จากกระทู้นี้นะครับ
http://ppantip.com/topic/30408783
ส่วนใครที่ไม่อยากไปอ่านกระทู้เก่านั้น ผมขอเล่าแบบรวบรัดเลยละกันนะครับ (เอาจริงๆอยากให้ไปอ่านนะครับ จะได้รู้ที่มาที่ไปของผม - -!)
คือผมเปิดร้านอาหาร แต่เรียกว่าร้านขายข้าวดีกว่า เพราะร้านอาหารมันหรูไป 555555+ แต่ร้านของผมมันไปได้ไม่ค่อยดีนัก ผมเลยเพิ่มเมนูอย่างอื่นไปด้วย ตามคำแนะนำและความถนัดของผม จนวันนี้ผมมานั่งคิดหาต้นทุนอาหารในแต่ละวันทั้งหมด รวมทั้งค่า fix cost ที่ผมต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งได้แก่ค่าเช่าที่กับค่าลูกจ้าง (ตอนนี้ยังไม่ได้จ้าง แต่จะต้องรีบจ้าง เพราะถ้าเปิดเทอมผมต้องไปฝึกงาน) พอคำนวนหักลบกับยอดขายในอุดมคติของผม นั่นคือย่างน้อย 100 ชุดต่อวัน เสร็จสรรพแล้วจะเหลือกำไรแค่ 15000 โดยประมาณ จ่ายค่าห้อง ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ เหลือไว้ใช้จ่ายค่าอื่นๆ+เก็บออมประมาณ 7000 บาท ซึ่งมันไม่เพียงพอสำหรับผม
ปัญหาของร้านผมคือ
- ยอดขาย
ตอนนี้ยอดขายกระเตื้องขึ้นมานิดหน่อย แม้จะเพิ่มเมนูไปแล้วก็ตาม แต่บางวันยอดขายก็ตก ยอดขายร้านผมในตอนนี้นั้น เมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบออกไป แทบจะไม่เหลือพอจ่ายค่าเช่าเลยด้วยซ้ำ
- สายป่านสั้น
ร้านของผมสายป่านสั้นมากๆเลยครับ อย่างตอนนี้ถึงเวลาจ่ายค่าเช่า ผมมีให้ไม่พอด้วยซ้ำ จะโทรไปขอแม่อีกก็ไม่ได้แล้ว แม่บอกว่าจะไม่ให้แล้ว ผมต้องรีบหามาจ่ายเค้าให้ได้
- ลูกจ้าง
ตอนนี้ผมยังไม่ได้จ้างลูกจ้าง แต่ก็มีดูๆไว้คนนึง (แม่บ้านที่หอเค้าหาให้ครับ) ถ้าผมจะจ้างลูกจ้างคนนี้ ผมต้องทำให้ยอดขายของผม มากกว่าหรือเท่ากับยอดขายในอุดมคติให้ได้ ผมถึงจะพอหายใจได้บ้าง (แต่ก็ไม่พอใช้อยู่ดี)
ตอนนี้ผมเครียดมากๆเลยครับ ปรึกษาทั้งเพื่อนและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ว่าผมควรจะทำยังไงกับที่ร้านดี โดยแต่ละคนก็ให้คำแนะนำที่แตกต่างกันออกไป แบ่งได้สองประเภทคือ
1.ถอยออกมาก่อน โดยปล่อยเซ้งร้านไปเลย
ซึ่งจากข้อนี้ผมมองทั้งข้อดีและข้อเสียคือ
ข้อดี ถ้าเกิดผมทำต่อไปแล้วยอดขายไม่กระเตื้อง ผมก็จะได้ไม่เจ็บตัวมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปดิ้นรนหาค่าเช่าไปจ่ายเค้าในเดือนต่อไป ของก็ยังใหม่ อาจจะเซ้งได้ในราคาที่ยังดีอยู่
ข้อเสีย ผมจะสูญเสียเงินลงทุนไปเปล่าๆเลย ซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ผมมีอยู่ อีกทั้งอาจจะทำให้แม่เสียใจที่ไปไม่ถึงฝั่ง ล้มเลิกอะไรง่ายๆ เพิ่งเริ่มทำได้แค่เดือนเดียวเอง
2.สู้ต่อไป ร้านไหนๆเปิดแรกๆก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น
ข้อดี ไม่สูญเสียเงินทุนไปสูญเปล่า ลำบากตอนนี้ในอนาคตอาจจะสบายก็ได้ เอาง่ายๆตอนฝึกงาน ผมอาจจะไม่มีเวลาทำงานอย่างอื่นเสริมเลย แต่ถ้าผมยังมีร้านอยู่ ผมก็จะมีเงินเข้า มีกิจการที่ค่อยๆเติบโตไป
