บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ
http://ppantip.com/topic/31083050
บทที่ 8 ความเพลี่ยงพล้ำ
มุกมณียืนมองแสงสีทองของอรุณรุ่งซึ่งกำลังสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับบนลำน้ำเจ้าพระยาด้วยหัวใจอันเปี่ยมสุข นับเป็นครั้งแรกที่เธอเดินร่วมกับบุรุษเพศได้อย่างสนุกสนาน ไร้ความหวาดระแวง และสามารถหัวเราะได้โดยไม่ต้องเกรงสายตาผู้ใด
อันที่จริงแล้วตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการ ผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่พยายามเข้ามาก้อร่อก้อติกกับเธอ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีโอ้โลมหรือพูดจาหว่านล้อม ก็มีบ้างที่ถืออำนาจบาตรใหญ่ใช้อิทธิพลข่มขู่ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยเกรงกลัวเลยสักนิด ไม่ว่าพวกเขาหล่านั้นจะใช้ลูกล่อลูกชนหรืองัดเล่ห์กลมาหลอกสารพัดรูปแบบ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แตะแม้ปลายเล็บของเธอ หรือถ้าคนไหนถือโอกาสจาบจ้วงล่วงเกิน ก็จะได้รับผลตอบแทนที่รุนแรงแสบสัน ถึงขั้นถูกหามส่งโรงพยาบาลก็ยังเคยมีมาแล้ว
มุกมณีไม่นึกถึงคนจำพวกนี้ให้เสียเวลา เพราะในหัวของเธอในตอนนี้มีแต่ภาพของจิรายุสเต็มไปหมด ทั้งที่ครั้งแรกหญิงสาวต้องการแค่หาเรื่องกลั่นแกล้งเขาด้วยความหมั่นไส้เท่านั้น แต่พอได้เห็นแววตากับท่าทางและคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขาแล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อขึ้นในหัวใจโดยไม่รู้ตัว
นางแบบสาวถอนใจออกมายาวๆด้วยความกลัดกลุ้ม ความที่ไม่เคยสุงสิงกับเพศตรงกันข้าม ไม่เคยใส่ใจผู้ชายที่ถูกกำหนดให้เป็นคู่หมั้น ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ว่านี้คืออะไร จะบอกว่ารักมันก็ออกจะเร็วเกินไป เพราะเพิ่งพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง ซ้ำระยะเวลายังไม่ถึงเดือนดีเลยด้วยซ้ำ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีความรู้สึกที่ว่านี้
แล้วไอ้อาการที่เฝ้าคิดถึงแต่เขาอยู่ตลอดเวลานี่ละ คืออะไร มุกมณีตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับถอนใจออกมาอีกครั้ง จะบอกว่าเป็นความรู้สึกที่หลงเหลือจากความสนุกของเมื่อวานก็ไม่น่าจะใช่ แต่พอนึกถึงตอนที่รับไอศกรีมจากมือของเขาแล้ว หัวใจก็เต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมาจากอก แน่นอนว่าเธอประทับใจกับความสุภาพ แม้จะค่อยอ่อนโยนเท่าไหร่แต่ทุกการกระทำล้วนระมัดระมังและให้เกียรติกับเธอ ถึงจะคอยพูดจากระเซ้าเย้าแหย่ แต่ก็เป็นถ้อยคำที่เหมาะสม ไม่ละลาบละล้วงก้าวก่ายเกินเลยไปนัก ตอนที่บอกว่าเธอเกลียดบ่อน้ำขนาดใหญ่เข้ากระดูกดำ สายตาของเขามีทั้งความตระหนกและห่วงใย มันเป็นแววตาที่นอกจากเย็นตาโฟแล้ว ก็ไม่เคยเห็นจากใครอีกเลย
หญิงสาวยกมือขึ้นทาบบนทรวงเพื่อกดหัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้นให้สงบลง วันนี้เธอยังมีงานต้องทำหลายแห่ง จะมามัวพร่ำเพ้อถึงจิรายุสอยู่ไม่ได้ เมื่อสงบจิตใจได้แล้วมุมณีจึงเดินไปเปิดตารางงาน ช่วงบ่ายเป็นงานอีเว้นท์ ส่วนตอนกลางคืนเป็นงานเดินแบบการกุศลซึ่งมีนางแบบเข้าร่วมแค่ไม่กี่คน และจำกัดจำเพาะแขกที่ได้รับเชิญเท่านั้น
