จากบทความก่อนหน้านี้… ผมได้นำเสนอเรื่องราวของ “ผีญี่ปุ่น” ไปแล้ว วันนี้ทาง The Horror Choronicles จะนำผู้อ่านทุกท่านมาชมเรื่องราวลี้ลับจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแต่ละชาติล้วนมีเรื่องเหล่าแนวภูติผีที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตนเอง
บทความนี้ผมจะนำเสนอเรื่องราวของผีปีศาจรวม “8 เรื่อง 8 รส จาก 8 ประเทศ” ของสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องเล่ายุคโบราณ ไปจนถึงตำนานเมืองรูปแบบใหม่ พร้อมกันครับ
...เรื่องราวต่อไปนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง โปรชวนวิจารณญาณมาอ่านเป็นเพื่อนเพื่อความสนุกในการรับชม...
ภาพแนบ: มานานังกัล ผีฟิลิปปินส์ ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้
อย่างที่กล่าวไป ผมจะนำเสนอเรื่องราวของผีปีศาจรวม “8 เรื่อง 8 รส จาก 8 ประเทศ” ของสมาชิกอาเซียน
ตั้งแต่เรื่องเล่ายุคโบราณ ไปจนถึงตำนานเมืองรูปแบบใหม่ พร้อมกันครับ
ไปติดตามชมพร้อมกันได้เลยครับ!
ภาพแนบ: รูปวาดของผีมะแพหว่า
*** ประเทศพม่า - ผีมะแพหว่า ***
ประเทศพม่ามีตำนานของผีสาวสุดแสนจะยูนีคนามว่า “มะแพหว่า” ซึ่งเร้นกายอยู่ในสุสานช่วงเวลากลางวัน และปรากฏกายเมื่อท้องฟ้ามืดลงพร้อมแบกโลงศพของตน ไปตามชุมชนเพื่อหาบ้านของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเพื่อกระซวกวิญญาณให้มาอยู่กับเธอ
มีตำนานเล่าว่า “มะเเพหว่าเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์คองบอง แต่เดิมเธอเป็นน้องสาวของข้ารับใช้เจ้าเมืองที่พยายามก่อกบฏทว่าประสบความล้มเหลว ทำให้สองพี่น้องต้องหลบหนีออกจากเมืองมาใช้ชีวิตยังหมู่บ้านสันโดด คืนหนึ่งเธอพยายามออกไปตามหาพี่ชายที่ยังไม่กลับบ้าน แต่กลับถูกเขาสังหารเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจจากความมึนเมา ส่งผลให้หญิงสาวผู้น่าสงสารกลายมาเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนไม่มีที่พำนัก… ก่อนที่ชื่อของเธอจะถูกยกให้เป็นผู้พิทักษ์สุสานในเวลาต่อมา”
ภาพแนบ: มะแพหว่ากลายเป็นไอคอนยอดนิยมที่มีทั้งคนแต่งเป็นเธอและวาดการ์ตูนเพื่อต่อต้านกองทัพพม่า
อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึงรายละเอียดว่า… เหตุใดเมื่อเวลาผ่านไปวิญญาณผู้พิทักษ์จึงกลายมาเป็นผีร้ายที่ไล่รังควานกับชาวบ้าน ถึงขนาดที่เคยมีข่าวลือว่าในช่วงปลายปี 1990 เมื่อผีมะแพหว่าได้เข้าฝันพระเกจิชื่อดังรูปหนึ่งในรัฐกะฉิ่นของประเทศพม่าพร้อมประกาศกร้าวว่าจะมากินเนื้อเด็กๆ ทำให้พระรูปดังกล่าวแนะนำให้นางกินเนื้อสุนัขแทน เมื่อข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปชาวบ้านจึงนำป้ายที่เขียนว่า “เนื้อเด็กมีรสขม เนื้อสุนัขมีรสหวานอร่อย” มาตั้งในชุมชนเพื่อป้องกันอันตราย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีรายงานว่าผู้ใหญ่, เด็ก, สุนัข, หรือหมาคอร์กี้ตนใด ได้รับอันตรายจากเหตุดังกล่าว ในปัจจุบันผีมะแพหว่ากลายเป็นไอคอนยอดนิยมของประเทศพม่า ที่ถูกนำมา บอกเล่าผ่านทั้งตำนานพื้นบ้าน, หนังสือ, และภาพยนตร์หลากหลายเวอร์ชัน เทียบความป๊อบปูล่ากับผีไทย ก็อารมณ์ประมาณแม่นาก