ข้อเสีย ถ้าเกิดเปิดต่อไปแต่ยอดขายไม่กระเตื้องเลย แถมลูกจ้างที่จ้างมาเกิดออกเอาดื้อๆ จะลำบากเอาได้ ยิ่งมาออกช่วงฝึกงาน คงหาลูกจ้างคนใหม่+สอนงานไม่ทัน อีกทั้งยังเสี่ยงเพราะร้านสายป่านสั้นเกินไป ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า อาจจะต้องขายทรัพย์สิน ทำให้เข้าเนื้อเข้าตัวมากกว่านี้ (ตอนนี้ก็เข้าแล้ว 5555+)
นั่นคือที่ผมคิดข้อดีข้อเสียทั้งหมดนะครับ จริงๆแล้วที่ผมรีบทำร้านนี้ เพราะผมอยากมีรายได้ ผมอยากให้ร้านมันอยู่ตัวก่อนที่ผมจะเรียนจบ เพราะยังมีธุรกิจอีก 2-3 อย่างที่ผมจะทำในอนาคต อย่างน้อยก็ก่อนอายุ 25 ปี ผมอยากมีเงินเข้าบัญชีเดือนละเยอะๆ หลายๆทาง แต่ถ้าร้านอาหารผมต้องปิดตัวลง นั่นคือทำให้ความฝันของผมผิดแผน ล่าช้าไปนิดหน่อย
แต่ถึงผมจะต้องปิดร้านอาหารนี้ไป ผมก็ต้องหาอย่างอื่นทำต่ออยู่ดี ผมเป็นพวกอยู่เฉยๆไม่ได้ แถมชอบคิดอะไรไกลๆ ชอบคิดถึงอนาคต เงินทอง ความสุขสบาย ผมไม่อยากลำบากตอนแก่ ผมไม่อยากมานั่งเริ่มใหม่ตอนอายุ 30 สำหรับผมแล้วอายุ 30 คือช่วงหาความสุขให้ชีวิต อายุ 25 นี่ ผมอยากได้ธุรกิจที่มั่นคงแน่ๆแล้วหนึ่งอย่าง
เวิ่นเว้อเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว 55555 ถ้าเป็นพี่ๆเพื่อนๆละครับ พี่ๆจะเปิดร้านนี้ต่อหรือปล่อยเซ้งร้านครับ
เมื่อผมเปิดร้านอาหารแต่ไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง อยากได้คำแนะนำ ตอนที่ 2
ส่วนใครที่ไม่อยากไปอ่านกระทู้เก่านั้น ผมขอเล่าแบบรวบรัดเลยละกันนะครับ (เอาจริงๆอยากให้ไปอ่านนะครับ จะได้รู้ที่มาที่ไปของผม - -!)
คือผมเปิดร้านอาหาร แต่เรียกว่าร้านขายข้าวดีกว่า เพราะร้านอาหารมันหรูไป 555555+ แต่ร้านของผมมันไปได้ไม่ค่อยดีนัก ผมเลยเพิ่มเมนูอย่างอื่นไปด้วย ตามคำแนะนำและความถนัดของผม จนวันนี้ผมมานั่งคิดหาต้นทุนอาหารในแต่ละวันทั้งหมด รวมทั้งค่า fix cost ที่ผมต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งได้แก่ค่าเช่าที่กับค่าลูกจ้าง (ตอนนี้ยังไม่ได้จ้าง แต่จะต้องรีบจ้าง เพราะถ้าเปิดเทอมผมต้องไปฝึกงาน) พอคำนวนหักลบกับยอดขายในอุดมคติของผม นั่นคือย่างน้อย 100 ชุดต่อวัน เสร็จสรรพแล้วจะเหลือกำไรแค่ 15000 โดยประมาณ จ่ายค่าห้อง ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ เหลือไว้ใช้จ่ายค่าอื่นๆ+เก็บออมประมาณ 7000 บาท ซึ่งมันไม่เพียงพอสำหรับผม
ปัญหาของร้านผมคือ
- ยอดขาย
ตอนนี้ยอดขายกระเตื้องขึ้นมานิดหน่อย แม้จะเพิ่มเมนูไปแล้วก็ตาม แต่บางวันยอดขายก็ตก ยอดขายร้านผมในตอนนี้นั้น เมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบออกไป แทบจะไม่เหลือพอจ่ายค่าเช่าเลยด้วยซ้ำ
- สายป่านสั้น