มุกมณีย่นจมูกน้อยๆอย่างเบื่อหน่าย เพราะเธอเซ็งงานประเภทนี้มากที่สุด เสื้อผ้าก็มาจากผลงานออกแบบของลูกหลานคนมีหน้ามีตาในสังคม บางชุดก็เก๋ดี แต่บางชุดเหมือนขุดมาจากดาวอังคาร แต่สิ่งที่สร้างความรำคาญให้กับเธอมากที่สุดก็คือการสวมหน้ากากเข้าหากัน บางคนพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ลึกลงไปภายในใจแล้ว ก็คิดดูถูกนางแบบอย่างเธอตลอดเวลา
ความคิดที่ไหลไปเรื่อยเปื่อยถูกขัดด้วยเสียงเพลงจากมือถือ หญิงสาวมองหมายเลขบนหน้าจอก่อนกดรับ
“มุกมณีค่ะ”
“รู้แล้วจ้ะ” เสียงเย็นตาโฟดังเหมือนเจ้าตัวจะทะลุออกมาจากสาย “ไงตื่นแล้วหรือยัง”
“ตื่นนานแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงใสจนคนฟังต้องอุทานเบาๆด้วยความแปลกใจ
“ต๊าย เกิดอะไรขึ้น ทำไมมุกมณีจอมวายร้ายถึงได้อารมณ์ดีกว่าทุกวัน”
“แหม มุกก็พูดแบบนี้ทุกวันอยู่แล้วนี่คะ ถ้าพี่โฟไม่ชอบจะให้เปลี่ยนไปพูดแบบนางร้ายก็ได้”
“อย่างไหนก็สยองพอกันแหละ” เย็นตาโฟตัดบทก่อนพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง “ตื่นแล้วก็ดี อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วโมงพี่ไปรับ”
“ทำไมเร็วนักละคะ งานมีตั้งบ่าย นี่ยังไม่เก้าโมงเลย”
“ทางนั้นรถติดจะตาย สองชั่วโมงจะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้” เย็นตาโฟตอบ “อีกอย่างคนจัดเขาขอร้องมา เห็นบอกว่าต้องให้พวกนางแบบไปศึกษาข้อมูลอะไรบางอย่างก่อน แต่ช่างเถอะ มุกแต่งตัวรอพี่ก็แล้วกัน ข้าวปลาไม่ต้องพี่เตรียมมาให้แล้ว แค่นี้นะ”
เกย์หนุ่มตัดสายทันทีเมื่อพูดจบทำให้มุกมณีต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะแต่ไหนแต่ไรมา ต่อให้เครียดหรืองานเร่งแค่ไหน เย็นตาโฟก็ไม่เคยพูดจาเคร่งขรึมหรือวางหูไปดื้อๆแบบนี้ ความอยากรู้ทำให้หญิงสาวมองโทรศัพท์ในมืออย่างลังเลว่าจะโทร.ย้อนกลับไปดีหรือรอให้ชางแต่งหน้าคนเก่งมาถึงก่อนแล้วค่อยถาม แต่เธอก็ตัดสินใจเลือกข้อหลังเพราะถึงยังไงก็ต้องเจอหน้ากัน อีกอย่างถ้าเป็นเรื่องสำคัญ การเซ้าซี้ซักถามก็จะเป็นการกวนใจอีกฝ่ายมากเกินไป
เย็นตาโฟมาถึงภายในเวลาครึ่งชั่วโมงตามนัด พูดคุยพอหายเหนื่อยแล้วก็พาหญิงสาวออกเดินทาง ระหว่างอยู่ในรถมุกมณีต้องพบกับความประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายเงียบผิดปรกติ นั่งไปได้สักพักเธอตัดสินใจถาม
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่โฟ”
“หือ” เย็นตาโฟสะดุ้งและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีนี่ ถามทำไมเหรอ”
“วันนี้พี่โฟเงียบผิดปรกติ ไม่สบายหรือเปล่า” เธอถามด้วยความเป็นห่วงแต่เกย์หนุ่มกลับส่ายหน้า
“พี่สบายดี แค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย”
“ถ้าเป็นเรื่องงานพี่ก็ต้องบ่นให้มุกบ้างแล้ว” นางแบบสาวพูดและมองเย็นตาโฟ “หน้าของพี่ตอนนี้น่ะ เห็นแล้วรู้เลยว่ากำลังกลุ้มอย่างหนัก ไม่สบายใจเรื่องอะไร บอกน้องคนนี้ได้หรือเปล่า”
เย็นตาโฟทำท่าอึกอักเหมือนไม่อยากพูด แต่พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของมุกมณีแล้วเขาก็ถอนใจออกมาเต็มแรงก่อนตัดสินใจสารภาพ