*** ไทย - ผีม้าบ้อง ***
เราคงเคยได้ยินเรื่องราวของผีสุดป๊อบปูล่าอย่าง แม่นากพระโขนง, ปอบ, กระสือ, กระหัง, แม้แต่กลุ่มผียุคใหม่เช่น ผีคุณยายสปีดหรือผีป๊อกๆ ครืด แต่จะมีซักกี่คนรู้ว่า ประเทศของเรามีอสูรในลักษณะของครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าคล้ายกับเซนทอร์ของชาติตะวันตก เรียกว่า “ผีม้าบ้อง”
ตำนานเรื่องนี้ถูกเล่าที่มาแตกต่างกันหลายฉบับ โดยบางฉบับบอกว่า ผีม้าบ้องนั้นเกิดจากวิญญาณของชายขี้เหนียวที่ไม่เคยให้ความช่วยเหลือหรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร จนเมื่อเขาตายไปก็ไม่มีใครให้ความสนใจจนกลายเป็นวิญญาณร้ายที่สามารถแปลงกายเป็นอสูรครึ่งคนครึ่งม้า เพื่อทำร้ายเหยื่อที่เป็นคู่รักหรือกำลังมีความรักด้วยความอิจฉา โดยการดีดให้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต
ขณะที่ตำนานอีกฉบับเล่าเรื่องที่เศร้าว่า… แท้จริงแล้วอสูรตนนี้กำเนิดจากม้าตัวหนึ่งที่กำลังเจ็บป่วยอย่างหนัก มันพยายามรอคอยคู่ของมันที่เคยผูกพันธ์แต่เยาว์วัย ทว่าคู่ของมันก็ไม่เคยกลับมาจนเจ้าม้าที่น่าสงสารต้องเสียชีวิตลง แม้กายหยาบจะสูญสลายแต่วิญญาณที่ยังห่วงก็ยังคงออกเดินทางไปตามหมู่บ้านต่างๆ โดยหวังว่าจะเจอคู่ขอมันซักวัน
บางฉบับยังบอกว่าผีม้าบ้องมีรูปเป็นผู้หญิงงามท่อนล่างเป็นม้า จะปรากฏกายออกมาแถวๆ หมู่บ้านคนในยามวิกาลเพื่อหาชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่หน้ามืดไม่เห็นท่อนล่าง จากนั้นผีม้าก็จะ “ดีดจนเหยื่อเสียชีวิต!” นั่นเอง
*** กัมพูชา - ผีอ๊าบ ***
กัมพูชาถือเป็นชาติอาเซียนที่มีความเชื่อและตำนานเรื่องผีใกล้เคียงกับประเทศไทยเป็นอย่างมากทั้งผีเปรต, ผีปอบ, และผีกระสือ โดยผีที่เราจะมานำเสนอในวันนี้คือ “ผีอ๊าบ หรือ กระสือแบบฉบับกัมพูชา” นั่นเอง
คำว่า “อ๊าบ” นั้นแปลว่า การจองเวรจองกรรมให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวด ต้นกำเนิดของกระสือฉบับกัมพูชานั้นเป็นผู้ล้มเหลวในการฝึกวิชาคาถามนต์ดําทำให้ของเหล่านั้นกลับเข้าตัวเอง จึงต้องทนทุกข์ทรมานจนกลายเป็นอ๊าบ
เมื่อยามตะวันลับขอบฟ้า อ๊าบจะถอดหัวและเครื่องในบินออกมาออกมาหาของโสโครกเช่นเลือด, ซากศพ, เนื้อสดของสัตว์และทารกเกิดใหม่
ก่อนจะกลับเข้าร่างเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันถัดมา
นอกจากนี้ตำนานยังกล่าวอีกว่า อ๊าบสามารถสืบทอดผ่านคนในครอบครัวหรือทำการย้ายวิญญาณผ่านพิธีกรรมของแม่หมอที่มีอาคมแก่กล้าจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ… ใครคลอดลูกมีรกให้ระวัง จะมีอ๊าบมาแอบกินให้พยายามป้องกัน โดยกระสือฉบับกัมพูชามีจุดอ่อนสำคัญคือแพ้พวกขวากหนามจากต้นไม้หรือสุนัขเฝ้ายามที่สามารถทำอันตรายต่ออวัยวะของมันได้
เขียนๆ ไปแล้วก็เหมือนกระสือไทยมาก ...เอ หรือผีชนิดนี้จะมีจริงกันนะ?
