บทที่ 6 ปลาดิบมื้อพิเศษ
http://ppantip.com/topic/31050731
บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ
แสงไฟจากแผงสปอร์ตไลท์นับสิบดวงสาดส่องลงมายังเวที กระทบนางแบบสาวสวยที่กำลังเดินนวยนาดอวดความงามบนเวทีริมสระน้ำของโรงแรมหรูระดับห้าดาว เนื่งจากวันนี้เป็นการเดินแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อชื่อดังชั้นแนวหน้า ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่จึงเป็นบุคคลชั้นสูงในวงสังคม รูปแบบของงานจึงเป็นไปในแบบโอ่อ่า หรูหราตระการตา
แฟชั่นช่วงแรกเป็นเสื้อผ้าลำลองสำหรับหน้าร้อน เน้นความบางเบาโปร่งสบายแต่สวยเก๋ปราดเปรียว นางแบบที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มโชว์เสื้อผ้าชุดนี้คือช่อแก้ว ผู้มีบุคลิกคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ชุดต่อไปเป็นเสื้อผ้ากึ่งชุดทำงานซึ่งเหมาะกับรัศมีฟ้า ที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนมุกมณีเดินแบบในกลุ่มสุดท้ายที่เป็นชุดออกงานตอนกลางคืน แม้จะเรียบง่ายแต่กลับงามสง่า ที่สำคัญคือถึงจะเดินร่วมกับนางแบบอีกหลายคน แต่กลับมีแค่เธอเท่านั้นที่ดูงดงาม โดดเด่นสะดุดตา
เมื่อแฟชั่นลำลองชุดสุดท้ายจบลง นางแบบกลุ่มต่อไปจึงก้าวขึ้นเวทีในชุดว่ายน้ำ เสียงเพลงคลาสสิคอันไพเราะของการเดินในชุดก่อนถูกเปลี่ยนให้เป็นจังหวะร้อนแรงเร้าอารมณ์ รับกับท่วงท่าของนางแบบสาวหุ่นเซ็กซี่ที่กำลังเดินโยกย้ายส่ายสะโพกอวดเรือนร่างอวบอิ่มภายใต้ชุดว่ายน้ำตัวเล็กจิ๋ว ทำเอาสุภาพบุรุษทั้งหนุ่มและแก่ยืนน้ำลายหกไปตามกัน หลายคนเปรยด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นมุกมณีในชุดวาบหวาม แต่พอเห็นนางแบบสาวซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในงาน พวกเขาก็รีบหุบปากยืนนิ่งเพราะรู้ดีว่าหากเธอได้ยินสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่เป็นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่
ความจริงแล้วมุกมณีได้ยินคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเธอตั้งแต่อยู่ในห้องแต่งตัว ซึ่งก็มาจากกลุ่มคนในวงการด้วยกัน เพราะนางแบบส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยงเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ขอเพียงมีงานและไม่ละเมิดต่อศีลธรรมอันดีงามมากเกินไปนัก ต่อให้ต้องนุ่งผ้าแพรผืนเดียวออกมาเดิน พวกเธอก็ยินดี
ที่น่าแปลกก็คือครั้งนี้รัศมีฟ้ากับช่อแก้วปฏิเสธการเดินแบบชุดว่ายน้ำด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมุกมณีก็ไม่ได้สนใจซักถามถึงเหตุผล เธอไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเสื้อผ้าที่ใส่ในวันนี้มียี่ห้อว่าอะไร นางแบบสาวแค่ขับรถมาทำงานและคงกลับทันทีเหมือนทุกครั้งแต่เจ้าของห้องเสื้อขอร้องให้เธออยู่ร่วมงานต่ออีกสักนิด เพื่อพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติ แม้ไม่ชอบแต่มุกมณีก็ไม่ปฏิเสธเพราะรู้ดีว่ามันการโปรโมทสินค้าไปในตัว
อีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอไม่อยากได้ยินเสียงเย็นตาโฟบ่นเรื่องการวางตัวในสังคมให้ฟัง
เดินวนรอบงานได้สักพักเจ้าของห้องเสื้อก็เข้ามากล่าวคำทักทายพร้อมกับขอบคุณที่เธออยู่ร่วมงานและแยกตัวไปทักทายแขกท่านอื่นหลังจากนั้น มุกมณีจึงคิดว่าเธอควรกลับบ้านเสียที ตอนที่กำลังวางแก้วลงบนโต๊ะเตรียมจะออกจากงาน รัศมีฟ้าซึ่งยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งเกิดหันมาเห็นเข้าพอดี
“มุก” เธอร้องเรียบพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นมุกมณีทำท่าเหมือนจะเดินออกจากงานเลี้ยง “จะกลับแล้วเหรอ”
“ค่ะ” มุกมณีตอบสั้นๆ รัศมีฟ้าทำหน้าสงสัย
“จะรีบกลับทำไม งานยังไม่เลิกเลยนะ”
“แต่งานของมุกเสร็จแล้วค่ะ” นางแบบสาวตอบ อีกฝ่ายจึงจุ๊ปากเบาๆ
“ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลยนะ เสร็จงานปุ๊บก็กลับปั๊บ ฟ้ารู้ว่ามุกเป็นคนจริงจังกับงาน แต่ถ้ามีงานเลี้ยงแบบนี้ก็ควรอยู่ต่ออีกหน่อย พูดคุยทักทายคนอื่นบ้างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท”
“มุกไม่รู้จักใครสักคน” มุกมณีตอบอย่างไม่แยแสนักจึงโดนรัศมีฟ้าตีแขนเบาๆ
“ข้ออ้างเด็กๆ เอ้า ถ้าไม่รู้จักใครฟ้าก็จะแนะนำให้สักคน” พูดพลางคว้าข้อมือเธอลากไปหาชายที่เธอคุยด้วยเมื่อครู่ “เขาเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งนอกเชียวนะ”
ประโยคสุดท้ายจบพอดีเมื่อทั้งสองหยุดยืนตรงหน้าคนที่พูดถึง รัศมีฟ้าผายมือไปที่ชายผู้นั้นพร้อมกับกล่าวแนะนำ
“คุณเกริกเกียรติ ลิ้มเจริญภูษาไพศาล เจ้าของบริษัทลิ้มเจริญกาเม้นท์” เธอหันไปทางฝ่ายชาย “มุกมณี วงศ์นาคา เพื่อนของฟ้าเองค่ะ”
เขาส่งยิ้มกว้างจนตาหยีพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า
“สวัสดีครับคุณมุกมณี ได้ยินชื่อของคุณมานาน ตัวจริงสวยกว่าที่คิดมาก”
มุกมณีชำเลืองตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะคุณเกริกเกียรติที่รัศมีฟ้าแนะนำเป็นชายร่างท้วมวัยประมาณ 45-55 ปี ใบหน้าค่อนข้างกลม ดวงตาพราวระยับอย่างไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะรอยยิ้ม เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าหมอนี่เป็นนักธุรกิจจำพวกเฒ่าหัวงู
“สวัสดีค่ะ” นางแบบสาวพนมมือไหว้ เกริกเกียรติจึงดึงมือกลับพร้อมกับส่งยิ้มแห้งแก้เก้อ
“แหม ทักทายแบบไทยซะด้วย กุลสตรีร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ”
เขาพูดติดตลก รัศมีฟ้ายิ้มพร้อมกับรีบกล่าวเสริม
“มุกเขาถือว่าพบผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ยกมือไหว้ค่ะ”
“ดีครับมือไม้อ่อนแบบนี้ผมชอบ” นายเกริกเกียรติพูดพร้อมกับยิ้มกว้างกว่าเดิมจนแทบจะเห็นฟันทั้ง 32 ซี่ มุกมณียังคงวางสีหน้าเฉยขณะตอบ