“ทางบ้านพี่มีเรื่องนิดหน่อย” เขาเม้มปากตัวเองเหมือนลังเลว่าจะเล่าดีไหมก่อนพูดต่อ “ตอนตีห้าพี่สาวพี่โทร.มาบอกว่า พ่อล้ม ต้องเข้าโรงพยาบาล”
“อะไรนะคะ” มุกมณีอุทานด้วยความตระหนกและรีบถามต่อ “แล้วตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ไม่รู้” เย็นตาโฟตอบด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ “แต่ฟังจากเสียงของพี่แล้ว ไม่ค่อยดีเลย”
มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยแน่น นางแบบสาวจึงแตะแขนเขาเบาๆ
“ทำใจดีๆไว้พี่ ท่านคงไม่เป็นอะไรมากหรอก” เธอหยุดคำพูดเล็กน้อยและถอนใจออกมาเบาๆ “มุกไม่อยากเห็นพี่โฟเป็นแบบนี้เลย เอาอย่างนี้ดีกว่า พี่โฟกลับบ้าน ไปคอยดูแลอยู่ข้างๆท่านจนกระทั่งคุณพ่อหายดีแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”
“แต่มันจะดีเหรอ ช่วงนี้งานมุกเยอะด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ มุกพอจะรู้จักช่างแต่งหน้าฝีมือดีอยู่บ้าง ถึงจะเก่งไม่ได้ครึ่งของพี่แต่ก็พอถูไถไปได้”
“แล้วใครจะคอยรับคอยส่ง” เย็นตาโฟแย้ง มุกมณีสั่นศีรษะพร้อมกับยิ้ม
“มุกขับรถเองได้” พอเห็นอีกฝ่ายยังคงลังเลเธอจึงย้ำ “ไม่ต้องห่วงมุกหรอก กลับไปดูแลคุณพ่อเถอะ ท่านเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนะพี่โฟ”
เกย์หนุ่มขมวดคิ้วจนหน้าย่นก่อนผงกศีรษะ
“ก็ได้จ้ะ แต่วันนี้มีตั้งสองงานแถมอยู่ห่างกันคนละที่ พี่ต้องรอให้งานเลิกก่อน ส่งมุกกลับคอนโดให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยไป”
“มันดึกเกินไปค่ะ” มุกมณีติง “พี่โฟอยู่ช่วยแค่งานแรกก็พอ”
“ไม่ได้” เย็นตาโฟแย้งเสียงสูง “ศูนย์ประชุมกับโรงแรมน่ะมันไกลกันมาก มุกจะไปได้ยังไง”
“แท็กซี่ไงคะ” หญิงสาวตอบและหยุดพูดเมื่ออีกฝ่ายหันมาทำตาเขียว
“เป็นสาวเป็นนาง นั่งแท็กซี่ไปคนเดียวได้ยังไง” เขาสะบัดเสียงตำหนิ มุกมณีทำหน้าง้ำ
“แหม คนอื่นเขานั่งกันเยอะแยะ”
“แต่เขาไม่สวยเหมือนมุกนี่คะ” เย็นตาโฟแหวขึ้นมาทันทีและกระแทกลมหายใจก่อนพูดเหมือนตัดบท “ไม่ต้องเถียง เอาเป็นว่าพี่รับมุกจากที่นี่ไปส่งที่โรงแรมก่อน ถึงจะกลับบ้าน ตกลงมั้ย”
แน่นอนว่ามุกมณีไม่เห็นด้วยเพราะเธออยากให้เย็นตาโฟเดินทางออกจากรุงเทพก่อนค่ำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าหากปฏิเสธ เขาจะต้องดึงดันอยู่เป็นเพื่อนเธอให้ถึงที่สุด ดีไม่ดีอาจจะรอจนถึงงานสุดท้ายของคืนนี้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อคนที่ต้องขับรถเป็นระยะทางไกลเท่าใดนัก เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง หญิงสาวจึงจำต้องรับคำ
“ค่ะ”
เย็นตาโฟยิ้มกว้าง
“ดีมาก” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ส่วนเรื่องช่างแต่งหน้าเดี๋ยวพี่หาไว้ให้ จะได้ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่น เกิดเจอคนมือไม่ถึงหน้าสวยๆของมุกก็หมดสง่าราศีกันพอดี”
“แหม คิดมากไปหรือเปล่าคะพี่โฟ ช่างแต่งหน้ามันก็เหมือนๆกันทั้งนั้นแหละ”
“ไม่นะคะ ดูอย่างช่อแก้วสิ แต่งออกมาแต่ละทีหน้าอย่างกับงิ้วหลงโรง”
เกย์หนุ่มแขวะพร้อมกับทำหน้าทำตาเหมือนเป็นเรื่องสยองขวัญ มุกมณีหัวเราะออกมาเบาๆแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อไปถึงสถานที่จัดงาน หญิงสาวต้องเข้าร่วมการประชุมร่วมกับนางแบบที่มาในวันนั้นเพื่อเรียนรุ้ข้อมูลสำคัญบางประการของสินค้า และวางท่าทางให้เข้ากับคอนเซ็ปของงาน เมื่อเข้าใจกันดีแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปแต่งตัว