ภาพแนบ: รูปของผีขายข้าวปุ้นจากหนังสือเกี่ยวกับผีสัญชาติลาวจากปลายปากกาของ ไบรอัน เท้า วอร์รา นักเขียนชาวลาวอเมริกา
*** ลาว - ผีสาวขายข้าวปุ้น ***
เรื่องราวมีอยู่ว่าพ่อค้าขายข้าวปุ้น (อาหารลาวคล้ายขนมจีน) รายหนึ่งตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหาลูกค้ารายใหม่ๆ จนมาพบเข้ากับต้นไทรขนาดใหญ่ตรงบริเวณดังกล่าว ทันใดนั้นเองหูของเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ มาจากที่ไหนซักแห่ง ทำให้พ่อค้าพยายามมองหาจนพบหญิงสาวคนหนึ่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไทร
เขาพยายามเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น พร้อมกับถามไถ่ความเป็นมาเผื่อจะช่วยอะไรหล่อนได้บ้าง… แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรหญิงสาวรายดังกล่าวก็ไม่มีปฏิกริยาใดๆ จนเขาพูดว่า “ให้เธอรีบกลับบ้านเพราะใกล้มืดค่ำ อาจเจอผีได้” ทันใดนั้นเองเสียงสะเอื้อนที่เคยได้ยินก็เปลี่ยนเป็นความเงียบงันและวังเวง…
ชายหนุ่มตัดสินใจรวบรวมความกล้าและถามไปตรงๆว่า “เธอเป็นผีใช่หรือไม่?” และแน่นอนว่าหญิงสาวคนดังกล่าวก็พยักหน้ารับ… แม้จะเป็นการตอบสนองที่ไม่น่าอภิรมย์นัก แต่เขาก็ไม่หยุดความพยายามที่จะช่วยเหลือเธอพร้อมถามว่าใครเป็นคนทำให้เธอต้องมาวนเวียนอยู่ตรงนี้…
ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือเสียงอาฆาตแค้นของหญิงสาวที่พูดอย่างชัดเจนว่า “ก็คนขายข้าวปุ้นอย่างพวกแกไงล่ะ!” ชายหนุ่มจึงทิ้งตะกร้าข้าวปุ้นพร้อมเปลี่ยนอาชีพจากพ่อค้าเป็นนักวิ่งเทรลแบบไม่คิดชีวิต… ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีเรื่องเล่าว่าวิญญาณของหญิงสาวจะมาปรากฎตัวใต้ต้นไทร พร้อมกับนำตะกร้าข้าวปุ้นที่แฮบจากเจ้าของเก่ามาเสนอขายให้กับผู้สัญจรผ่านทางสามแพร่งในทุกๆ คืนที่พระจันทร์เต็มดวง
…จนบัดนี้เราก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเธอมีความแค้นกับคนขายข้าวปุ้นจริงๆ หรือแกล้งหลอกเพื่อเทคโอเวอร์กิจการเท่านั้น…
ภาพแนบ: ตัวอย่างโอรังมีเยาะ
*** มาเลเซีย - โอรังมีเยาะ ***
เปลี่ยนจากเรื่องผีสางมาดูเรื่องราวเกี่ยวกับชายผู้ทำสัญญากับปีศาจเพื่อได้มาซึ่งความงามทางรูปกายในตอนกลางวัน แต่แลกมาด้วยการที่ตอนกลางคืนต้องกลายเป็นอมนุษย์หัวโล้น ที่มีร่างกายดำทมึนจากน้ำมันที่ถูกชโลมและมีดวงตาเปล่งประกายสีแดง
โอรังมีเยาะมันจะออกล่าเหยื่อซึ่งเป็นหญิงสาวที่กำลังหลับไหลบนเตียงนอน โดยมันจะยืนจ้องจนกว่าหญิงสาวจะตื่นขึ้นเพื่อสะกดจิตให้อยู่ใต้ภวังค์เพื่อไม่สามารถต้านทานมันได้ จากนั้นมันจะข่มขืนจนเสร็จกิจก่อนจะหายตัวไป เมื่อสาวผู้เคราะห์ร้ายตื่นมาเธอจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง คงเหลือเพียงคราบน้ำมันรอบเตียงไว้เป็นของดูต่างหน้า
ภาพแนบ: โอรังมีเยาะในโลกภาพยนตร์