“ก็ไม่ได้อ่อนอะไรหรอกค่ะคุณเกริกเกียรติ แค่คิดว่าไม่ควรจับมือกับใครโดยไม่สมควรเท่านั้น”
รอยยิ้มหดลงมาเล็กน้อย ความกลัวว่าบรรยากาศจะมืดทะมึนมากไปกว่านี้ รัศมีฟ้าจึงต้องรีบแก้
“มุกเขาหมายถึงขนบธรรมเนียมเก่าแก่ที่ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันค่ะ”
“อ๋อ งั้นเหรอครับ แหมหัวโบราณกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
เกริกเกียรติพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก มุกมณีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบอย่างไว้ตัว
“ไม่ใช่แค่โบราณ ฉันมาจากครอบครัวที่เก่าแก่เกินกว่าที่ทุกคนคิดอีกค่ะ คุณเกริกเกียรติ”
เห็นได้ชัดว่าเกริกเกียรติไม่ได้สนใจสิ่งที่มุกมณีบอกเลยสักนิด เพราะพอเธอพูดจบเขาก็สวนทันควัน
“เรียกผมว่าเสี่ยลิ้มก็ได้”
พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างจนใบหน้าอวบอูมเบ่งบานจนแก้มแทบปริ มุกมณีส่งยิ้มตอบแบบแกนๆพลางมองหาทางเลี่ยงแต่รัศมีฟ้าชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“คุณเกริกเกียรติกำลังมองหานางแบบสำหรับโฆษณาสินค้าในแบรนด์ของตัวเอง พอเห็นมุกเลยสนใจอยากติดต่อขอไปร่วมงาน”
“ใช่ครับ รูปร่างของคุณมุกมณีเหมาะกับเสื้อผ้าของบริษัทเรามาก” เกริกเกียรติรีบพูด “ผมขอพูดตรงๆว่าอยากได้คุณมาเป็นนางแบบ มาร่วมงานกับผมเถอะนะครับ”
“ความจริงฉันเองก็ไม่อยากให้คุรผิดหวังหรอกนะคะ แต่ระยะนี้คิวงานฉันเต็มตลอด”
มุกมณีตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ แต่เกริกเกียรติกลับเข้าใจไปอีกทาง
“ถ้าเป็นเรื่องค่าตัวไม่มีปัญหา ผมยินดีจ่ายไม่อั้น”
นางแบบสาวมองเขาด้วยหางตาก่อนตอบเสียงเย็น
“ฉันบอกแล้วไงคะว่า ไม่ว่าง”
สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกว่าเธอกำลังไม่สบอารมณ์ ทำให้รัศมีฟ้าใจหายวาบเพราะกลัวมุกมณีจะอาละวาดตะเพิดเสี่ยคนนี้ออกจากงาน แต่ฝ่ายชายกลับยิ้มกว้างเหมือนไม่ถือสาท่าทางของนางแบบสาวเลยสักนิด
“ถ้าช่วงกลางวันไม่ว่าง นัดทำงานกันตอนกลางคืนก็ได้ ผมจะหาช่างภาพมือดีมารอ และยินดีเพิ่มค่าใช้จ่ายให้เป็นพิเศษ”
ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างออกหน้าออกตาทำให้คิ้วสวยของนางแบบสาวขมวดเข้าหากัน เธอจึงตั้งใจตัดบทด้วยการขอตัวกลับแต่ยังไม่ทันพูด ก็ถูกใครบางคนกระแทกจนเซ ซ้ำตัวยังเย็นวาบเหมือนโดนน้ำเย็นจัดราด มุกมณีมองคราบสีเหลืองที่กระจายบนเสื้อของตัวเองก่อนเบนสายตาไปจ้องต้นเหตุที่กำลังยืนทำตาโต
“ต๊าย ขอโทษด้วย ฉันสะดุดพรมน่ะ”
ช่อแก้วลอยหน้าลอยตาพูด รัศมีฟ้าจึงโพล่งถามอย่างเหลืออด
“สะดุดหรือตั้งใจกันแน่”
“ตั้งใจอะไร” ช่อแก้วย้อนเสียงห้วน รัศมีฟ้าพยายามนับให้ถึงสิบก่อนตอบ
“คุณตั้งในสาดน้ำใส่มุก”
ช่อแก้วทำเป็นยกมือขึ้นปิดปากและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตระหนก
“ตายแล้ว ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ก็คุณ...”
