"กรมสรรพสามิต" ยิ้มร่า
โกยรายได้ 4.3 แสนล้านบาท ทะลุ 2 หมื่นล้าน คุยฟุ้งปีงบ 57 กวาดรายได้เข้ากระเป๋าตามเป้า 4.63 แสนล้านบาทแน่นอน มั่นใจปรับเพิ่มภาษีเหล้าเบียร์ ดันรายได้เพิ่มอีก 1-1.5 หมื่นล้าน...
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า
ในปีงบประมาณ 2556 ที่ผ่านมา ตั้งประมาณการณ์จัดเก็บเอาที่ 410,000 ล้านบาท โดยสามารถจัดเก็บรายได้จริงอยู่ที่ 430,000 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท ส่วนงบประมาณ ปี 57 ตั้งเป้าจัดเก็บเอาไว้ที่ 463,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาจากการวิเคราะห์ของหน่วยงานทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่า 4% ของผลิตภัณฑ์มวลภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งรายได้จากภาษีสรรพสามิตก็จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น คาดว่าการจัดเก็บรายได้ของกรมภาษีอื่นๆ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แน่นอน โดยสินค้าหลักๆ ที่จัดเก็บได้มากขึ้น เช่น ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีสุรา เบียร์ ยาสูบ เป็นต้น
ขณะที่ภาษีเหล้าเบียร์ ภายหลังปรับโครงสร้างภาษี ขณะนี้ผลการจัดเก็บรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นและเข้าพรรษา ประกอบกับมีการปรับโครงสร้างภาษีก็เกิดภาวะชะงัก เพราะรอดูราคาใหม่ ภาษีใหม่ ผู้ประกอบการก็วางแผนตลาดใหม่ ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าได้ข้อสรุปกันแล้ว และเท่าที่ดูสินค้ารอบใหม่ ราคาใหม่ก็ออกสู่ตลาดหมดแล้วไม่มีสินค้าสต๊อกเก่าเหลือแล้ว ทั้งนี้ ภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากมีการปรับโครงสร้างไปแล้ว คาดว่ารายได้จะเพิ่ม 10,000-15,000 ล้านบาท บนสมมติฐานว่าการบริโภคเท่าเดิม
“ยอมรับว่าการขยับภาษีเพิ่มขึ้นก็มีผลทำให้การจัดเก็บรายได้ภาษีมากขึ้นเช่นกัน แต่เท่าที่พิจารราช่วง 1-2 เดือนนี้ ยอดการบริโภคยังไม่เพิ่ม ประกอบการเป็นช่วงเข้าพรรษาและไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะสามารถประเมินรายได้การจัดเก็บหลังปรับขึ้นภาษีได้ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเช้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และเท่าที่ฟังผู้ประกอบการเองก็เตรียมการผลิตสินค้า เพื่อรองรับช่วงเทศกาลปลายปีเช่นเดียวกัน” นายสมชาย กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการคืนเงินในโครงการรถคันแรก ขณะนี้ได้จ่ายเงินคืนไปแล้วประมาณ 500,000 ราย คิดเป็นเงินที่คืนประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ57 ตั้งงบเอาไว้ 40,000 ล้านบาท ส่วนประชาชนที่ยังไม่ได้รับการคืนเงิน เพราะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนและกระบวนการ บางรายที่อาจจะได้รับการคืนเงินจากโครงการฯ ล่าช้าบ้าง ก็เพราะต้องมีเรื่องของการตรวจสอบ แต่โดยส่วนใหญ่ภาพรวมถือว่าเป็นไปตามปกติ
“โดยปกติเมื่อครอบครองรถครบตามกำหนดก็จะได้รับการคืนเงินในเดือนถัดไป แต่ก็ยังมีประชาชนในบางพื้นที่เท่าที่สำรวจดู บางพื้นที่อาจจะยื่นใช้สิทธิ์เยอะ พอถึงช่วงขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ขั้นตอนที่จะจ่ายเงินต้องใช้ระบบแมนนวล จึงอาจทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งผมก็ได้สั่งการไปยังพื้นที่ต่างๆ แล้วว่า หากต้องการใช้คนเพิ่ม ก็พร้อมจะดำเนินการ” นายสมชาย กล่าว
