังมีเนื้อหมูไก่เเละอาหารเเห้งอีกร้อยเเปดที่เราต้องทำการบ้าน
ปัญหาถัดมาก็เรื่องพนักงาน ตลอดระยะเวลายี่สิบปีร้านเราไม่เคยจ้างฝรั่งค่ะ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทำไมต้องจ้างเเต่หัวดำเเละเเม๊กซิกันเท่านั้น ทำไมไม่จ้างคนในพื้นที่ ยังมีคนในพื้นที่อีกตั้งเยอะเเยะที่ตกงานเเละพร้อมที่จะทำงานกับเรา ที่พักก็มีเอง ภาษาก็คล่องปรื๋อ ทำไมต้องจ้างเเต่ต่างด้าว เรามีความเชื่อที่ว่า มนุษย์ทุกคนนั้นสอนได้ค่ะ มันไม่จำเป็นเลยจริงๆว่าต้องเป็นคนไทยเท่านั้นถึงจะทำอาหารไทยได้ ฝรั่งคนเเรกที่เราจ้างเข้ามา สามีเราเบรคเอี๊ยดดดดเลย เเต่เราดื้อค่ะ ใครจะว่าไงเราไม่สน คนขาดนี่หว่า ให้มันรู้กันไปข้างนึง เอาไงเอากัน ตอนนี้พนักงานฝรั่งเดินเต็มร้านเราเลยค่ะ เเม้เเต่ผู้ช่วยกุ๊กที่กำลังเรียนรู้ที่จะขึ้นเเท่นเป็นกุ๊กคนต่อไปก็เป็นฝรั่งค่ะ ตอนนี้ต้องการพนักงานเมื่อไหร่เราขึ้นป้ายหน้าร้าน เป็นว่าหมดปัญหาไปอีกเปราะ
มาถึงปัญหาการรับหน้ากับเสียงด่าของลูกค้า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เพราะฉะนั้นใช่ว่าการที่เราทุ่มเทเต็มร้อยก็ใช่ว่าเราจะได้รับผลตอบเเทนกลับมาเต็มร้อยนะคะ พลาดนิดเดียวบางครั้งก็โดนด่าจนเสียกำลังใจเลยก็มี บางครั้งทำงานอยู่ดีๆ ลูกค้าก็เรียกไปด่าซะงั้น พนักงานเสริฟดูเเลไม่ดีบ้าง อาหารไม่ถูกปากบ้าง ทั้งกดทั้งดันจนสมองเเทบจะระเบิด เราตัดสินใจจ้างผู้จัดการเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า อยากด่าก็โน่นเลย เรียกผู้จัดการไปด่าเเทน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเราเป็นเจ้าของร้าน ไม่มีลูกค้าคนไหนขอพบกับเจ้าของร้านได้ เจ้าของร้านไม่เคยอยู่ร้าน (ทั้งๆที่หัวโด่อยู่ทุกวัน) เราไม่ใช่กุ๊ก ไม่ใช่ผู้บริหาร เเต่เราเป็นนักลงทุน เรามีทุนเปิดร้านได้ เเละเราก็มอบตำเเหน่งให้เค้าไปจัดการกันเองเป็นทอดๆอีกที
ร้านปัจจุบันเรามี 95 โต๊ะค่ะ จุลูกค้าได้มากกว่าสามร้อยห้าสิบคน มีอาหารมากกว่าร้อยชนิด มีพนักงานมากกว่าสามสิบชีวิต
ทุกวันนี้เราก็ยังไปทำงานเช้าเหมือนเดิม เเต่ไม่เครียดเหมือนก่อน มีเวลาคิดเรื่องปรับปรุงร้านมากขึ้น มีเวลานั่งเปรียบเทียบราคาวัตถุดิบมากขึ้น ไม่ต้องจิตตกกับสารพัดปัญหาเหมือนก่อน หน้าร้านมีผู้จัดการ ในครัวมีผู้จัดการ ให้เค้าคอยควบคุมกันเองเป็นทอดๆ ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆเราจะไม่ยุ่ง
เเละก่อนที่เราจะก้าวมาถึงวันนี้ได้ เราก็เคยผ่านประสพการณ์เหมือนอย่างที่คุณเจออยู่ตอนนี้มาเเล้วทั้งหมดค่ะ เราอยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งท้อนะคะ ทุกปัญหานั้นเเก้ได้ค่ะ ค่อยๆเรียนรู้กับความผิดพลาดไป ตัวเราเองก็ยังมีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ ตราบใดที่ยังไม่ล้มเลิก ก็ยังไม่ถือว่าล้มเหลวค่ะ สู้ต่อไปนะ เอาใจช่วยค่ะ ^__^
แสดงความคิดเห็น
เปิดร้านอาหารแล้วเหนื่อยมากค่ะ ใครเป็นเจ้าของร้านอาหารช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
อยากจะขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารทุกๆ ท่าน
ว่าใครทำร้านอาหารอะไรบ้าง แล้วเหนื่อยมากๆ เหมือนที่เราเป็นมั้ยคะ
จขกท เปิดร้านอาหารมาได้สี่เดือนแล้วค่ะ
คือเหนื่อยมากๆ จนอยากจะเลิกทำร้านหลายที แต่ก็เลิกไม่ได้ เพราะลงทุนไปเยอะแล้วค่ะ
ที่ร้านเป็นร้านเล็กๆน่ะค่ะ เป็นตึกแถว มีโต๊ะประมาณ 10 โต๊ะ จ้างพ่อครัวไว้ทำอาหารตามสั่ง 1 คน เราทำเองพวกอาหารอีสาน
และก็มีเด็กเสริ์ฟที่ร้านอีก 1 คน คือร้านอยู่ต่างจังหวัด ยอดขายก็ไม่ได้เยอะมาก พอขายได้เรื่อยๆ
แต่ที่เหนื่อยมากคือต้องไปซื้อของจ่ายตลาด เตรียมของ พอขายเสร็จก็ต้องเก็บกวาด เช็คของอีก
คือจริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติของร้านอาหารที่จะต้องเป็นแบบนี้
แต่เราไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อนเลย พอคิดจะมาทำร้านอาหารก็มีคนเตือนหลายคนแล้วว่าเหนื่อยมากนะทำร้านอาหาร
เราก็ไม่คิดว่าจะเหนื่อยขนาดนี้น่ะค่ะ ตอนแรกคิดแค่ว่าจ้างพ่อครัวมา เราทำเองบ้าง จ้างคนช่วยเสริ์ฟ ช่วยล้างจาน เราก็คอยเก็บเงิน
แต่ที่ไหนได้ พอเปิดร้านจริงๆ เราต้องทำเองทุกอย่างเลยค่ะ กลายเป็นตอนนี้แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยค่ะ
ไหนจะมีปัญหาเรื่องพ่อครัวหยุดงานบ่อย ชอบเล่นตัวอีก ลูกจ้างก็หายากค่ะ เปิดมาสี่เดือนเปลี่ยนมาหลายคน
- เลยอยากจะทราบว่าเจ้าของร้านอาหารแต่ละร้านเป็นยังไงกันบ้างคะ เหนื่อยมากเหมือนเรามั้ยคะ
- ทำไมถึงมาเปิดร้านอาหาร แล้วเปิดร้านอะไรกันบ้างคะ
- เศรษฐกิจแบบนี้ที่ร้านของแต่ละท่านขายดีมั้ยคะ
- และมีวิธีบริหารจัดการร้านกันยังไงบ้างคะ
ขอบคุณทุกๆ คำตอบ ทุกๆ คำแนะนำล่วงหน้านะคะ