“ช่างเถอะค่ะคุณฟ้า” มุกมณีกล่าวตัดบท พลางชำเลืองมองช่อแก้วด้วยดวงตาคมกริบวาววับ ก่อนตวัดกลับไปยังรัศมีฟ้าอีกครั้งและพูดเสียงราบเรียบ
“มุกกลับก่อนนะคะ”
เธอเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจสายตาคนที่ยืนอยู่รอบตัว รัศมีฟ้ามองตามด้วยความเห็นใจก่อนจะหันกลับไปต่อว่าช่อแก้ว ปรากฏว่าคู่กรณีตัวแสบได้หายไปแล้วเช่นเดียวกัน หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความแค้นใจ
“นังบ้า”
เธอพึมพำออกมาเบาๆด้วยความโกรธก่อนปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติและหันไปส่งยิ้มหวานกับนายเกริกเกียรติพร้อมกับหาเรื่องพูดคุยเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้น
*/*/*/*/*
เมื่อออกจากห้องจัดงาน มุกมณีเลี้ยวเข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดรอยเปื้อนบนเสื้อ เสร็จจากนั้นจึงกดลิฟต์ลงไปยังชั้นจอดรถ ซึ่งเมื่อไปถึง นางแบบสาวต้องยืนลังเลอยู่ชั่วอึดใจเพราะลานจอดรถของสถานที่แห่งนี้ทั้งมืดและวังเวงจนน่ากลัว ตอนแรกเธอคิดจะย้อนกลับขึ้นไปยังล็อบบี้และโทร.ให้เย็นตาโฟมารับ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ช่างคนเก่งไปช่วยงานแต่งงานของเพื่อน เธอจึงเปลี่ยนใจ หลังจากยืนรีรออีกครู่ใหญ่หญิงสาวจึงเดินตรงไปที่รถของเธอ
เสียงกอกแกกของรองเท้าส้นสูงทำให้เธออุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยทำลายความเงียบอันน่ากลัวนี้ลงไปได้ เดินไปได้สักพักมุกมณีก็เริ่มรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เหมือนจู่ๆอากาศรอบตัวหนักอึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน แรงกดดันอันมหาศาลบดอัดลงมาพร้อมกันทุกด้านจนเธอรู้สึกเหมือนร่างกำลังถูกบดขยี้ให้บี้แบน
หัวใจเต้นเร็วขึ้นจนแทบไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวพยายามข่มความรู้สึกดังกล่าวและกวาดตามองหาต้นเหตุ จากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในงานอีเว้นท์ทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ความผิดปรกติของร่างกาย หากเกิดจากคุณไสยหรืออาคมบางอย่างของใครบางคน ซึ่งเธอไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำเช่นนี้ทำไม
ถึงจะไล่สายตามองรอบตัวไปมาหลายครั้งแต่เธอกลับไม่พบสิ่งของหรือใครสักคน ที่น่าแปลกก็คือ อาการทั้งหมดหายไปอย่างฉับพลัน นางแบบสาวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับกวาดตาไปโดยรอบอีกครั้ง เมื่อไม่พบใครเธอจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่พอใกล้ถึงรถ มุกมณีต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด อันที่จริงมันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะที่นี่เป็นลานจอดรถ คนที่มาก็น่าจะมีจุดประสงค์แบบเดียวกัน ที่ไม่ปรกติก็คือ เจ้าของเงาที่ว่ากำลังตรงดิ่งมาหาเธอ
มือกระชับกระเป๋าแน่นโดยตั้งใจว่าจะประเคนลงบนหัวอย่างไม่นับ ถ้าเจ้าคนนั้นมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่พอเจ้าของเงาเดินเข้ามาใกล้ แผนการที่วางไว้ก็หายวับไป เพราะชุดที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่เป็นเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่มากกว่านั้นก็คือ เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นของช่อแก้ว เพื่อนนางแบบที่เพิ่งมีเรื่องกับเธอเมื่อกี้