นางแบบของงานนอกจากมุกมณีแล้วยังมีช่อแก้วและรัศมีฟ้ากับนางแบบสังกัดเดียวกันอีกหลายคน ความวุ่นวายที่มีเกือบตลอดทั้งวันทำให้ช่อแก้วไม่มีเวลามาก่อกวนมุกมณีเหมือนทุกครั้ง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ หญิงสาวเห็นร้อยตำรวจเอกสันติอยู่ในงานด้วย จะบอกว่ามาคอยดูแลคนรักก็ไม่น่าใช่เพราะตอนนั้นเป็นเวลาราชการ และแทนที่นายตำรวจหนุ่มจะมองช่อแก้ว เขากลับเอาแต่จ้องมาที่เธอคนเดียว
ตอนแรกมุกมณีก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะเป็นเรื่องปรกติของผู้ชายที่มักมองแต่สาวสวย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ การจ้องเขม็งอย่างเอาจริงเอาจังของสันติทำให้เธอเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทีละน้อย จากความรำคาญเพิ่มทวีเป็นความอึดอัด มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่อยู่ในงานอีเว้นท์ แรงกดดันอันมหาศาลบีบรัดตัวเธอจนแทบหายใจไม่ได้ หญิงสาวรู้ดีว่าอาการที่เกิดขึ้นมาจากอาคมประเภทหนึ่งแต่ใครเป็นทำ และเพื่ออะไร
ช่วงที่คิดว่าเธอจะต้องเป็นลมล้มพับลงไปนั่นเอง จู่ๆความอึดอัดทั้งหมดก็มลายหายไป พอหันไปดูต้นเหตุปรากฏว่าสันติไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หรือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากฝีมือของเขา แต่มันจะเป็นไปได้กอย่างไรกันที่มนุษย์ผู้ชายธรรมดาจะร่ายอาคมนั้นใส่เธอ
ดวงตาสอดส่ายหานายตำรวจหนุ่มและพบว่าเขากำลังเดินออกจากประตู เมื่อร่างของสันติพ้นไปจากสายตา อากาศที่เคยหนักอึ้งก็ปลอดโปร่งขึ้นมาในทันใด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มุกมณีเริ่มมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากสันติ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร และทำไมต้องเจาะจงมาที่เธอ
หรือใครบางคนสั่งให้เขาทำ
หัวใจของมุกมณีกระตุกวาบเมื่อนึกถึงข้อหลังสุด จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยเข้าใกล้แหล่งน้ำ ไม่อยู่ใกล้สถานที่ซึ่งสามารถสื่อไปยังคนผู้นั้นได้ การกระทำทุกอย่างก็เป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่มีทางที่ ‘เขา’ จะล่วงรู้ว่าเธออยู่ที่ใด
เสียงพิธีกรบนเวทีดึงความคิดทั้งหมดกลับคืนมา มุกมณีจึงจำต้องดึงสมาธิมาที่งานตรงหน้าอีกครั้ง แต่กระนั้นก็ยังไม่วายนึก ไม่ว่าสันติจะเป็นคนทำหรือไม่ หรือใครใช้ให้มา หากตอแยกับเธอมากกว่านี้ คงได้เห็นดีกันแน่
ความคิดของมุกมณีถูกเพียงสิ่งเดียวคือ สันติเฝ้าดูเธอตามคำสั่งของใครบางคน ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ พลตำรวจโทวีระชัย บวรกมลพงศ์ ผู้บังคับบัญชาของเขาเอง
ตอนแรกหน้าที่ของเขาคือการติดตามมุกมณีเท่านั้น แต่ทางกรมได้รับรายงานมาว่า วันนี้ทรงยศนัดพบผู้ซื้อยารายใหม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจมีชื่อคนหนึ่ง พลตำรวจโทวีระชัยจึงมีคำสั่งให้เขานำกำลังมาคอยจับตามอง และรอจนกว่านายทรงยศจะพูดคุยกับลูกค้าเมื่อแน่ใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว จึงจะเข้าทำการจับกุม
