ขอบคุณภาพสวยๆ จากอินเตอร์เน๊ตจ้า
ในห้วงนิทราแสนสุข ร่างอรชรซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น หญิงสาวสวมชุดนอนกระโปรงผ้าซาตินเนื้อนุ่มลื่นผิว เธอหลับสบายภายใต้อุณหภูมิคงที่ของเครื่องปรับอากาศ นอกบ้านฟ้าครึ้มฝนพรำหรือลมแรงเท่าใดมิอาจลอดผ่านหน้าต่างกระจกหนามาต้องผิวกายของเธอได้
รอยยิ้มคลี่ประดับแต่งแต้มเล็กน้อย เธอคงฝันดี และกำลังมีความสุข ทว่าคงไม่รู้ ว่าความสุขในฝันหวานของเธอกำลังจะถูกรบกวน
เงาตะคุ่มหน้ารั้วบ้านหากไม่เพ่งตามอง บรรยากาศมืดสลัวยามห้านาฬิกาก็ยากจะรู้ว่าคือใคร ฝีเท้าเงียบเชียบ ย่องไปมา ล้วงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาจดจ้อง วุ่นวายอยู่กับมันสักพักก่อนจะตัดสินใจ เงานั้นวนเวียนอยู่ใกล้รั้วเตี้ยแล้วสุดท้ายก็ปีนป่ายข้ามรั้วเข้ามาในเขตบ้าน ไร้สุ่มไร้เสียง ราวกับว่าไร้ตัวตน
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” บางเสียงรบกวนเข้าโสตประสาท ปลุกหญิงสาวจากภวังค์ฝันหวาน เธอมีสติแต่ยังไม่พร้อมลืมตา สมองทวนคิด ตีความว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นั่นคืออะไร มันดังมาจากปลายเตียง ใกล้เธอมากเหลือเกิน พลันความคิดหนึ่งก็พุ่งชนความรู้สึก เธอดึงผ้าห่มขึ้นคลุมแล้วหลับตาแน่น ปักใจเชื่อไปว่าสิ่งไร้ชีวิตแวะเวียนมาทักทาย ข่มใจ ข่มกาย อย่าได้ตระหนกตื่นกับสิ่งไม่มีตัวตนที่ทำอันตรายใดๆ มิได้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงนั้นยังดัง และเมื่อตั้งใจฟังอีกครั้ง กลับไม่ใช่เสียงเคาะเตียงอย่างที่เธอเข้าใจในคราแรก หญิงสาวลืมตาโพล่งมองเพดานในห้องมืด ก่อนจะจ้องนิ่งไปที่บานหน้าต่างซึ่งมีผ้าม่านผืนหนาปิดสนิทเพราะเสียงเคาะยังดังต่อเนื่องอีกหลายครา
บ้านที่เธออาศัยอยู่เป็นบ้านชั้นเดียว ฝั่งห้องนอนของเธออยู่ติดกับลานกว้างข้างตัวบ้านที่ใช้เป็นโรงจอดรถ คืนนี้เธออยู่คนเดียว ปิดล็อคบ้านล็อครั้วเรียบร้อยเหมือนทุกวันเพราะไม่ไว้ใจสังคมโหดร้ายนอกบ้าน พักนี้ยิ่งมีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับขโมยขโจรในหมู่บ้านที่พักอาศัย ก็ต้องยิ่งระวังชีวิตและทรัพย์สิน
เสียงหัวใจเต้นแรงแข่งกับความคิดในสมองที่วิ่งพล่าน ตาวาวฉายประกายหวาดกลัวเด่นชัด หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง กำผ้านวมของตัวเองแน่น เธอหันลีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ค่อยๆ ขยับตัวเพราะเกรงจะเกิดซุ่มเสียงให้บางสิ่งบางอย่างที่ยังเป็นปริศนาอยู่ภายนอกนั้นรับรู้ว่าเธอตื่นขึ้นแล้ว
“ตีห้า” มือสั่นขยับไปคว้านาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมากดดูเวลา แล้วพึมพำอยู่ในใจ สมองคิดไปต่างๆ นานา หากเป็นผู้ร้าย เธอควรทำเช่นไร หรือหากไม่ใช่ล่ะ!