ต้นกำเนิดของโอรังมีเยาะ เกิดขึ้นจากชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกัมปุงของมาเลเซีย เขาเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของชาวบ้านและผู้พบเห็น วันหนึ่งเขาตกหลุมรักสาวงามคนหนึ่ง แต่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในความขี้เหร่และมั่นใจว่าหญิงสาวคงไม่มีทางรับรักตนอย่างแน่นอน เขาจึงเริ่มศึกษาวิชามนต์ดำเพื่อทำสัญญากับปีศาจ เพื่อเปลี่ยนให้ตนเป็นชายหนุ่มรูปงามโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าตนต้องกลายร่างเป็นโอรังมีเยาะ เพื่อล่าพรหมจรรย์หญิงสาวมาบรรณาการแก่ปีศาจ
สำหรับวิธีการป้องกันโอรังมีเยาะคือ การสวมใส่เสื้อผ้าของผู้ชายเพื่อตบตา, ใช้กิ่งต้นสะตอเพื่อทำให้มันตกใจ, ใช้น้ำฝนชะล้างน้ำมันบนร่างมัน, และเอากระจกส่องสะท้อนพลังจิตของมัน หรือถ้าอยากฆ่ามันก็มีขั้นตอนดังนี้:
1. โรยปลีกล้วยหรือใบบอนรอบๆ ที่นอน ซึ่งจะทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้
2. ใช้ถุงผ้าบาติกครอบหัวมันไว้
3. กัดหรือตัดหัวแม่มือซ้ายของมันออก สิ่งนี้จะทำให้มันเสียชีวิต
เรื่องรางของโอรังมีเยาะเคยถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ถึงสองครั้งด้วยกัน โดยฉบับแรกออกฉายในปี 1956 และฉบับต่อมาในปี 2007 ถือเป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก
ภาพแนบ: หอคอยสื่อสารแอมเบอร์
*** สิงคโปร์ - ผีสาวแห่งหอคอยสื่อสาร ***
เรื่องราวลี้ลับของสิงคโปร์เกือบทั้งหมดนั้น ถูกเล่าออกมาในรูปแบบของตำนานเมืองตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากประเทศแห่งนี้เพิ่งก่อตั้งได้เพียง 56 ปี ทำให้ตำนานโบราณส่วนมากได้รับอิทธิพลจากประเทศใกล้เคียง อย่างไรก็ตามตำนานเมืองซึ่งได้รับการเล่าขานมากที่สุดคือเรื่องราวของ “หอคอยสื่อสารแอมเบอร์ที่ตั้งอยู่บนหาดในอีสท์โคสท์พาร์ค” สถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวสิงคโปร์
โดยเรื่องมีอยู่ว่า “หนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เดินทางมาพักผ่อนอยู่บริเวณบันไดของหอคอย แต่ถูกฆาตกรเข้าจู่โจม ทำให้ฝ่ายหญิงถูกสังหาร ส่วนฝ่ายชายสามารถต่อสู้จนดิ้นรนหนีออกมาได้สำเร็จ
ภาพแนบ: ขั้นบันไดที่ถูกระบุว่ามีคนพบเห็นผีสาว
ภายหลังเหตุสลดดังกล่าว… ก็เกิดข่าวลือแปลกๆ ว่ามีผู้คนเห็นวิญญาณหญิงสาวที่ยังไม่สามารถไปสู่สุขคติปรากฎตัวขึ้นบนหอคอยก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตา หรือได้ยินเสียงร้องไห้, กรีดร้อง, และร้องขอความช่วยเหลือจากบริเวณดังกล่าว…
จนหอคอยแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ผีดุซึ่งดึงดูดผู้คนไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก (ฟังดูย้อนแย้ง หรือไม่ย้อนแย้งดีนะ?)
*** ฟิลิปปินส์ - ปีศาจอัสวัง ***
ปีศาจอัสวังเป็นอีกหนึ่งตำนานของภูติผีระดับโหดสัส! มันมีวิธีการสังหารเหยื่ออันน่าหวาดผวาด้วยการแลบลิ้นกระซวกใส่รูทวารของเหยื่อเพื่อกินอวัยวะภายใน!
