เรื่องสั้น : หลอน
โดย : ชลัน
เเค๊ก! แค๊ก! ปัก ๆ! ปัก ๆ!
03.10 ข้าวปุ้นสะดุ้งตื่นท่ามกลางความมืดมิดของห้อง หลับตาพักหนึ่งให้สายตาปรับเข้ากับความมืด จึงทำให้มองเห็นทุกอย่างภายในห้องชัดเจนขึ้น แม้ไม่ได้เปิดไฟ
ความเงียบสงัดทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว เธอมองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นผ้าม่านที่พึ่งซื้อมาใหม่วันนี้พัดปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาปะทะ เธอลืมปิดหน้าต่างกระจกบานเลื่อนงั้นหรือ สงสัยเมาหนักจึงลืมปิด เนื่องจากวันนี้เธอย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เป็นหอของเพื่อนสนิทที่ทำงานด้วยกัน ย้ายจากหอเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่าย
สมองสั่งให้ลุกไปปิดหน้าต่างไว้ ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ นี่หอใหม่ ห้องใหม่ และคืนนี้เป็นคืนแรกที่เข้ามานอนที่นี่ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเธอจะเข้ามาเปิดห้องและซื้อพวงมาลัยมาไว้แล้วก็ตาม ก็ยังรู้สึกกลัวแปลก ๆ บอกไม่ถูก และเสียงอะไรกันที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อครู่
ข้าวปุ้นมองดูรอบ ๆ ห้องใหม่ ไม่เห็นมีอะไรเลย พัดลมปลายเตียงก็ยังทำงานปกติ แต่ทำไมใจเธอมันถึงไม่กล้าเดินไปปิดหน้าต่าง ถึงไม่ปิดก็ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้หรอก ทั้งเหล็กดัด อีกทั้งอยู่ตั้งชั้น 6 คงไม่มีใครบ้าจี้ปีนขึ้นมา นอกจากผี
ผี! ผีเหรอ พอนึกถึงคำนี้ความกลัวในโสตประสาทเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทวีคูณ เสียงนั้นหายไปแล้ว มันก็ยังฝากความกลัวไว้ให้เธอ ข้าวปุ้นนอนนิ่ง ๆ ภายใต้ความมืดของห้อง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้ นอนตะแคงหันหลังให้หน้าต่าง หันหน้ามาทางประตูแทน
ด้วยความง่วงผสมกับความเมา ทำให้เธอคล้อยหลับไปอีกรอบ
แคร๊ก ๆ! แคร๊ก ๆ ! ปัก! ปัก!
เธอหลับไปได้เพียงไม่กี่นาทีเสียงนั้นกลับมาอีกแล้ว แต่พอเธอลืมตา ขยับตัวนิดหน่อยเสียงนั้นก็หายไป ทุกอย่างในห้องปกติ ข้าวของอยู่ที่เดิม ในใจตอนนี้นึกได้เรื่องเดียวคือ
ผะ ผี! หรือเปล่า! สมองไม่ยอมนึกเป็นเรื่องอื่นไปได้เลย
ข้าวปุ้นลืมตาภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร้อนก็ร้อน แต่ไม่กล้าเปิดออกมาเผชิญกับอะไรก็ตาม ที่อยู่กับเธอในห้องตอนนี้ ข้าวปุ้นรอฟังว่ามันจะมีเสียงอะไรอีกมั้ย และทำตัวให้นิ่งให้เบาที่สุด หายใจให้เบาที่สุด ไม่ขยับตัวเกรงว่าผีจะรู้ว่าเธอยังไม่ได้หลับ
เธอนอนตัวแข็งไม่กระดุกกระดิกอยู่อย่างนั้น แล้วเสียงนั่นก็กลับมาอีก
คร่อกแคร๊ก! ปัก! คร๊อกแคร๊ก! ปัก! เสียงมันอยู่ใกล้ ๆ เธอนี่เอง ข้าง ๆ หัวเตียงของเธอนี่เอง