หญิงสาวคิดอะไรไม่ออก เธอพยายามตั้งสติ แล้วค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ไม่กล้าเปิดไฟ ไม่กล้าเปิดประตูห้อง ไม่กล้ากระทำการใดอันเป็นบ่อเกิดแห่งเสียงทั้งปวง ใจนึกถึงโทรศัพท์ที่วางทิ้งเอาไว้นอกห้องเพราะไม่อยากได้ยินเสียงรบกวนเวลานอน เธอค่อยๆ ย่อง อาศัยแสงสลัวที่มองไม่เห็นอะไรมากนัก ตัดสินใจแง้มผ้าม่านเล็กน้อยแล้วสอดส่องต้นกำเนิดของเสียงนั่น ความบกพร่องทางสายตาทำให้เธอต้องเพ่งมากกว่าคนปกติ ไม่อยากย้อนกลับไปหยิบแว่นสายตาที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงให้เสียเวลา
เงาตะคุ่มด้านนอกนั่นทำให้หญิงสาวผงะถอยห่างจากบานหน้าต่างมาหลายก้าว เงาของผู้ขายคนหนึ่งที่เธอเห็นไม่ถนัดถนี่นัก ก้อนเนื้อในอกเร่งจังหวะรุนแรงจนหายใจลำบาก มือไม้เย็นปานว่าแช่ในบ่อน้ำแข็งนานนับชั่วโมง ปากคอสั่นกับเงาอันน่าสะพรึงที่ทำให้คิดถึงสิ่งไร้ชีวิตเป็นอันดับต้น หญิงสาวหลับตาแน่น พนมมือชิดหว่างอกแล้วท่องพึมพำไม่เป็นภาษา ฟังคล้ายบทแผ่เมตตาและคาถาปราบผีที่ตีกันยุ่งไปหมด
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะกระจกหน้าต่างดังแหวกอากาศมาเขย่าความกลัว ร่างอรชรแข้งขาอ่อนแทบทรุดลงนั่ง เธอทำใจดีสู้ผีในจินตนาการแล้วเดินไปแง้มม่านส่องดูอีกครั้งก่อนจะยกมือทาบอกเมื่อเงาปริศนาหายไปจากที่ที่เคยมี
หญิงสาวตัดสินใจเปิดไฟทั้งห้องสว่างโร่แล้ววิ่งไปคว้าแว่นสายตามาสวม เธอเปิดประตูรวดเร็วแล้วตาลีตาเหลือกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งเอาไว้นอกห้อง
“บ้าชะมัด” เธอสบถอย่างหัวเสีย เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้แบตเตอรี่ก็เกเรหมดเกลี้ยงเพราะเธอสะเพร่าเองที่ไม่ได้เสียบสายชาร์ตทิ้งเอาไว้
“ตึ่ง ๆๆๆ ” พลันร่างเล็กก็สะดุ้งเพราะเสียงรัวทุบประตูบ้าน ใจหายยวบลงไปกองแทบเท้าเช่นเดียวกับโทรศัพท์เครื่องจ้อยที่หล่นลงพื้น
“ไอ้ผีบ้า แผ่เมตตาแล้วยังไม่ไปอีก” เมื่อมั่นใจว่าเป็นผีมิใช่ขโมยขโจร ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกทำร้าย หญิงสาวกัดปากแล้วจ้องตาอาฆาตผีร้ายด้านนอก ริอาจก่อกวนเวลานอนอันแสนสุขของเธอ คงไม่รู้สินะว่าจะต้องเจอกับอะไร
ความมั่นใจเหลือล้นสั่งให้เธอวิ่งเข้าห้องพระ เปิดกางหนังสือสวดมนต์ กราบพระเรียบร้อยก็ร่ายคาถาบทสวดสำคัญ เสียงทุบประตูด้านนอกสงบลงแล้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมา หญิงสาวตัดสินใจคว้ามีดอาคมแกร่งกล้าของอาจารย์ดังแล้วเดินดุ่มไปยืนดักผีอีกครั้งที่หน้าประตูปิดสนิท
“ตึ่งๆๆๆ ” ผีร้ายยังดื้อ มันทุบประตูอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ประตูบ้านเธอชำรุดไปแล้วจะเรียกเก็บค่าเสียหายกับใครได้ หญิงสาวเริ่มเหลืออด เธอดึงมีดลงอาคมออกจากฝัก ผีก็ผีเถอะ ขอสู้กันสักตั้ง หรือหากไม่ใช่ผี อย่างน้อย มีดเล่มนี้ก็เป็นอาวุธชั้นดีได้ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้วาดลวดลายบู๊สนั่น เสียงตะโกนด้านนอกก็ดังลั่นขึ้นและชะงักทุกความคิดของเธอลงสิ้น