ในตอนกลางวันปีศาจตนนี้จะเป็นประมาณแม่มดใจดีที่มักจะให้ความช่วยเหลือในการปรุงยาสมุนไพรและใช้คาถาเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากไม่ให้สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของมัน
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** เรื่องหลอน ผีอาเซียน! ***
บทความนี้ผมจะนำเสนอเรื่องราวของผีปีศาจรวม “8 เรื่อง 8 รส จาก 8 ประเทศ” ของสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องเล่ายุคโบราณ ไปจนถึงตำนานเมืองรูปแบบใหม่ พร้อมกันครับ
...เรื่องราวต่อไปนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง โปรชวนวิจารณญาณมาอ่านเป็นเพื่อนเพื่อความสนุกในการรับชม...
ภาพแนบ: มานานังกัล ผีฟิลิปปินส์ ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้
อย่างที่กล่าวไป ผมจะนำเสนอเรื่องราวของผีปีศาจรวม “8 เรื่อง 8 รส จาก 8 ประเทศ” ของสมาชิกอาเซียน
ตั้งแต่เรื่องเล่ายุคโบราณ ไปจนถึงตำนานเมืองรูปแบบใหม่ พร้อมกันครับ
ไปติดตามชมพร้อมกันได้เลยครับ!
ภาพแนบ: รูปวาดของผีมะแพหว่า
*** ประเทศพม่า - ผีมะแพหว่า ***
ประเทศพม่ามีตำนานของผีสาวสุดแสนจะยูนีคนามว่า “มะแพหว่า” ซึ่งเร้นกายอยู่ในสุสานช่วงเวลากลางวัน และปรากฏกายเมื่อท้องฟ้ามืดลงพร้อมแบกโลงศพของตน ไปตามชุมชนเพื่อหาบ้านของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเพื่อกระซวกวิญญาณให้มาอยู่กับเธอ
มีตำนานเล่าว่า “มะเเพหว่าเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์คองบอง แต่เดิมเธอเป็นน้องสาวของข้ารับใช้เจ้าเมืองที่พยายามก่อกบฏทว่าประสบความล้มเหลว ทำให้สองพี่น้องต้องหลบหนีออกจากเมืองมาใช้ชีวิตยังหมู่บ้านสันโดด คืนหนึ่งเธอพยายามออกไปตามหาพี่ชายที่ยังไม่กลับบ้าน แต่กลับถูกเขาสังหารเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นปีศาจจากความมึนเมา ส่งผลให้หญิงสาวผู้น่าสงสารกลายมาเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนไม่มีที่พำนัก… ก่อนที่ชื่อของเธอจะถูกยกให้เป็นผู้พิทักษ์สุสานในเวลาต่อมา”
ภาพแนบ: มะแพหว่ากลายเป็นไอคอนยอดนิยมที่มีทั้งคนแต่งเป็นเธอและวาดการ์ตูนเพื่อต่อต้านกองทัพพม่า
อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึงรายละเอียดว่า… เหตุใดเมื่อเวลาผ่านไปวิญญาณผู้พิทักษ์จึงกลายมาเป็นผีร้ายที่ไล่รังควานกับชาวบ้าน ถึงขนาดที่เคยมีข่าวลือว่าในช่วงปลายปี 1990 เมื่อผีมะแพหว่าได้เข้าฝันพระเกจิชื่อดังรูปหนึ่งในรัฐกะฉิ่นของประเทศพม่าพร้อมประกาศกร้าวว่าจะมากินเนื้อเด็กๆ ทำให้พระรูปดังกล่าวแนะนำให้นางกินเนื้อสุนัขแทน เมื่อข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปชาวบ้านจึงนำป้ายที่เขียนว่า “เนื้อเด็กมีรสขม เนื้อสุนัขมีรสหวานอร่อย” มาตั้งในชุมชนเพื่อป้องกันอันตราย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีรายงานว่าผู้ใหญ่, เด็ก, สุนัข, หรือหมาคอร์กี้ตนใด ได้รับอันตรายจากเหตุดังกล่าว ในปัจจุบันผีมะแพหว่ากลายเป็นไอคอนยอดนิยมของประเทศพม่า ที่ถูกนำมา บอกเล่าผ่านทั้งตำนานพื้นบ้าน, หนังสือ, และภาพยนตร์หลากหลายเวอร์ชัน เทียบความป๊อบปูล่ากับผีไทย ก็อารมณ์ประมาณแม่นาก