สำหรับกรณีการฟ้องร้องในกระบวนการของศาลนั้น ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 2 ราย ส่วนกรณีคนที่ผิดเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งกรมฯ จะต้องทวงเงินคืน มีอยู่ 50 กว่าราย ส่วนยอดใบจองที่ยังไม่ได้รับรถจากที่ก่อนหน้ามีอยู่ 130,000 รายนั้น ล่าสุด ขณะนี้มีเหลืออยู่ประมาณ 104,000 ราย ซึ่งเท่าที่พิจารณาในแต่ละเดือนยอดใบจองฯ จะลดลงประมาณ 10,000 กว่าราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีผู้ประสงค์ที่ต้องการรับรถอยู่
ขณะที่เรื่องการส่งข้อความไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ที่ถือใบจอง เพื่อสอบถามว่ามีความประสงค์จะรอรับรถในโครงการรถคันแรกหรือไม่นั้น ขณะนี้เพิ่งเริ่มดำเนินการ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการประเมินอีกที ขณะเดียวกัน ทางผู้ประกอบการก็ต้องให้ความร่วมมือในการติดตามผู้ที่ยังถือใบจองอยู่ด้วย เพื่อจะได้นำข้อมูลมาประเมินร่วมกัน
“ยอดใบจองที่มีอยู่แสนกว่ารายนั้น ผมเชื่อว่าผู้ถือฯ บางรายก็อาจจะเปลี่ยนใจไปแล้ว เพราะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามามาก รวมถึงมีการจัดแคมเปญเพื่อดึงดูดใจมากมาย ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตัวเลือกให้กับผู้บริโภค ขณะที่ค่ายรถยนต์เองก็ไม่เดือดร้อนหรือเสียหายอะไร เพราะก็ยังสามารถนำมาจัดโปรโมชั่นใหม่ได้” นายสมชาย กล่าว.
ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/eco/376876
.......................................................................................................................................................................................
เห็นมีกระทู้ว่าจะโดนรีดภาษีกันเท่าไร คงหวังผลทำให้เกิดการตื่นตูมหรือเกิดกระแสเกลียดชังขึ้นโดยไม่มีเหตุมีผล หรือให้เกิดอาการแบบพูดกันปากต่อปาก หรือจำคำพูดคนอื่นๆ เขามากัน อย่างเช่น ดาราสาวที่เคยดังมาในอดีต ก็เลยหาข้อมูลหรือข่าวสารบ้างอย่างมานำเสนอ เผื่อลดกระแสของการปลุกปั่นได้บ้าง
'สรรพสามิต' คุยรายได้ปีงบ 56 ทะลุเป้า
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2556 ที่ผ่านมา ตั้งประมาณการณ์จัดเก็บเอาที่ 410,000 ล้านบาท โดยสามารถจัดเก็บรายได้จริงอยู่ที่ 430,000 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท ส่วนงบประมาณ ปี 57 ตั้งเป้าจัดเก็บเอาไว้ที่ 463,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาจากการวิเคราะห์ของหน่วยงานทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่า 4% ของผลิตภัณฑ์มวลภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งรายได้จากภาษีสรรพสามิตก็จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น คาดว่าการจัดเก็บรายได้ของกรมภาษีอื่นๆ จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แน่นอน โดยสินค้าหลักๆ ที่จัดเก็บได้มากขึ้น เช่น ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีสุรา เบียร์ ยาสูบ เป็นต้น
ขณะที่ภาษีเหล้าเบียร์ ภายหลังปรับโครงสร้างภาษี ขณะนี้ผลการจัดเก็บรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นและเข้าพรรษา ประกอบกับมีการปรับโครงสร้างภาษีก็เกิดภาวะชะงัก เพราะรอดูราคาใหม่ ภาษีใหม่ ผู้ประกอบการก็วางแผนตลาดใหม่ ซึ่งตอนนี้เชื่อว่าได้ข้อสรุปกันแล้ว และเท่าที่ดูสินค้ารอบใหม่ ราคาใหม่ก็ออกสู่ตลาดหมดแล้วไม่มีสินค้าสต๊อกเก่าเหลือแล้ว ทั้งนี้ ภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากมีการปรับโครงสร้างไปแล้ว คาดว่ารายได้จะเพิ่ม 10,000-15,000 ล้านบาท บนสมมติฐานว่าการบริโภคเท่าเดิม