“น้ำ! เปิดประตูให้หน่อย”
“ตึ่งๆๆ น้ำ! เร็ว ฝนจะตกแล้วนะ”
เสียงคุ้นหูดับความบ้าบิ่นทั้งหมดทั้งมวล หญิงสาวร้อง เฮ้ย! ออกมาอย่างตกใจ แล้วจ้องผ่านกระจกสีชาที่ตกแต่งประตูบ้านเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าด้านนอกนั่น ไม่ใช่ผี และขโมยขโจร
“ตายแล้ว!” เธอร้องลั่น เก็บมีดอาคมลงฝักแล้ววิ่งไปคว้าพวงกุญแจมาไขปลดล็อคแม่กุญแจสองลูกใหญ่ที่ล็อคประตูเอาไว้แน่นหนารวดเร็วปานความไวแสง
“ปล่อยให้เคาะอยู่ได้ตั้งนาน เกือบเปียกแล้วเนี่ย” เสียงบ่นกะปอดกะแปดของคนเป็นๆ ที่เธอเข้าใจไปเองว่าเป็นผีร้ายดังขึ้นเมื่อเธอเปิดประตูบ้านให้เขา คนตัวสูงหน้าบึ้ง จ้องหน้าเธอสุดสงสัยแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก
“แล้วนี่น้ำเอามีดหมอมาทำไม”
“ก็นึกว่าผีน่ะสิ! คนบ้า ตกใจหมดเลย จะมาตอนนี้ทำไมไม่บอก” แล้วเจ้าของเงาปริศนาก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจกับความหน้าแตกยับของภรรยาตัวเอง ก่อนจะดึงมีดหมอจากมือเธอไปเก็บเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดประตูบ้านให้อย่างเรียบร้อย
“แล้วทำไมกลับมาเร็วนักล่ะ ไหนว่าจะกลับมาตอนหกโมง” เธอถามในขณะที่เขาโอบเอวพาเดินกลับห้อง
“ก็รีบบึ่งรถกลับมา คิดถึงเมีย” เขาพูดทะเล้นแล้วหัวเราะคิกฟังเธอบ่นต่ออีกสักหน่อย
“ตกใจจะแย่ ดีนะไม่หัวใจวายตายไปน่ะ นึกว่าถูกผีหลอกซะอีก ผีบ้าอะไรไม่รู้ เ.ียนชะมัด”
“ผีที่ไหน นี่ผัวทั้งคนนะ เห็นผัวเป็นผีได้ยังไง” เขาหยอกขณะล้มตัวลงนอนเคียงข้าง ดึงภรรยาสุดรักมากอดปลอบแล้วนอนฟังเธอเล่าเรื่องระทึกขวัญที่เกิดจากจินตนาการของตัวเองล้วนๆ รวมทั้งตอบคำถามว่าธุระของเขาเรียบร้อยดีหรือไม่ ซ้ำเธอยังขอโทษขอโพยที่สะเพร่าปล่อยให้โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ในช่วงเวลาสำคัญ
“อยากโดนผีหลอกจริงๆ มั้ยล่ะ” เขาเย้าแหย่ ลูบแก้มนุ่มนิ่มแล้วยิ้มตาพราว
“บ้าสิ ใครอยากจะโดนผีหลอก”
“ผีผ้าห่มไง ไม่น่ากลัวหรอก”
เขาว่าแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุม แปลงร่างเป็นเสือหนุ่มที่พร้อมแล้วจะขยุ้มเนื้อลูกกวางน้อย เสียงหัวเราะคิกคักของหนุ่มสาวบ่งบอกว่าบรรยากาศในห้องกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู
แต่ภารกิจพิชิตเหยื่อของผีผ้าห่มพลันต้องดับวูบลงเมื่อเสียงเคาะบานกระจกที่หน้าต่างห้องนอนดังแหวกอากาศมาให้ได้ยิน และมันชัดเจน กลบเสียงหัวเราะแห่งความสุขของหนุ่มสาวได้มิดทีเดียว
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
...............................................................................................................................