รักละไม ไอทะเล บทที่ 8 ความเพลี่ยงพล้ำ
http://ppantip.com/topic/31083050
บทที่ 8 ความเพลี่ยงพล้ำ
มุกมณียืนมองแสงสีทองของอรุณรุ่งซึ่งกำลังสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับบนลำน้ำเจ้าพระยาด้วยหัวใจอันเปี่ยมสุข นับเป็นครั้งแรกที่เธอเดินร่วมกับบุรุษเพศได้อย่างสนุกสนาน ไร้ความหวาดระแวง และสามารถหัวเราะได้โดยไม่ต้องเกรงสายตาผู้ใด
อันที่จริงแล้วตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวงการ ผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่พยายามเข้ามาก้อร่อก้อติกกับเธอ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีโอ้โลมหรือพูดจาหว่านล้อม ก็มีบ้างที่ถืออำนาจบาตรใหญ่ใช้อิทธิพลข่มขู่ แต่หญิงสาวก็ไม่เคยเกรงกลัวเลยสักนิด ไม่ว่าพวกเขาหล่านั้นจะใช้ลูกล่อลูกชนหรืองัดเล่ห์กลมาหลอกสารพัดรูปแบบ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แตะแม้ปลายเล็บของเธอ หรือถ้าคนไหนถือโอกาสจาบจ้วงล่วงเกิน ก็จะได้รับผลตอบแทนที่รุนแรงแสบสัน ถึงขั้นถูกหามส่งโรงพยาบาลก็ยังเคยมีมาแล้ว
มุกมณีไม่นึกถึงคนจำพวกนี้ให้เสียเวลา เพราะในหัวของเธอในตอนนี้มีแต่ภาพของจิรายุสเต็มไปหมด ทั้งที่ครั้งแรกหญิงสาวต้องการแค่หาเรื่องกลั่นแกล้งเขาด้วยความหมั่นไส้เท่านั้น แต่พอได้เห็นแววตากับท่าทางและคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขาแล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อขึ้นในหัวใจโดยไม่รู้ตัว
นางแบบสาวถอนใจออกมายาวๆด้วยความกลัดกลุ้ม ความที่ไม่เคยสุงสิงกับเพศตรงกันข้าม ไม่เคยใส่ใจผู้ชายที่ถูกกำหนดให้เป็นคู่หมั้น ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ว่านี้คืออะไร จะบอกว่ารักมันก็ออกจะเร็วเกินไป เพราะเพิ่งพบกันแค่ไม่กี่ครั้ง ซ้ำระยะเวลายังไม่ถึงเดือนดีเลยด้วยซ้ำ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีความรู้สึกที่ว่านี้
แล้วไอ้อาการที่เฝ้าคิดถึงแต่เขาอยู่ตลอดเวลานี่ละ คืออะไร มุกมณีตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับถอนใจออกมาอีกครั้ง จะบอกว่าเป็นความรู้สึกที่หลงเหลือจากความสนุกของเมื่อวานก็ไม่น่าจะใช่ แต่พอนึกถึงตอนที่รับไอศกรีมจากมือของเขาแล้ว หัวใจก็เต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมาจากอก แน่นอนว่าเธอประทับใจกับความสุภาพ แม้จะค่อยอ่อนโยนเท่าไหร่แต่ทุกการกระทำล้วนระมัดระมังและให้เกียรติกับเธอ ถึงจะคอยพูดจากระเซ้าเย้าแหย่ แต่ก็เป็นถ้อยคำที่เหมาะสม ไม่ละลาบละล้วงก้าวก่ายเกินเลยไปนัก ตอนที่บอกว่าเธอเกลียดบ่อน้ำขนาดใหญ่เข้ากระดูกดำ สายตาของเขามีทั้งความตระหนกและห่วงใย มันเป็นแววตาที่นอกจากเย็นตาโฟแล้ว ก็ไม่เคยเห็นจากใครอีกเลย
หญิงสาวยกมือขึ้นทาบบนทรวงเพื่อกดหัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้นให้สงบลง วันนี้เธอยังมีงานต้องทำหลายแห่ง จะมามัวพร่ำเพ้อถึงจิรายุสอยู่ไม่ได้ เมื่อสงบจิตใจได้แล้วมุมณีจึงเดินไปเปิดตารางงาน ช่วงบ่ายเป็นงานอีเว้นท์ ส่วนตอนกลางคืนเป็นงานเดินแบบการกุศลซึ่งมีนางแบบเข้าร่วมแค่ไม่กี่คน และจำกัดจำเพาะแขกที่ได้รับเชิญเท่านั้น