ภาพผู้หญิงผมยาวชุดขาว ผู้ชายแก่ ๆ หญิงแก่ ๆ ภาพคนโบราณใส่โจงกระเบน ภาพเจ้าที่ ผุดขึ้นมาในหัว คงกำลังนั่งหัวเราะมองเธอสิท่า ข้าวปุ้นจินตนาการถึงผีในห้องด้วยความกลัว คงจะตาขาวโพน และกำลังเมียงมองเธอนอนคลุมโปรงใต้ผ้าห่มละสิ
เธอแน่ใจว่าเป็นผีชัวร์ ผีเจ้าของห้องคนก่อนแน่นอน เอ๊ะ! หรือจะเป็นคนก่อนหน้าคนก่อน ของก่อนของก่อนอีกทีหนึ่ง อยากร้องไห้ก็ไม่กล้าร้องกลัวผีรู้ว่าเธอยังไม่หลับ
ฮือ! “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยข้าวปุ้นด้วย ข้าวปุ้นโดนผีหลอก”
ปัก! เพล๊ง! เสียงช้อนร่วงลงมาจากชั้นวางจานชามของเธอ ข้าวปุ้นสะดุ้งตื่น “ฮื้อ! ตาจ๋าช่วยข้าวปุ้นด้วย ผีในห้องหลอกข้าวปุ้น ตาจ๋ามาจัดการมันที ปู่จ๋า ย่าจ๋า มาจัดการมันให้ข้าวปุ้นที พ่อแม่ยายช่วยข้าวปุ้นด้วย”
เธอร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว นอนตะแคงพนมมือไหว้พระภายใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าเปิดออกมาเผชิญหน้าด้วย “นโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมา สัมพุทธัสสะ”! ซ้ำ ๆ หลายรอบด้วยความกลัว ตัวสั่นและรู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นเร็วผิดปกติ
พอเธอสวดมนต์ทุกอย่างก็เงียบไป ทว่าเธอก็ไม่ชะล่าใจ ไม่ยอมเปิดผ้าห่มออก แต่ก็นึกโล่งใจอยู่ในที “ทางใครทางมัน โลกของใครของมัน ถ้ามืงไม่ไปกูแช่งมืงหนา กูกลัวมืงน่ะดีแล้ว อย่าให้กูต้องบ้าดีเดือดสาปแช่งมืงเลย เราไม่เคยไปทำให้อย่ามาทำให้เรากลัวเลยนะ” ข้าวปุ้นพูดในใจภายใต้ผ้าห่ม แม้ร้อนแค่ไหนก็ไม่ยอมเปิดออกมาดู กลัวอย่างเดียว กลัวโดนดึงผ้าห่มออกนี่แหละ
ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ข้าวปุ้นรู้สึกโล่งใจมาก ง่วงก็ง่วงน่าจะนอนต่อได้แล้วล่ะ ผีในห้องน่าจะเข้าใจ
ปัก! แคร๊ก! แคร๊ก!
เสียงนั้นมันกลับมาอีกแล้ว หืม! เพราะความง่วง หรือความคุยกันไม่รู้เรื่อง หรือความกล้าดีของผีก็ไม่แน่ใจ ว่าเหตุผลไหนของเธอกันแน่ ที่ทำให้เธอใจกล้าขึ้นมาดื้อ ๆ
“โธ่เว้ย! อี่ผี! นี่มืงพูดกันดี ๆ ไม่รู้เรื่องใช่มั้ย” ข้าวปุ้นฉุน ด่ากราดเสียงดังภายใต้ผ้าห่มก่อนจะเปิดออกด้วยความร้อนและโมโห “เดี๋ยวมืงเจอกู!” ข้าวปุ้นลุกขึ้นจากเตียงถลาไปที่สวิตช์ไฟห้อง พอเปิดไฟสว่างทั้งห้องเท่านั้นแหละทำให้เธอต้องตาค้างและอึ้งและตลกก็มิปาน
หนูตัวอ้วนมากถึงมากที่สุดสองตัว กำลังกินขนมที่เธอแกะไว้แล้วกินไม่หมดอยู่ มันตั้งตัวหนีไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าเธอจะเปิดไฟกระทันหันแบบนี้ หลังจากนั้นพวกมันสองตัวก็วิ่งหนีไปไหนไม่รู้ ก่อนไปยังมีหันหน้ามามองอีก เดี๋ยวเถอะมืง! ร้องจี๊ด ๆ หายไปไหนไม่ทราบได้ เธอดูไม่ทัน
“เหอะ! ไอ้หนูบ้าเอ้ย! นี่มืงเกือบทำกูประสาทเสียมืงรู้ตัวมั้ย แม่! เดี๋ยวพรุ่งนี้มืงเจอกาวดักหนูกู! หึหึ” บ่นให้หนูตัวปัญหา เธอหัวเราะตัวเองลั่นห้องคนเดียว สวดมนต์ก็สวด เรียกหาตากับปู่กับย่าที่เสียไปนานแล้วให้มาช่วยก็เรียก ร้องไห้หาพ่อกับแม่ไปอีก ฮา โอ้ย! ถ้าใครรู้เรื่องนี้คงต้องขำไส้ขดไส้แข็งแน่นอน