วันนี้เอาเรื่องสั้นมาลงแก้ขัดก่อนจ้าเพราะอารมณ์ตอนนี้เขียนนิยายต่อไม่ออกเลย เช้ามืดวันนี้มีเรื่องระทึกขวัญนิดหน่อย
เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องสั้นอิงเรื่องจริงเรื่องนี้ขึ้นมาจ้า ยังไงฝากติชมกันด้วยนะคะ
ณ ห้านาฬิกา...เงาของใครอยู่ตรงนั้น
ในห้วงนิทราแสนสุข ร่างอรชรซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น หญิงสาวสวมชุดนอนกระโปรงผ้าซาตินเนื้อนุ่มลื่นผิว เธอหลับสบายภายใต้อุณหภูมิคงที่ของเครื่องปรับอากาศ นอกบ้านฟ้าครึ้มฝนพรำหรือลมแรงเท่าใดมิอาจลอดผ่านหน้าต่างกระจกหนามาต้องผิวกายของเธอได้
รอยยิ้มคลี่ประดับแต่งแต้มเล็กน้อย เธอคงฝันดี และกำลังมีความสุข ทว่าคงไม่รู้ ว่าความสุขในฝันหวานของเธอกำลังจะถูกรบกวน
เงาตะคุ่มหน้ารั้วบ้านหากไม่เพ่งตามอง บรรยากาศมืดสลัวยามห้านาฬิกาก็ยากจะรู้ว่าคือใคร ฝีเท้าเงียบเชียบ ย่องไปมา ล้วงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาจดจ้อง วุ่นวายอยู่กับมันสักพักก่อนจะตัดสินใจ เงานั้นวนเวียนอยู่ใกล้รั้วเตี้ยแล้วสุดท้ายก็ปีนป่ายข้ามรั้วเข้ามาในเขตบ้าน ไร้สุ่มไร้เสียง ราวกับว่าไร้ตัวตน
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” บางเสียงรบกวนเข้าโสตประสาท ปลุกหญิงสาวจากภวังค์ฝันหวาน เธอมีสติแต่ยังไม่พร้อมลืมตา สมองทวนคิด ตีความว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่นั่นคืออะไร มันดังมาจากปลายเตียง ใกล้เธอมากเหลือเกิน พลันความคิดหนึ่งก็พุ่งชนความรู้สึก เธอดึงผ้าห่มขึ้นคลุมแล้วหลับตาแน่น ปักใจเชื่อไปว่าสิ่งไร้ชีวิตแวะเวียนมาทักทาย ข่มใจ ข่มกาย อย่าได้ตระหนกตื่นกับสิ่งไม่มีตัวตนที่ทำอันตรายใดๆ มิได้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงนั้นยังดัง และเมื่อตั้งใจฟังอีกครั้ง กลับไม่ใช่เสียงเคาะเตียงอย่างที่เธอเข้าใจในคราแรก หญิงสาวลืมตาโพล่งมองเพดานในห้องมืด ก่อนจะจ้องนิ่งไปที่บานหน้าต่างซึ่งมีผ้าม่านผืนหนาปิดสนิทเพราะเสียงเคาะยังดังต่อเนื่องอีกหลายครา
บ้านที่เธออาศัยอยู่เป็นบ้านชั้นเดียว ฝั่งห้องนอนของเธออยู่ติดกับลานกว้างข้างตัวบ้านที่ใช้เป็นโรงจอดรถ คืนนี้เธออยู่คนเดียว ปิดล็อคบ้านล็อครั้วเรียบร้อยเหมือนทุกวันเพราะไม่ไว้ใจสังคมโหดร้ายนอกบ้าน พักนี้ยิ่งมีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับขโมยขโจรในหมู่บ้านที่พักอาศัย ก็ต้องยิ่งระวังชีวิตและทรัพย์สิน
เสียงหัวใจเต้นแรงแข่งกับความคิดในสมองที่วิ่งพล่าน ตาวาวฉายประกายหวาดกลัวเด่นชัด หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง กำผ้านวมของตัวเองแน่น เธอหันลีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ค่อยๆ ขยับตัวเพราะเกรงจะเกิดซุ่มเสียงให้บางสิ่งบางอย่างที่ยังเป็นปริศนาอยู่ภายนอกนั้นรับรู้ว่าเธอตื่นขึ้นแล้ว
“ตีห้า” มือสั่นขยับไปคว้านาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมากดดูเวลา แล้วพึมพำอยู่ในใจ สมองคิดไปต่างๆ นานา หากเป็นผู้ร้าย เธอควรทำเช่นไร หรือหากไม่ใช่ล่ะ!