“อ้าว คุณมุกมณี” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม “มาทำอะไรแถวนี้คนเดียวครับเนี่ย”
“มุกจะไปที่รถค่ะ” เธอตอบพลางบอกเป้าหมายที่พูดด้วยสายตา ร้อยตำรวจเอกสันติมองตามแล้วผงกศีรษะ
“เดินคนเดียวมันอันตราย ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับ” พูดจบก็เดินนำหน้าออกไป มุกมณียืนลังเลเล็กน้อยก่อนเดินตาม
“คุณสันติมาทำอะไรแถวนี้คะ” เธอถาม อีกฝ่ายยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ผมมารับแก้วครับ” เขาชำเลืองมองหญิงสาวแล้วขมวดคิ้ว เพราะปรกติแล้วเธอมักจะไปไหนมาไหนโดยมีช่างแต่งหน้าหนุ่มเป็นเงาตามตัว แต่วันนี้กลับเห็นหญิงสาวเดินอยู่ตามลำพัง
“แล้ววันนี้คุณเย็นตาโฟไม่มาด้วยเหรอครับ” เขาถาม มุกมณีสั่นศีรษะ
“พี่โฟติดธุระที่อื่นค่ะ”
“ช่างประจำตัวไม่อยู่แบบนี้คุณมุกไม่ลำบากแย่หรือครับ” นายตำรวจหนุ่มถาม
“ไม่หรอกค่ะ ในงานก็ยังมีช่างแต่งหน้าหลายคน ถึงฝีมือจะสู้พี่โฟไม่ได้แต่ไม่ถึงกับแย่จนเกินไป”
รักละไม ไอทะเล บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ
http://ppantip.com/topic/31050731
บทที่ 7 การเดทแบบสายฟ้าแลบ
แสงไฟจากแผงสปอร์ตไลท์นับสิบดวงสาดส่องลงมายังเวที กระทบนางแบบสาวสวยที่กำลังเดินนวยนาดอวดความงามบนเวทีริมสระน้ำของโรงแรมหรูระดับห้าดาว เนื่งจากวันนี้เป็นการเดินแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อชื่อดังชั้นแนวหน้า ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่จึงเป็นบุคคลชั้นสูงในวงสังคม รูปแบบของงานจึงเป็นไปในแบบโอ่อ่า หรูหราตระการตา
แฟชั่นช่วงแรกเป็นเสื้อผ้าลำลองสำหรับหน้าร้อน เน้นความบางเบาโปร่งสบายแต่สวยเก๋ปราดเปรียว นางแบบที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มโชว์เสื้อผ้าชุดนี้คือช่อแก้ว ผู้มีบุคลิกคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ชุดต่อไปเป็นเสื้อผ้ากึ่งชุดทำงานซึ่งเหมาะกับรัศมีฟ้า ที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนมุกมณีเดินแบบในกลุ่มสุดท้ายที่เป็นชุดออกงานตอนกลางคืน แม้จะเรียบง่ายแต่กลับงามสง่า ที่สำคัญคือถึงจะเดินร่วมกับนางแบบอีกหลายคน แต่กลับมีแค่เธอเท่านั้นที่ดูงดงาม โดดเด่นสะดุดตา
เมื่อแฟชั่นลำลองชุดสุดท้ายจบลง นางแบบกลุ่มต่อไปจึงก้าวขึ้นเวทีในชุดว่ายน้ำ เสียงเพลงคลาสสิคอันไพเราะของการเดินในชุดก่อนถูกเปลี่ยนให้เป็นจังหวะร้อนแรงเร้าอารมณ์ รับกับท่วงท่าของนางแบบสาวหุ่นเซ็กซี่ที่กำลังเดินโยกย้ายส่ายสะโพกอวดเรือนร่างอวบอิ่มภายใต้ชุดว่ายน้ำตัวเล็กจิ๋ว ทำเอาสุภาพบุรุษทั้งหนุ่มและแก่ยืนน้ำลายหกไปตามกัน หลายคนเปรยด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นมุกมณีในชุดวาบหวาม แต่พอเห็นนางแบบสาวซึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในงาน พวกเขาก็รีบหุบปากยืนนิ่งเพราะรู้ดีว่าหากเธอได้ยินสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่เป็นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่