พอหัวเราะกับความกลัวบ้าบอคอแตกของตัวเองจบ หายกลัวเป็นปิดทิ้งก็เดินไปปิดหน้าต่าง มองออกไปนอกหน้าต่างในยามดึก ๆ แบบนี้ กรุงเทพก็เงียบเป็นเหมือนกันนะ นึกว่าจะวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน
ทว่าสายตาของเธอดันมองไปเห็นคนใส่เสื้อยืดสีขาว ยืนอยู่ใต้ต้นมะขามฝั่งตรงข้ามของหอของเธอ หน้าตาดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ใครกันมายืนรออะไรดึก ๆ ดื่นแบบนี้ ใกล้ ๆ กันเป็นศาลพระภูมิสีแดงตั้งอยู่ พอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตีสามนี่หว่า ข้าวปุ้นจึงรีบเลื่อนหน้าต่างปิดเสียงดัง แล้ววิ่งเข้ามานอนบนที่นอน คราวนี้เธอไม่ปิดไฟนอนจนถึงเช้าของวันใหม่
จบ...
*พยายามหลอนค่ะ* 😅
หลอน
เรื่องสั้น : หลอน
โดย : ชลัน
เเค๊ก! แค๊ก! ปัก ๆ! ปัก ๆ!
03.10 ข้าวปุ้นสะดุ้งตื่นท่ามกลางความมืดมิดของห้อง หลับตาพักหนึ่งให้สายตาปรับเข้ากับความมืด จึงทำให้มองเห็นทุกอย่างภายในห้องชัดเจนขึ้น แม้ไม่ได้เปิดไฟ
ความเงียบสงัดทำให้หัวใจของเธอหวั่นไหว เธอมองไปรอบ ๆ ห้อง เห็นผ้าม่านที่พึ่งซื้อมาใหม่วันนี้พัดปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดเข้ามาปะทะ เธอลืมปิดหน้าต่างกระจกบานเลื่อนงั้นหรือ สงสัยเมาหนักจึงลืมปิด เนื่องจากวันนี้เธอย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เป็นหอของเพื่อนสนิทที่ทำงานด้วยกัน ย้ายจากหอเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่าย
สมองสั่งให้ลุกไปปิดหน้าต่างไว้ ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาดื้อ ๆ นี่หอใหม่ ห้องใหม่ และคืนนี้เป็นคืนแรกที่เข้ามานอนที่นี่ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันเธอจะเข้ามาเปิดห้องและซื้อพวงมาลัยมาไว้แล้วก็ตาม ก็ยังรู้สึกกลัวแปลก ๆ บอกไม่ถูก และเสียงอะไรกันที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อครู่
ข้าวปุ้นมองดูรอบ ๆ ห้องใหม่ ไม่เห็นมีอะไรเลย พัดลมปลายเตียงก็ยังทำงานปกติ แต่ทำไมใจเธอมันถึงไม่กล้าเดินไปปิดหน้าต่าง ถึงไม่ปิดก็ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้หรอก ทั้งเหล็กดัด อีกทั้งอยู่ตั้งชั้น 6 คงไม่มีใครบ้าจี้ปีนขึ้นมา นอกจากผี
ผี! ผีเหรอ พอนึกถึงคำนี้ความกลัวในโสตประสาทเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทวีคูณ เสียงนั้นหายไปแล้ว มันก็ยังฝากความกลัวไว้ให้เธอ ข้าวปุ้นนอนนิ่ง ๆ ภายใต้ความมืดของห้อง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้ นอนตะแคงหันหลังให้หน้าต่าง หันหน้ามาทางประตูแทน
ด้วยความง่วงผสมกับความเมา ทำให้เธอคล้อยหลับไปอีกรอบ
แคร๊ก ๆ! แคร๊ก ๆ ! ปัก! ปัก!