มุกมณีย่นจมูกน้อยๆอย่างเบื่อหน่าย เพราะเธอเซ็งงานประเภทนี้มากที่สุด เสื้อผ้าก็มาจากผลงานออกแบบของลูกหลานคนมีหน้ามีตาในสังคม บางชุดก็เก๋ดี แต่บางชุดเหมือนขุดมาจากดาวอังคาร แต่สิ่งที่สร้างความรำคาญให้กับเธอมากที่สุดก็คือการสวมหน้ากากเข้าหากัน บางคนพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ลึกลงไปภายในใจแล้ว ก็คิดดูถูกนางแบบอย่างเธอตลอดเวลา
ความคิดที่ไหลไปเรื่อยเปื่อยถูกขัดด้วยเสียงเพลงจากมือถือ หญิงสาวมองหมายเลขบนหน้าจอก่อนกดรับ
“มุกมณีค่ะ”
“รู้แล้วจ้ะ” เสียงเย็นตาโฟดังเหมือนเจ้าตัวจะทะลุออกมาจากสาย “ไงตื่นแล้วหรือยัง”
“ตื่นนานแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงใสจนคนฟังต้องอุทานเบาๆด้วยความแปลกใจ
“ต๊าย เกิดอะไรขึ้น ทำไมมุกมณีจอมวายร้ายถึงได้อารมณ์ดีกว่าทุกวัน”
“แหม มุกก็พูดแบบนี้ทุกวันอยู่แล้วนี่คะ ถ้าพี่โฟไม่ชอบจะให้เปลี่ยนไปพูดแบบนางร้ายก็ได้”
“อย่างไหนก็สยองพอกันแหละ” เย็นตาโฟตัดบทก่อนพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง “ตื่นแล้วก็ดี อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วโมงพี่ไปรับ”
“ทำไมเร็วนักละคะ งานมีตั้งบ่าย นี่ยังไม่เก้าโมงเลย”
“ทางนั้นรถติดจะตาย สองชั่วโมงจะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้” เย็นตาโฟตอบ “อีกอย่างคนจัดเขาขอร้องมา เห็นบอกว่าต้องให้พวกนางแบบไปศึกษาข้อมูลอะไรบางอย่างก่อน แต่ช่างเถอะ มุกแต่งตัวรอพี่ก็แล้วกัน ข้าวปลาไม่ต้องพี่เตรียมมาให้แล้ว แค่นี้นะ”
เกย์หนุ่มตัดสายทันทีเมื่อพูดจบทำให้มุกมณีต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะแต่ไหนแต่ไรมา ต่อให้เครียดหรืองานเร่งแค่ไหน เย็นตาโฟก็ไม่เคยพูดจาเคร่งขรึมหรือวางหูไปดื้อๆแบบนี้ ความอยากรู้ทำให้หญิงสาวมองโทรศัพท์ในมืออย่างลังเลว่าจะโทร.ย้อนกลับไปดีหรือรอให้ชางแต่งหน้าคนเก่งมาถึงก่อนแล้วค่อยถาม แต่เธอก็ตัดสินใจเลือกข้อหลังเพราะถึงยังไงก็ต้องเจอหน้ากัน อีกอย่างถ้าเป็นเรื่องสำคัญ การเซ้าซี้ซักถามก็จะเป็นการกวนใจอีกฝ่ายมากเกินไป
เย็นตาโฟมาถึงภายในเวลาครึ่งชั่วโมงตามนัด พูดคุยพอหายเหนื่อยแล้วก็พาหญิงสาวออกเดินทาง ระหว่างอยู่ในรถมุกมณีต้องพบกับความประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายเงียบผิดปรกติ นั่งไปได้สักพักเธอตัดสินใจถาม
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่โฟ”
“หือ” เย็นตาโฟสะดุ้งและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ไม่มีนี่ ถามทำไมเหรอ”
“วันนี้พี่โฟเงียบผิดปรกติ ไม่สบายหรือเปล่า” เธอถามด้วยความเป็นห่วงแต่เกย์หนุ่มกลับส่ายหน้า
“พี่สบายดี แค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย”
“ถ้าเป็นเรื่องงานพี่ก็ต้องบ่นให้มุกบ้างแล้ว” นางแบบสาวพูดและมองเย็นตาโฟ “หน้าของพี่ตอนนี้น่ะ เห็นแล้วรู้เลยว่ากำลังกลุ้มอย่างหนัก ไม่สบายใจเรื่องอะไร บอกน้องคนนี้ได้หรือเปล่า”
เย็นตาโฟทำท่าอึกอักเหมือนไม่อยากพูด แต่พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของมุกมณีแล้วเขาก็ถอนใจออกมาเต็มแรงก่อนตัดสินใจสารภาพ
“ทางบ้านพี่มีเรื่องนิดหน่อย” เขาเม้มปากตัวเองเหมือนลังเลว่าจะเล่าดีไหมก่อนพูดต่อ “ตอนตีห้าพี่สาวพี่โทร.มาบอกว่า พ่อล้ม ต้องเข้าโรงพยาบาล”