ร้านของผมสายป่านสั้นมากๆเลยครับ อย่างตอนนี้ถึงเวลาจ่ายค่าเช่า ผมมีให้ไม่พอด้วยซ้ำ จะโทรไปขอแม่อีกก็ไม่ได้แล้ว แม่บอกว่าจะไม่ให้แล้ว ผมต้องรีบหามาจ่ายเค้าให้ได้
- ลูกจ้าง
ตอนนี้ผมยังไม่ได้จ้างลูกจ้าง แต่ก็มีดูๆไว้คนนึง (แม่บ้านที่หอเค้าหาให้ครับ) ถ้าผมจะจ้างลูกจ้างคนนี้ ผมต้องทำให้ยอดขายของผม มากกว่าหรือเท่ากับยอดขายในอุดมคติให้ได้ ผมถึงจะพอหายใจได้บ้าง (แต่ก็ไม่พอใช้อยู่ดี)
ตอนนี้ผมเครียดมากๆเลยครับ ปรึกษาทั้งเพื่อนและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ว่าผมควรจะทำยังไงกับที่ร้านดี โดยแต่ละคนก็ให้คำแนะนำที่แตกต่างกันออกไป แบ่งได้สองประเภทคือ
1.ถอยออกมาก่อน โดยปล่อยเซ้งร้านไปเลย
ซึ่งจากข้อนี้ผมมองทั้งข้อดีและข้อเสียคือ
ข้อดี ถ้าเกิดผมทำต่อไปแล้วยอดขายไม่กระเตื้อง ผมก็จะได้ไม่เจ็บตัวมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปดิ้นรนหาค่าเช่าไปจ่ายเค้าในเดือนต่อไป ของก็ยังใหม่ อาจจะเซ้งได้ในราคาที่ยังดีอยู่
ข้อเสีย ผมจะสูญเสียเงินลงทุนไปเปล่าๆเลย ซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ผมมีอยู่ อีกทั้งอาจจะทำให้แม่เสียใจที่ไปไม่ถึงฝั่ง ล้มเลิกอะไรง่ายๆ เพิ่งเริ่มทำได้แค่เดือนเดียวเอง
2.สู้ต่อไป ร้านไหนๆเปิดแรกๆก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น
ข้อดี ไม่สูญเสียเงินทุนไปสูญเปล่า ลำบากตอนนี้ในอนาคตอาจจะสบายก็ได้ เอาง่ายๆตอนฝึกงาน ผมอาจจะไม่มีเวลาทำงานอย่างอื่นเสริมเลย แต่ถ้าผมยังมีร้านอยู่ ผมก็จะมีเงินเข้า มีกิจการที่ค่อยๆเติบโตไป
ข้อเสีย ถ้าเกิดเปิดต่อไปแต่ยอดขายไม่กระเตื้องเลย แถมลูกจ้างที่จ้างมาเกิดออกเอาดื้อๆ จะลำบากเอาได้ ยิ่งมาออกช่วงฝึกงาน คงหาลูกจ้างคนใหม่+สอนงานไม่ทัน อีกทั้งยังเสี่ยงเพราะร้านสายป่านสั้นเกินไป ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า อาจจะต้องขายทรัพย์สิน ทำให้เข้าเนื้อเข้าตัวมากกว่านี้ (ตอนนี้ก็เข้าแล้ว 5555+)
นั่นคือที่ผมคิดข้อดีข้อเสียทั้งหมดนะครับ จริงๆแล้วที่ผมรีบทำร้านนี้ เพราะผมอยากมีรายได้ ผมอยากให้ร้านมันอยู่ตัวก่อนที่ผมจะเรียนจบ เพราะยังมีธุรกิจอีก 2-3 อย่างที่ผมจะทำในอนาคต อย่างน้อยก็ก่อนอายุ 25 ปี ผมอยากมีเงินเข้าบัญชีเดือนละเยอะๆ หลายๆทาง แต่ถ้าร้านอาหารผมต้องปิดตัวลง นั่นคือทำให้ความฝันของผมผิดแผน ล่าช้าไปนิดหน่อย
แต่ถึงผมจะต้องปิดร้านอาหารนี้ไป ผมก็ต้องหาอย่างอื่นทำต่ออยู่ดี ผมเป็นพวกอยู่เฉยๆไม่ได้ แถมชอบคิดอะไรไกลๆ ชอบคิดถึงอนาคต เงินทอง ความสุขสบาย ผมไม่อยากลำบากตอนแก่ ผมไม่อยากมานั่งเริ่มใหม่ตอนอายุ 30 สำหรับผมแล้วอายุ 30 คือช่วงหาความสุขให้ชีวิต อายุ 25 นี่ ผมอยากได้ธุรกิจที่มั่นคงแน่ๆแล้วหนึ่งอย่าง
เวิ่นเว้อเรื่องส่วนตัวอีกแล้ว 55555 ถ้าเป็นพี่ๆเพื่อนๆละครับ พี่ๆจะเปิดร้านนี้ต่อหรือปล่อยเซ้งร้านครับ