เธอหลับไปได้เพียงไม่กี่นาทีเสียงนั้นกลับมาอีกแล้ว แต่พอเธอลืมตา ขยับตัวนิดหน่อยเสียงนั้นก็หายไป ทุกอย่างในห้องปกติ ข้าวของอยู่ที่เดิม ในใจตอนนี้นึกได้เรื่องเดียวคือ ผะ ผี! หรือเปล่า! สมองไม่ยอมนึกเป็นเรื่องอื่นไปได้เลย
ข้าวปุ้นลืมตาภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ร้อนก็ร้อน แต่ไม่กล้าเปิดออกมาเผชิญกับอะไรก็ตาม ที่อยู่กับเธอในห้องตอนนี้ ข้าวปุ้นรอฟังว่ามันจะมีเสียงอะไรอีกมั้ย และทำตัวให้นิ่งให้เบาที่สุด หายใจให้เบาที่สุด ไม่ขยับตัวเกรงว่าผีจะรู้ว่าเธอยังไม่ได้หลับ
เธอนอนตัวแข็งไม่กระดุกกระดิกอยู่อย่างนั้น แล้วเสียงนั่นก็กลับมาอีก คร่อกแคร๊ก! ปัก! คร๊อกแคร๊ก! ปัก! เสียงมันอยู่ใกล้ ๆ เธอนี่เอง ข้าง ๆ หัวเตียงของเธอนี่เอง
ภาพผู้หญิงผมยาวชุดขาว ผู้ชายแก่ ๆ หญิงแก่ ๆ ภาพคนโบราณใส่โจงกระเบน ภาพเจ้าที่ ผุดขึ้นมาในหัว คงกำลังนั่งหัวเราะมองเธอสิท่า ข้าวปุ้นจินตนาการถึงผีในห้องด้วยความกลัว คงจะตาขาวโพน และกำลังเมียงมองเธอนอนคลุมโปรงใต้ผ้าห่มละสิ
เธอแน่ใจว่าเป็นผีชัวร์ ผีเจ้าของห้องคนก่อนแน่นอน เอ๊ะ! หรือจะเป็นคนก่อนหน้าคนก่อน ของก่อนของก่อนอีกทีหนึ่ง อยากร้องไห้ก็ไม่กล้าร้องกลัวผีรู้ว่าเธอยังไม่หลับ
ฮือ! “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยข้าวปุ้นด้วย ข้าวปุ้นโดนผีหลอก” ปัก! เพล๊ง! เสียงช้อนร่วงลงมาจากชั้นวางจานชามของเธอ ข้าวปุ้นสะดุ้งตื่น “ฮื้อ! ตาจ๋าช่วยข้าวปุ้นด้วย ผีในห้องหลอกข้าวปุ้น ตาจ๋ามาจัดการมันที ปู่จ๋า ย่าจ๋า มาจัดการมันให้ข้าวปุ้นที พ่อแม่ยายช่วยข้าวปุ้นด้วย”
เธอร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว นอนตะแคงพนมมือไหว้พระภายใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าเปิดออกมาเผชิญหน้าด้วย “นโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโตสัมมา สัมพุทธัสสะ”! ซ้ำ ๆ หลายรอบด้วยความกลัว ตัวสั่นและรู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นเร็วผิดปกติ
พอเธอสวดมนต์ทุกอย่างก็เงียบไป ทว่าเธอก็ไม่ชะล่าใจ ไม่ยอมเปิดผ้าห่มออก แต่ก็นึกโล่งใจอยู่ในที “ทางใครทางมัน โลกของใครของมัน ถ้ามืงไม่ไปกูแช่งมืงหนา กูกลัวมืงน่ะดีแล้ว อย่าให้กูต้องบ้าดีเดือดสาปแช่งมืงเลย เราไม่เคยไปทำให้อย่ามาทำให้เรากลัวเลยนะ” ข้าวปุ้นพูดในใจภายใต้ผ้าห่ม แม้ร้อนแค่ไหนก็ไม่ยอมเปิดออกมาดู กลัวอย่างเดียว กลัวโดนดึงผ้าห่มออกนี่แหละ
ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ข้าวปุ้นรู้สึกโล่งใจมาก ง่วงก็ง่วงน่าจะนอนต่อได้แล้วล่ะ ผีในห้องน่าจะเข้าใจ
ปัก! แคร๊ก! แคร๊ก!