ความจริงแล้วมุกมณีได้ยินคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเธอตั้งแต่อยู่ในห้องแต่งตัว ซึ่งก็มาจากกลุ่มคนในวงการด้วยกัน เพราะนางแบบส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยงเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ขอเพียงมีงานและไม่ละเมิดต่อศีลธรรมอันดีงามมากเกินไปนัก ต่อให้ต้องนุ่งผ้าแพรผืนเดียวออกมาเดิน พวกเธอก็ยินดี
ที่น่าแปลกก็คือครั้งนี้รัศมีฟ้ากับช่อแก้วปฏิเสธการเดินแบบชุดว่ายน้ำด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมุกมณีก็ไม่ได้สนใจซักถามถึงเหตุผล เธอไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเสื้อผ้าที่ใส่ในวันนี้มียี่ห้อว่าอะไร นางแบบสาวแค่ขับรถมาทำงานและคงกลับทันทีเหมือนทุกครั้งแต่เจ้าของห้องเสื้อขอร้องให้เธออยู่ร่วมงานต่ออีกสักนิด เพื่อพูดคุยกับแขกผู้มีเกียรติ แม้ไม่ชอบแต่มุกมณีก็ไม่ปฏิเสธเพราะรู้ดีว่ามันการโปรโมทสินค้าไปในตัว
อีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอไม่อยากได้ยินเสียงเย็นตาโฟบ่นเรื่องการวางตัวในสังคมให้ฟัง
เดินวนรอบงานได้สักพักเจ้าของห้องเสื้อก็เข้ามากล่าวคำทักทายพร้อมกับขอบคุณที่เธออยู่ร่วมงานและแยกตัวไปทักทายแขกท่านอื่นหลังจากนั้น มุกมณีจึงคิดว่าเธอควรกลับบ้านเสียที ตอนที่กำลังวางแก้วลงบนโต๊ะเตรียมจะออกจากงาน รัศมีฟ้าซึ่งยืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่งเกิดหันมาเห็นเข้าพอดี
“มุก” เธอร้องเรียบพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหา และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นมุกมณีทำท่าเหมือนจะเดินออกจากงานเลี้ยง “จะกลับแล้วเหรอ”
“ค่ะ” มุกมณีตอบสั้นๆ รัศมีฟ้าทำหน้าสงสัย
“จะรีบกลับทำไม งานยังไม่เลิกเลยนะ”
“แต่งานของมุกเสร็จแล้วค่ะ” นางแบบสาวตอบ อีกฝ่ายจึงจุ๊ปากเบาๆ
“ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยเลยนะ เสร็จงานปุ๊บก็กลับปั๊บ ฟ้ารู้ว่ามุกเป็นคนจริงจังกับงาน แต่ถ้ามีงานเลี้ยงแบบนี้ก็ควรอยู่ต่ออีกหน่อย พูดคุยทักทายคนอื่นบ้างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท”
“มุกไม่รู้จักใครสักคน” มุกมณีตอบอย่างไม่แยแสนักจึงโดนรัศมีฟ้าตีแขนเบาๆ
“ข้ออ้างเด็กๆ เอ้า ถ้าไม่รู้จักใครฟ้าก็จะแนะนำให้สักคน” พูดพลางคว้าข้อมือเธอลากไปหาชายที่เธอคุยด้วยเมื่อครู่ “เขาเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งนอกเชียวนะ”
ประโยคสุดท้ายจบพอดีเมื่อทั้งสองหยุดยืนตรงหน้าคนที่พูดถึง รัศมีฟ้าผายมือไปที่ชายผู้นั้นพร้อมกับกล่าวแนะนำ
“คุณเกริกเกียรติ ลิ้มเจริญภูษาไพศาล เจ้าของบริษัทลิ้มเจริญกาเม้นท์” เธอหันไปทางฝ่ายชาย “มุกมณี วงศ์นาคา เพื่อนของฟ้าเองค่ะ”
เขาส่งยิ้มกว้างจนตาหยีพร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า
“สวัสดีครับคุณมุกมณี ได้ยินชื่อของคุณมานาน ตัวจริงสวยกว่าที่คิดมาก”
มุกมณีชำเลืองตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะคุณเกริกเกียรติที่รัศมีฟ้าแนะนำเป็นชายร่างท้วมวัยประมาณ 45-55 ปี ใบหน้าค่อนข้างกลม ดวงตาพราวระยับอย่างไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะรอยยิ้ม เห็นแล้วก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าหมอนี่เป็นนักธุรกิจจำพวกเฒ่าหัวงู
“สวัสดีค่ะ” นางแบบสาวพนมมือไหว้ เกริกเกียรติจึงดึงมือกลับพร้อมกับส่งยิ้มแห้งแก้เก้อ
“แหม ทักทายแบบไทยซะด้วย กุลสตรีร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ”