“อะไรนะคะ” มุกมณีอุทานด้วยความตระหนกและรีบถามต่อ “แล้วตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง”
“พี่ไม่รู้” เย็นตาโฟตอบด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังจะร้องไห้ “แต่ฟังจากเสียงของพี่แล้ว ไม่ค่อยดีเลย”
มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยแน่น นางแบบสาวจึงแตะแขนเขาเบาๆ
“ทำใจดีๆไว้พี่ ท่านคงไม่เป็นอะไรมากหรอก” เธอหยุดคำพูดเล็กน้อยและถอนใจออกมาเบาๆ “มุกไม่อยากเห็นพี่โฟเป็นแบบนี้เลย เอาอย่างนี้ดีกว่า พี่โฟกลับบ้าน ไปคอยดูแลอยู่ข้างๆท่านจนกระทั่งคุณพ่อหายดีแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”
“แต่มันจะดีเหรอ ช่วงนี้งานมุกเยอะด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ มุกพอจะรู้จักช่างแต่งหน้าฝีมือดีอยู่บ้าง ถึงจะเก่งไม่ได้ครึ่งของพี่แต่ก็พอถูไถไปได้”
“แล้วใครจะคอยรับคอยส่ง” เย็นตาโฟแย้ง มุกมณีสั่นศีรษะพร้อมกับยิ้ม
“มุกขับรถเองได้” พอเห็นอีกฝ่ายยังคงลังเลเธอจึงย้ำ “ไม่ต้องห่วงมุกหรอก กลับไปดูแลคุณพ่อเถอะ ท่านเป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนะพี่โฟ”
เกย์หนุ่มขมวดคิ้วจนหน้าย่นก่อนผงกศีรษะ
“ก็ได้จ้ะ แต่วันนี้มีตั้งสองงานแถมอยู่ห่างกันคนละที่ พี่ต้องรอให้งานเลิกก่อน ส่งมุกกลับคอนโดให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยไป”
“มันดึกเกินไปค่ะ” มุกมณีติง “พี่โฟอยู่ช่วยแค่งานแรกก็พอ”
“ไม่ได้” เย็นตาโฟแย้งเสียงสูง “ศูนย์ประชุมกับโรงแรมน่ะมันไกลกันมาก มุกจะไปได้ยังไง”
“แท็กซี่ไงคะ” หญิงสาวตอบและหยุดพูดเมื่ออีกฝ่ายหันมาทำตาเขียว
“เป็นสาวเป็นนาง นั่งแท็กซี่ไปคนเดียวได้ยังไง” เขาสะบัดเสียงตำหนิ มุกมณีทำหน้าง้ำ
“แหม คนอื่นเขานั่งกันเยอะแยะ”
“แต่เขาไม่สวยเหมือนมุกนี่คะ” เย็นตาโฟแหวขึ้นมาทันทีและกระแทกลมหายใจก่อนพูดเหมือนตัดบท “ไม่ต้องเถียง เอาเป็นว่าพี่รับมุกจากที่นี่ไปส่งที่โรงแรมก่อน ถึงจะกลับบ้าน ตกลงมั้ย”
แน่นอนว่ามุกมณีไม่เห็นด้วยเพราะเธออยากให้เย็นตาโฟเดินทางออกจากรุงเทพก่อนค่ำ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าหากปฏิเสธ เขาจะต้องดึงดันอยู่เป็นเพื่อนเธอให้ถึงที่สุด ดีไม่ดีอาจจะรอจนถึงงานสุดท้ายของคืนนี้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อคนที่ต้องขับรถเป็นระยะทางไกลเท่าใดนัก เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง หญิงสาวจึงจำต้องรับคำ
“ค่ะ”
เย็นตาโฟยิ้มกว้าง
“ดีมาก” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ส่วนเรื่องช่างแต่งหน้าเดี๋ยวพี่หาไว้ให้ จะได้ไม่ต้องไปแย่งกับคนอื่น เกิดเจอคนมือไม่ถึงหน้าสวยๆของมุกก็หมดสง่าราศีกันพอดี”
“แหม คิดมากไปหรือเปล่าคะพี่โฟ ช่างแต่งหน้ามันก็เหมือนๆกันทั้งนั้นแหละ”
“ไม่นะคะ ดูอย่างช่อแก้วสิ แต่งออกมาแต่ละทีหน้าอย่างกับงิ้วหลงโรง”
เกย์หนุ่มแขวะพร้อมกับทำหน้าทำตาเหมือนเป็นเรื่องสยองขวัญ มุกมณีหัวเราะออกมาเบาๆแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อไปถึงสถานที่จัดงาน หญิงสาวต้องเข้าร่วมการประชุมร่วมกับนางแบบที่มาในวันนั้นเพื่อเรียนรุ้ข้อมูลสำคัญบางประการของสินค้า และวางท่าทางให้เข้ากับคอนเซ็ปของงาน เมื่อเข้าใจกันดีแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปแต่งตัว