*** ไทย - ผีม้าบ้อง ***
เราคงเคยได้ยินเรื่องราวของผีสุดป๊อบปูล่าอย่าง แม่นากพระโขนง, ปอบ, กระสือ, กระหัง, แม้แต่กลุ่มผียุคใหม่เช่น ผีคุณยายสปีดหรือผีป๊อกๆ ครืด แต่จะมีซักกี่คนรู้ว่า ประเทศของเรามีอสูรในลักษณะของครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าคล้ายกับเซนทอร์ของชาติตะวันตก เรียกว่า “ผีม้าบ้อง”
ตำนานเรื่องนี้ถูกเล่าที่มาแตกต่างกันหลายฉบับ โดยบางฉบับบอกว่า ผีม้าบ้องนั้นเกิดจากวิญญาณของชายขี้เหนียวที่ไม่เคยให้ความช่วยเหลือหรือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใคร จนเมื่อเขาตายไปก็ไม่มีใครให้ความสนใจจนกลายเป็นวิญญาณร้ายที่สามารถแปลงกายเป็นอสูรครึ่งคนครึ่งม้า เพื่อทำร้ายเหยื่อที่เป็นคู่รักหรือกำลังมีความรักด้วยความอิจฉา โดยการดีดให้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต
ขณะที่ตำนานอีกฉบับเล่าเรื่องที่เศร้าว่า… แท้จริงแล้วอสูรตนนี้กำเนิดจากม้าตัวหนึ่งที่กำลังเจ็บป่วยอย่างหนัก มันพยายามรอคอยคู่ของมันที่เคยผูกพันธ์แต่เยาว์วัย ทว่าคู่ของมันก็ไม่เคยกลับมาจนเจ้าม้าที่น่าสงสารต้องเสียชีวิตลง แม้กายหยาบจะสูญสลายแต่วิญญาณที่ยังห่วงก็ยังคงออกเดินทางไปตามหมู่บ้านต่างๆ โดยหวังว่าจะเจอคู่ขอมันซักวัน
บางฉบับยังบอกว่าผีม้าบ้องมีรูปเป็นผู้หญิงงามท่อนล่างเป็นม้า จะปรากฏกายออกมาแถวๆ หมู่บ้านคนในยามวิกาลเพื่อหาชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่หน้ามืดไม่เห็นท่อนล่าง จากนั้นผีม้าก็จะ “ดีดจนเหยื่อเสียชีวิต!” นั่นเอง
*** กัมพูชา - ผีอ๊าบ ***
กัมพูชาถือเป็นชาติอาเซียนที่มีความเชื่อและตำนานเรื่องผีใกล้เคียงกับประเทศไทยเป็นอย่างมากทั้งผีเปรต, ผีปอบ, และผีกระสือ โดยผีที่เราจะมานำเสนอในวันนี้คือ “ผีอ๊าบ หรือ กระสือแบบฉบับกัมพูชา” นั่นเอง
คำว่า “อ๊าบ” นั้นแปลว่า การจองเวรจองกรรมให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวด ต้นกำเนิดของกระสือฉบับกัมพูชานั้นเป็นผู้ล้มเหลวในการฝึกวิชาคาถามนต์ดําทำให้ของเหล่านั้นกลับเข้าตัวเอง จึงต้องทนทุกข์ทรมานจนกลายเป็นอ๊าบ
เมื่อยามตะวันลับขอบฟ้า อ๊าบจะถอดหัวและเครื่องในบินออกมาออกมาหาของโสโครกเช่นเลือด, ซากศพ, เนื้อสดของสัตว์และทารกเกิดใหม่
ก่อนจะกลับเข้าร่างเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าในเช้าวันถัดมา
นอกจากนี้ตำนานยังกล่าวอีกว่า อ๊าบสามารถสืบทอดผ่านคนในครอบครัวหรือทำการย้ายวิญญาณผ่านพิธีกรรมของแม่หมอที่มีอาคมแก่กล้าจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ… ใครคลอดลูกมีรกให้ระวัง จะมีอ๊าบมาแอบกินให้พยายามป้องกัน โดยกระสือฉบับกัมพูชามีจุดอ่อนสำคัญคือแพ้พวกขวากหนามจากต้นไม้หรือสุนัขเฝ้ายามที่สามารถทำอันตรายต่ออวัยวะของมันได้
เขียนๆ ไปแล้วก็เหมือนกระสือไทยมาก ...เอ หรือผีชนิดนี้จะมีจริงกันนะ?