เขาพูดติดตลก รัศมีฟ้ายิ้มพร้อมกับรีบกล่าวเสริม
“มุกเขาถือว่าพบผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ยกมือไหว้ค่ะ”
“ดีครับมือไม้อ่อนแบบนี้ผมชอบ” นายเกริกเกียรติพูดพร้อมกับยิ้มกว้างกว่าเดิมจนแทบจะเห็นฟันทั้ง 32 ซี่ มุกมณียังคงวางสีหน้าเฉยขณะตอบ
“ก็ไม่ได้อ่อนอะไรหรอกค่ะคุณเกริกเกียรติ แค่คิดว่าไม่ควรจับมือกับใครโดยไม่สมควรเท่านั้น”
รอยยิ้มหดลงมาเล็กน้อย ความกลัวว่าบรรยากาศจะมืดทะมึนมากไปกว่านี้ รัศมีฟ้าจึงต้องรีบแก้
“มุกเขาหมายถึงขนบธรรมเนียมเก่าแก่ที่ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันค่ะ”
“อ๋อ งั้นเหรอครับ แหมหัวโบราณกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
เกริกเกียรติพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก มุกมณีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบอย่างไว้ตัว
“ไม่ใช่แค่โบราณ ฉันมาจากครอบครัวที่เก่าแก่เกินกว่าที่ทุกคนคิดอีกค่ะ คุณเกริกเกียรติ”
เห็นได้ชัดว่าเกริกเกียรติไม่ได้สนใจสิ่งที่มุกมณีบอกเลยสักนิด เพราะพอเธอพูดจบเขาก็สวนทันควัน
“เรียกผมว่าเสี่ยลิ้มก็ได้”
พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างจนใบหน้าอวบอูมเบ่งบานจนแก้มแทบปริ มุกมณีส่งยิ้มตอบแบบแกนๆพลางมองหาทางเลี่ยงแต่รัศมีฟ้าชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“คุณเกริกเกียรติกำลังมองหานางแบบสำหรับโฆษณาสินค้าในแบรนด์ของตัวเอง พอเห็นมุกเลยสนใจอยากติดต่อขอไปร่วมงาน”
“ใช่ครับ รูปร่างของคุณมุกมณีเหมาะกับเสื้อผ้าของบริษัทเรามาก” เกริกเกียรติรีบพูด “ผมขอพูดตรงๆว่าอยากได้คุณมาเป็นนางแบบ มาร่วมงานกับผมเถอะนะครับ”
“ความจริงฉันเองก็ไม่อยากให้คุรผิดหวังหรอกนะคะ แต่ระยะนี้คิวงานฉันเต็มตลอด”
มุกมณีตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่สนใจ แต่เกริกเกียรติกลับเข้าใจไปอีกทาง
“ถ้าเป็นเรื่องค่าตัวไม่มีปัญหา ผมยินดีจ่ายไม่อั้น”
นางแบบสาวมองเขาด้วยหางตาก่อนตอบเสียงเย็น
“ฉันบอกแล้วไงคะว่า ไม่ว่าง”
สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกว่าเธอกำลังไม่สบอารมณ์ ทำให้รัศมีฟ้าใจหายวาบเพราะกลัวมุกมณีจะอาละวาดตะเพิดเสี่ยคนนี้ออกจากงาน แต่ฝ่ายชายกลับยิ้มกว้างเหมือนไม่ถือสาท่าทางของนางแบบสาวเลยสักนิด
“ถ้าช่วงกลางวันไม่ว่าง นัดทำงานกันตอนกลางคืนก็ได้ ผมจะหาช่างภาพมือดีมารอ และยินดีเพิ่มค่าใช้จ่ายให้เป็นพิเศษ”
ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างออกหน้าออกตาทำให้คิ้วสวยของนางแบบสาวขมวดเข้าหากัน เธอจึงตั้งใจตัดบทด้วยการขอตัวกลับแต่ยังไม่ทันพูด ก็ถูกใครบางคนกระแทกจนเซ ซ้ำตัวยังเย็นวาบเหมือนโดนน้ำเย็นจัดราด มุกมณีมองคราบสีเหลืองที่กระจายบนเสื้อของตัวเองก่อนเบนสายตาไปจ้องต้นเหตุที่กำลังยืนทำตาโต
“ต๊าย ขอโทษด้วย ฉันสะดุดพรมน่ะ”
ช่อแก้วลอยหน้าลอยตาพูด รัศมีฟ้าจึงโพล่งถามอย่างเหลืออด
“สะดุดหรือตั้งใจกันแน่”
“ตั้งใจอะไร” ช่อแก้วย้อนเสียงห้วน รัศมีฟ้าพยายามนับให้ถึงสิบก่อนตอบ
“คุณตั้งในสาดน้ำใส่มุก”
ช่อแก้วทำเป็นยกมือขึ้นปิดปากและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตระหนก
“ตายแล้ว ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ก็คุณ...”