หญิงสาวคิดอะไรไม่ออก เธอพยายามตั้งสติ แล้วค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ไม่กล้าเปิดไฟ ไม่กล้าเปิดประตูห้อง ไม่กล้ากระทำการใดอันเป็นบ่อเกิดแห่งเสียงทั้งปวง ใจนึกถึงโทรศัพท์ที่วางทิ้งเอาไว้นอกห้องเพราะไม่อยากได้ยินเสียงรบกวนเวลานอน เธอค่อยๆ ย่อง อาศัยแสงสลัวที่มองไม่เห็นอะไรมากนัก ตัดสินใจแง้มผ้าม่านเล็กน้อยแล้วสอดส่องต้นกำเนิดของเสียงนั่น ความบกพร่องทางสายตาทำให้เธอต้องเพ่งมากกว่าคนปกติ ไม่อยากย้อนกลับไปหยิบแว่นสายตาที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงให้เสียเวลา
เงาตะคุ่มด้านนอกนั่นทำให้หญิงสาวผงะถอยห่างจากบานหน้าต่างมาหลายก้าว เงาของผู้ขายคนหนึ่งที่เธอเห็นไม่ถนัดถนี่นัก ก้อนเนื้อในอกเร่งจังหวะรุนแรงจนหายใจลำบาก มือไม้เย็นปานว่าแช่ในบ่อน้ำแข็งนานนับชั่วโมง ปากคอสั่นกับเงาอันน่าสะพรึงที่ทำให้คิดถึงสิ่งไร้ชีวิตเป็นอันดับต้น หญิงสาวหลับตาแน่น พนมมือชิดหว่างอกแล้วท่องพึมพำไม่เป็นภาษา ฟังคล้ายบทแผ่เมตตาและคาถาปราบผีที่ตีกันยุ่งไปหมด
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะกระจกหน้าต่างดังแหวกอากาศมาเขย่าความกลัว ร่างอรชรแข้งขาอ่อนแทบทรุดลงนั่ง เธอทำใจดีสู้ผีในจินตนาการแล้วเดินไปแง้มม่านส่องดูอีกครั้งก่อนจะยกมือทาบอกเมื่อเงาปริศนาหายไปจากที่ที่เคยมี
หญิงสาวตัดสินใจเปิดไฟทั้งห้องสว่างโร่แล้ววิ่งไปคว้าแว่นสายตามาสวม เธอเปิดประตูรวดเร็วแล้วตาลีตาเหลือกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งเอาไว้นอกห้อง
“บ้าชะมัด” เธอสบถอย่างหัวเสีย เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้แบตเตอรี่ก็เกเรหมดเกลี้ยงเพราะเธอสะเพร่าเองที่ไม่ได้เสียบสายชาร์ตทิ้งเอาไว้
“ตึ่ง ๆๆๆ ” พลันร่างเล็กก็สะดุ้งเพราะเสียงรัวทุบประตูบ้าน ใจหายยวบลงไปกองแทบเท้าเช่นเดียวกับโทรศัพท์เครื่องจ้อยที่หล่นลงพื้น
“ไอ้ผีบ้า แผ่เมตตาแล้วยังไม่ไปอีก” เมื่อมั่นใจว่าเป็นผีมิใช่ขโมยขโจร ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกทำร้าย หญิงสาวกัดปากแล้วจ้องตาอาฆาตผีร้ายด้านนอก ริอาจก่อกวนเวลานอนอันแสนสุขของเธอ คงไม่รู้สินะว่าจะต้องเจอกับอะไร
ความมั่นใจเหลือล้นสั่งให้เธอวิ่งเข้าห้องพระ เปิดกางหนังสือสวดมนต์ กราบพระเรียบร้อยก็ร่ายคาถาบทสวดสำคัญ เสียงทุบประตูด้านนอกสงบลงแล้ว ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมา หญิงสาวตัดสินใจคว้ามีดอาคมแกร่งกล้าของอาจารย์ดังแล้วเดินดุ่มไปยืนดักผีอีกครั้งที่หน้าประตูปิดสนิท
“ตึ่งๆๆๆ ” ผีร้ายยังดื้อ มันทุบประตูอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ประตูบ้านเธอชำรุดไปแล้วจะเรียกเก็บค่าเสียหายกับใครได้ หญิงสาวเริ่มเหลืออด เธอดึงมีดลงอาคมออกจากฝัก ผีก็ผีเถอะ ขอสู้กันสักตั้ง หรือหากไม่ใช่ผี อย่างน้อย มีดเล่มนี้ก็เป็นอาวุธชั้นดีได้ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้วาดลวดลายบู๊สนั่น เสียงตะโกนด้านนอกก็ดังลั่นขึ้นและชะงักทุกความคิดของเธอลงสิ้น