นางแบบของงานนอกจากมุกมณีแล้วยังมีช่อแก้วและรัศมีฟ้ากับนางแบบสังกัดเดียวกันอีกหลายคน ความวุ่นวายที่มีเกือบตลอดทั้งวันทำให้ช่อแก้วไม่มีเวลามาก่อกวนมุกมณีเหมือนทุกครั้ง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ หญิงสาวเห็นร้อยตำรวจเอกสันติอยู่ในงานด้วย จะบอกว่ามาคอยดูแลคนรักก็ไม่น่าใช่เพราะตอนนั้นเป็นเวลาราชการ และแทนที่นายตำรวจหนุ่มจะมองช่อแก้ว เขากลับเอาแต่จ้องมาที่เธอคนเดียว
ตอนแรกมุกมณีก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะเป็นเรื่องปรกติของผู้ชายที่มักมองแต่สาวสวย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ การจ้องเขม็งอย่างเอาจริงเอาจังของสันติทำให้เธอเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทีละน้อย จากความรำคาญเพิ่มทวีเป็นความอึดอัด มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่อยู่ในงานอีเว้นท์ แรงกดดันอันมหาศาลบีบรัดตัวเธอจนแทบหายใจไม่ได้ หญิงสาวรู้ดีว่าอาการที่เกิดขึ้นมาจากอาคมประเภทหนึ่งแต่ใครเป็นทำ และเพื่ออะไร
ช่วงที่คิดว่าเธอจะต้องเป็นลมล้มพับลงไปนั่นเอง จู่ๆความอึดอัดทั้งหมดก็มลายหายไป พอหันไปดูต้นเหตุปรากฏว่าสันติไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หรือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากฝีมือของเขา แต่มันจะเป็นไปได้กอย่างไรกันที่มนุษย์ผู้ชายธรรมดาจะร่ายอาคมนั้นใส่เธอ
ดวงตาสอดส่ายหานายตำรวจหนุ่มและพบว่าเขากำลังเดินออกจากประตู เมื่อร่างของสันติพ้นไปจากสายตา อากาศที่เคยหนักอึ้งก็ปลอดโปร่งขึ้นมาในทันใด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มุกมณีเริ่มมั่นใจว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากสันติ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร และทำไมต้องเจาะจงมาที่เธอ
หรือใครบางคนสั่งให้เขาทำ
หัวใจของมุกมณีกระตุกวาบเมื่อนึกถึงข้อหลังสุด จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยเข้าใกล้แหล่งน้ำ ไม่อยู่ใกล้สถานที่ซึ่งสามารถสื่อไปยังคนผู้นั้นได้ การกระทำทุกอย่างก็เป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่มีทางที่ ‘เขา’ จะล่วงรู้ว่าเธออยู่ที่ใด
เสียงพิธีกรบนเวทีดึงความคิดทั้งหมดกลับคืนมา มุกมณีจึงจำต้องดึงสมาธิมาที่งานตรงหน้าอีกครั้ง แต่กระนั้นก็ยังไม่วายนึก ไม่ว่าสันติจะเป็นคนทำหรือไม่ หรือใครใช้ให้มา หากตอแยกับเธอมากกว่านี้ คงได้เห็นดีกันแน่
ความคิดของมุกมณีถูกเพียงสิ่งเดียวคือ สันติเฝ้าดูเธอตามคำสั่งของใครบางคน ซึ่งคนผู้นั้นก็คือ พลตำรวจโทวีระชัย บวรกมลพงศ์ ผู้บังคับบัญชาของเขาเอง
ตอนแรกหน้าที่ของเขาคือการติดตามมุกมณีเท่านั้น แต่ทางกรมได้รับรายงานมาว่า วันนี้ทรงยศนัดพบผู้ซื้อยารายใหม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจมีชื่อคนหนึ่ง พลตำรวจโทวีระชัยจึงมีคำสั่งให้เขานำกำลังมาคอยจับตามอง และรอจนกว่านายทรงยศจะพูดคุยกับลูกค้าเมื่อแน่ใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว จึงจะเข้าทำการจับกุม