“ช่างเถอะค่ะคุณฟ้า” มุกมณีกล่าวตัดบท พลางชำเลืองมองช่อแก้วด้วยดวงตาคมกริบวาววับ ก่อนตวัดกลับไปยังรัศมีฟ้าอีกครั้งและพูดเสียงราบเรียบ
“มุกกลับก่อนนะคะ”
เธอเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจสายตาคนที่ยืนอยู่รอบตัว รัศมีฟ้ามองตามด้วยความเห็นใจก่อนจะหันกลับไปต่อว่าช่อแก้ว ปรากฏว่าคู่กรณีตัวแสบได้หายไปแล้วเช่นเดียวกัน หญิงสาวเม้มปากแน่นด้วยความแค้นใจ
“นังบ้า”
เธอพึมพำออกมาเบาๆด้วยความโกรธก่อนปรับอารมณ์ให้เป็นปรกติและหันไปส่งยิ้มหวานกับนายเกริกเกียรติพร้อมกับหาเรื่องพูดคุยเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่เกิดขึ้น
*/*/*/*/*
เมื่อออกจากห้องจัดงาน มุกมณีเลี้ยวเข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดรอยเปื้อนบนเสื้อ เสร็จจากนั้นจึงกดลิฟต์ลงไปยังชั้นจอดรถ ซึ่งเมื่อไปถึง นางแบบสาวต้องยืนลังเลอยู่ชั่วอึดใจเพราะลานจอดรถของสถานที่แห่งนี้ทั้งมืดและวังเวงจนน่ากลัว ตอนแรกเธอคิดจะย้อนกลับขึ้นไปยังล็อบบี้และโทร.ให้เย็นตาโฟมารับ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ช่างคนเก่งไปช่วยงานแต่งงานของเพื่อน เธอจึงเปลี่ยนใจ หลังจากยืนรีรออีกครู่ใหญ่หญิงสาวจึงเดินตรงไปที่รถของเธอ
เสียงกอกแกกของรองเท้าส้นสูงทำให้เธออุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยทำลายความเงียบอันน่ากลัวนี้ลงไปได้ เดินไปได้สักพักมุกมณีก็เริ่มรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เหมือนจู่ๆอากาศรอบตัวหนักอึ้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน แรงกดดันอันมหาศาลบดอัดลงมาพร้อมกันทุกด้านจนเธอรู้สึกเหมือนร่างกำลังถูกบดขยี้ให้บี้แบน
หัวใจเต้นเร็วขึ้นจนแทบไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดกลัว หญิงสาวพยายามข่มความรู้สึกดังกล่าวและกวาดตามองหาต้นเหตุ จากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งในงานอีเว้นท์ทำให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ความผิดปรกติของร่างกาย หากเกิดจากคุณไสยหรืออาคมบางอย่างของใครบางคน ซึ่งเธอไม่รู้เหมือนกันว่าเขาทำเช่นนี้ทำไม
ถึงจะไล่สายตามองรอบตัวไปมาหลายครั้งแต่เธอกลับไม่พบสิ่งของหรือใครสักคน ที่น่าแปลกก็คือ อาการทั้งหมดหายไปอย่างฉับพลัน นางแบบสาวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับกวาดตาไปโดยรอบอีกครั้ง เมื่อไม่พบใครเธอจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่พอใกล้ถึงรถ มุกมณีต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด อันที่จริงมันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะที่นี่เป็นลานจอดรถ คนที่มาก็น่าจะมีจุดประสงค์แบบเดียวกัน ที่ไม่ปรกติก็คือ เจ้าของเงาที่ว่ากำลังตรงดิ่งมาหาเธอ
มือกระชับกระเป๋าแน่นโดยตั้งใจว่าจะประเคนลงบนหัวอย่างไม่นับ ถ้าเจ้าคนนั้นมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่พอเจ้าของเงาเดินเข้ามาใกล้ แผนการที่วางไว้ก็หายวับไป เพราะชุดที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่เป็นเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่มากกว่านั้นก็คือ เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นของช่อแก้ว เพื่อนนางแบบที่เพิ่งมีเรื่องกับเธอเมื่อกี้
“อ้าว คุณมุกมณี” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม “มาทำอะไรแถวนี้คนเดียวครับเนี่ย”
“มุกจะไปที่รถค่ะ” เธอตอบพลางบอกเป้าหมายที่พูดด้วยสายตา ร้อยตำรวจเอกสันติมองตามแล้วผงกศีรษะ
“เดินคนเดียวมันอันตราย ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมไปเป็นเพื่อนนะครับ” พูดจบก็เดินนำหน้าออกไป มุกมณียืนลังเลเล็กน้อยก่อนเดินตาม
“คุณสันติมาทำอะไรแถวนี้คะ” เธอถาม อีกฝ่ายยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“ผมมารับแก้วครับ” เขาชำเลืองมองหญิงสาวแล้วขมวดคิ้ว เพราะปรกติแล้วเธอมักจะไปไหนมาไหนโดยมีช่างแต่งหน้าหนุ่มเป็นเงาตามตัว แต่วันนี้กลับเห็นหญิงสาวเดินอยู่ตามลำพัง
“แล้ววันนี้คุณเย็นตาโฟไม่มาด้วยเหรอครับ” เขาถาม มุกมณีสั่นศีรษะ
“พี่โฟติดธุระที่อื่นค่ะ”
“ช่างประจำตัวไม่อยู่แบบนี้คุณมุกไม่ลำบากแย่หรือครับ” นายตำรวจหนุ่มถาม
“ไม่หรอกค่ะ ในงานก็ยังมีช่างแต่งหน้าหลายคน ถึงฝีมือจะสู้พี่โฟไม่ได้แต่ไม่ถึงกับแย่จนเกินไป”