เสียงนั้นมันกลับมาอีกแล้ว หืม! เพราะความง่วง หรือความคุยกันไม่รู้เรื่อง หรือความกล้าดีของผีก็ไม่แน่ใจ ว่าเหตุผลไหนของเธอกันแน่ ที่ทำให้เธอใจกล้าขึ้นมาดื้อ ๆ
“โธ่เว้ย! อี่ผี! นี่มืงพูดกันดี ๆ ไม่รู้เรื่องใช่มั้ย” ข้าวปุ้นฉุน ด่ากราดเสียงดังภายใต้ผ้าห่มก่อนจะเปิดออกด้วยความร้อนและโมโห “เดี๋ยวมืงเจอกู!” ข้าวปุ้นลุกขึ้นจากเตียงถลาไปที่สวิตช์ไฟห้อง พอเปิดไฟสว่างทั้งห้องเท่านั้นแหละทำให้เธอต้องตาค้างและอึ้งและตลกก็มิปาน
หนูตัวอ้วนมากถึงมากที่สุดสองตัว กำลังกินขนมที่เธอแกะไว้แล้วกินไม่หมดอยู่ มันตั้งตัวหนีไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าเธอจะเปิดไฟกระทันหันแบบนี้ หลังจากนั้นพวกมันสองตัวก็วิ่งหนีไปไหนไม่รู้ ก่อนไปยังมีหันหน้ามามองอีก เดี๋ยวเถอะมืง! ร้องจี๊ด ๆ หายไปไหนไม่ทราบได้ เธอดูไม่ทัน
“เหอะ! ไอ้หนูบ้าเอ้ย! นี่มืงเกือบทำกูประสาทเสียมืงรู้ตัวมั้ย แม่! เดี๋ยวพรุ่งนี้มืงเจอกาวดักหนูกู! หึหึ” บ่นให้หนูตัวปัญหา เธอหัวเราะตัวเองลั่นห้องคนเดียว สวดมนต์ก็สวด เรียกหาตากับปู่กับย่าที่เสียไปนานแล้วให้มาช่วยก็เรียก ร้องไห้หาพ่อกับแม่ไปอีก ฮา โอ้ย! ถ้าใครรู้เรื่องนี้คงต้องขำไส้ขดไส้แข็งแน่นอน
พอหัวเราะกับความกลัวบ้าบอคอแตกของตัวเองจบ หายกลัวเป็นปิดทิ้งก็เดินไปปิดหน้าต่าง มองออกไปนอกหน้าต่างในยามดึก ๆ แบบนี้ กรุงเทพก็เงียบเป็นเหมือนกันนะ นึกว่าจะวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน
ทว่าสายตาของเธอดันมองไปเห็นคนใส่เสื้อยืดสีขาว ยืนอยู่ใต้ต้นมะขามฝั่งตรงข้ามของหอของเธอ หน้าตาดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ใครกันมายืนรออะไรดึก ๆ ดื่นแบบนี้ ใกล้ ๆ กันเป็นศาลพระภูมิสีแดงตั้งอยู่ พอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตีสามนี่หว่า ข้าวปุ้นจึงรีบเลื่อนหน้าต่างปิดเสียงดัง แล้ววิ่งเข้ามานอนบนที่นอน คราวนี้เธอไม่ปิดไฟนอนจนถึงเช้าของวันใหม่
จบ...
*พยายามหลอนค่ะ* 😅