“น้ำ! เปิดประตูให้หน่อย”
“ตึ่งๆๆ น้ำ! เร็ว ฝนจะตกแล้วนะ”
เสียงคุ้นหูดับความบ้าบิ่นทั้งหมดทั้งมวล หญิงสาวร้อง เฮ้ย! ออกมาอย่างตกใจ แล้วจ้องผ่านกระจกสีชาที่ตกแต่งประตูบ้านเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าด้านนอกนั่น ไม่ใช่ผี และขโมยขโจร
“ตายแล้ว!” เธอร้องลั่น เก็บมีดอาคมลงฝักแล้ววิ่งไปคว้าพวงกุญแจมาไขปลดล็อคแม่กุญแจสองลูกใหญ่ที่ล็อคประตูเอาไว้แน่นหนารวดเร็วปานความไวแสง
“ปล่อยให้เคาะอยู่ได้ตั้งนาน เกือบเปียกแล้วเนี่ย” เสียงบ่นกะปอดกะแปดของคนเป็นๆ ที่เธอเข้าใจไปเองว่าเป็นผีร้ายดังขึ้นเมื่อเธอเปิดประตูบ้านให้เขา คนตัวสูงหน้าบึ้ง จ้องหน้าเธอสุดสงสัยแล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก
“แล้วนี่น้ำเอามีดหมอมาทำไม”
“ก็นึกว่าผีน่ะสิ! คนบ้า ตกใจหมดเลย จะมาตอนนี้ทำไมไม่บอก” แล้วเจ้าของเงาปริศนาก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจกับความหน้าแตกยับของภรรยาตัวเอง ก่อนจะดึงมีดหมอจากมือเธอไปเก็บเอาไว้ที่เดิมแล้วปิดประตูบ้านให้อย่างเรียบร้อย
“แล้วทำไมกลับมาเร็วนักล่ะ ไหนว่าจะกลับมาตอนหกโมง” เธอถามในขณะที่เขาโอบเอวพาเดินกลับห้อง
“ก็รีบบึ่งรถกลับมา คิดถึงเมีย” เขาพูดทะเล้นแล้วหัวเราะคิกฟังเธอบ่นต่ออีกสักหน่อย
“ตกใจจะแย่ ดีนะไม่หัวใจวายตายไปน่ะ นึกว่าถูกผีหลอกซะอีก ผีบ้าอะไรไม่รู้ เ.ียนชะมัด”
“ผีที่ไหน นี่ผัวทั้งคนนะ เห็นผัวเป็นผีได้ยังไง” เขาหยอกขณะล้มตัวลงนอนเคียงข้าง ดึงภรรยาสุดรักมากอดปลอบแล้วนอนฟังเธอเล่าเรื่องระทึกขวัญที่เกิดจากจินตนาการของตัวเองล้วนๆ รวมทั้งตอบคำถามว่าธุระของเขาเรียบร้อยดีหรือไม่ ซ้ำเธอยังขอโทษขอโพยที่สะเพร่าปล่อยให้โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ในช่วงเวลาสำคัญ
“อยากโดนผีหลอกจริงๆ มั้ยล่ะ” เขาเย้าแหย่ ลูบแก้มนุ่มนิ่มแล้วยิ้มตาพราว
“บ้าสิ ใครอยากจะโดนผีหลอก”
“ผีผ้าห่มไง ไม่น่ากลัวหรอก”
เขาว่าแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุม แปลงร่างเป็นเสือหนุ่มที่พร้อมแล้วจะขยุ้มเนื้อลูกกวางน้อย เสียงหัวเราะคิกคักของหนุ่มสาวบ่งบอกว่าบรรยากาศในห้องกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู
แต่ภารกิจพิชิตเหยื่อของผีผ้าห่มพลันต้องดับวูบลงเมื่อเสียงเคาะบานกระจกที่หน้าต่างห้องนอนดังแหวกอากาศมาให้ได้ยิน และมันชัดเจน กลบเสียงหัวเราะแห่งความสุขของหนุ่มสาวได้มิดทีเดียว
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
...............................................................................................................................
วันนี้เอาเรื่องสั้นมาลงแก้ขัดก่อนจ้าเพราะอารมณ์ตอนนี้เขียนนิยายต่อไม่ออกเลย เช้ามืดวันนี้มีเรื่องระทึกขวัญนิดหน่อย
เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องสั้นอิงเรื่องจริงเรื่องนี้ขึ้นมาจ้า ยังไงฝากติชมกันด้วยนะคะ