“ยอมรับว่าการขยับภาษีเพิ่มขึ้นก็มีผลทำให้การจัดเก็บรายได้ภาษีมากขึ้นเช่นกัน แต่เท่าที่พิจารราช่วง 1-2 เดือนนี้ ยอดการบริโภคยังไม่เพิ่ม ประกอบการเป็นช่วงเข้าพรรษาและไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะสามารถประเมินรายได้การจัดเก็บหลังปรับขึ้นภาษีได้ในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเช้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว และเท่าที่ฟังผู้ประกอบการเองก็เตรียมการผลิตสินค้า เพื่อรองรับช่วงเทศกาลปลายปีเช่นเดียวกัน” นายสมชาย กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการคืนเงินในโครงการรถคันแรก ขณะนี้ได้จ่ายเงินคืนไปแล้วประมาณ 500,000 ราย คิดเป็นเงินที่คืนประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ57 ตั้งงบเอาไว้ 40,000 ล้านบาท ส่วนประชาชนที่ยังไม่ได้รับการคืนเงิน เพราะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนและกระบวนการ บางรายที่อาจจะได้รับการคืนเงินจากโครงการฯ ล่าช้าบ้าง ก็เพราะต้องมีเรื่องของการตรวจสอบ แต่โดยส่วนใหญ่ภาพรวมถือว่าเป็นไปตามปกติ
“โดยปกติเมื่อครอบครองรถครบตามกำหนดก็จะได้รับการคืนเงินในเดือนถัดไป แต่ก็ยังมีประชาชนในบางพื้นที่เท่าที่สำรวจดู บางพื้นที่อาจจะยื่นใช้สิทธิ์เยอะ พอถึงช่วงขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ขั้นตอนที่จะจ่ายเงินต้องใช้ระบบแมนนวล จึงอาจทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งผมก็ได้สั่งการไปยังพื้นที่ต่างๆ แล้วว่า หากต้องการใช้คนเพิ่ม ก็พร้อมจะดำเนินการ” นายสมชาย กล่าว
สำหรับกรณีการฟ้องร้องในกระบวนการของศาลนั้น ปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 2 ราย ส่วนกรณีคนที่ผิดเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งกรมฯ จะต้องทวงเงินคืน มีอยู่ 50 กว่าราย ส่วนยอดใบจองที่ยังไม่ได้รับรถจากที่ก่อนหน้ามีอยู่ 130,000 รายนั้น ล่าสุด ขณะนี้มีเหลืออยู่ประมาณ 104,000 ราย ซึ่งเท่าที่พิจารณาในแต่ละเดือนยอดใบจองฯ จะลดลงประมาณ 10,000 กว่าราย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีผู้ประสงค์ที่ต้องการรับรถอยู่
ขณะที่เรื่องการส่งข้อความไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ที่ถือใบจอง เพื่อสอบถามว่ามีความประสงค์จะรอรับรถในโครงการรถคันแรกหรือไม่นั้น ขณะนี้เพิ่งเริ่มดำเนินการ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการประเมินอีกที ขณะเดียวกัน ทางผู้ประกอบการก็ต้องให้ความร่วมมือในการติดตามผู้ที่ยังถือใบจองอยู่ด้วย เพื่อจะได้นำข้อมูลมาประเมินร่วมกัน
“ยอดใบจองที่มีอยู่แสนกว่ารายนั้น ผมเชื่อว่าผู้ถือฯ บางรายก็อาจจะเปลี่ยนใจไปแล้ว เพราะมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามามาก รวมถึงมีการจัดแคมเปญเพื่อดึงดูดใจมากมาย ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะตัวเลือกให้กับผู้บริโภค ขณะที่ค่ายรถยนต์เองก็ไม่เดือดร้อนหรือเสียหายอะไร เพราะก็ยังสามารถนำมาจัดโปรโมชั่นใหม่ได้” นายสมชาย กล่าว.
ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/eco/376876
.......................................................................................................................................................................................
เห็นมีกระทู้ว่าจะโดนรีดภาษีกันเท่าไร คงหวังผลทำให้เกิดการตื่นตูมหรือเกิดกระแสเกลียดชังขึ้นโดยไม่มีเหตุมีผล หรือให้เกิดอาการแบบพูดกันปากต่อปาก หรือจำคำพูดคนอื่นๆ เขามากัน อย่างเช่น ดาราสาวที่เคยดังมาในอดีต ก็เลยหาข้อมูลหรือข่าวสารบ้างอย่างมานำเสนอ เผื่อลดกระแสของการปลุกปั่นได้บ้าง