ภาพแนบ: รูปของผีขายข้าวปุ้นจากหนังสือเกี่ยวกับผีสัญชาติลาวจากปลายปากกาของ ไบรอัน เท้า วอร์รา นักเขียนชาวลาวอเมริกา
*** ลาว - ผีสาวขายข้าวปุ้น ***
เรื่องราวมีอยู่ว่าพ่อค้าขายข้าวปุ้น (อาหารลาวคล้ายขนมจีน) รายหนึ่งตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหาลูกค้ารายใหม่ๆ จนมาพบเข้ากับต้นไทรขนาดใหญ่ตรงบริเวณดังกล่าว ทันใดนั้นเองหูของเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ มาจากที่ไหนซักแห่ง ทำให้พ่อค้าพยายามมองหาจนพบหญิงสาวคนหนึ่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไทร
เขาพยายามเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น พร้อมกับถามไถ่ความเป็นมาเผื่อจะช่วยอะไรหล่อนได้บ้าง… แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรหญิงสาวรายดังกล่าวก็ไม่มีปฏิกริยาใดๆ จนเขาพูดว่า “ให้เธอรีบกลับบ้านเพราะใกล้มืดค่ำ อาจเจอผีได้” ทันใดนั้นเองเสียงสะเอื้อนที่เคยได้ยินก็เปลี่ยนเป็นความเงียบงันและวังเวง…
ชายหนุ่มตัดสินใจรวบรวมความกล้าและถามไปตรงๆว่า “เธอเป็นผีใช่หรือไม่?” และแน่นอนว่าหญิงสาวคนดังกล่าวก็พยักหน้ารับ… แม้จะเป็นการตอบสนองที่ไม่น่าอภิรมย์นัก แต่เขาก็ไม่หยุดความพยายามที่จะช่วยเหลือเธอพร้อมถามว่าใครเป็นคนทำให้เธอต้องมาวนเวียนอยู่ตรงนี้…
ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือเสียงอาฆาตแค้นของหญิงสาวที่พูดอย่างชัดเจนว่า “ก็คนขายข้าวปุ้นอย่างพวกแกไงล่ะ!” ชายหนุ่มจึงทิ้งตะกร้าข้าวปุ้นพร้อมเปลี่ยนอาชีพจากพ่อค้าเป็นนักวิ่งเทรลแบบไม่คิดชีวิต… ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีเรื่องเล่าว่าวิญญาณของหญิงสาวจะมาปรากฎตัวใต้ต้นไทร พร้อมกับนำตะกร้าข้าวปุ้นที่แฮบจากเจ้าของเก่ามาเสนอขายให้กับผู้สัญจรผ่านทางสามแพร่งในทุกๆ คืนที่พระจันทร์เต็มดวง
…จนบัดนี้เราก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเธอมีความแค้นกับคนขายข้าวปุ้นจริงๆ หรือแกล้งหลอกเพื่อเทคโอเวอร์กิจการเท่านั้น…
ภาพแนบ: ตัวอย่างโอรังมีเยาะ
*** มาเลเซีย - โอรังมีเยาะ ***
เปลี่ยนจากเรื่องผีสางมาดูเรื่องราวเกี่ยวกับชายผู้ทำสัญญากับปีศาจเพื่อได้มาซึ่งความงามทางรูปกายในตอนกลางวัน แต่แลกมาด้วยการที่ตอนกลางคืนต้องกลายเป็นอมนุษย์หัวโล้น ที่มีร่างกายดำทมึนจากน้ำมันที่ถูกชโลมและมีดวงตาเปล่งประกายสีแดง
โอรังมีเยาะมันจะออกล่าเหยื่อซึ่งเป็นหญิงสาวที่กำลังหลับไหลบนเตียงนอน โดยมันจะยืนจ้องจนกว่าหญิงสาวจะตื่นขึ้นเพื่อสะกดจิตให้อยู่ใต้ภวังค์เพื่อไม่สามารถต้านทานมันได้ จากนั้นมันจะข่มขืนจนเสร็จกิจก่อนจะหายตัวไป เมื่อสาวผู้เคราะห์ร้ายตื่นมาเธอจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง คงเหลือเพียงคราบน้ำมันรอบเตียงไว้เป็นของดูต่างหน้า
ภาพแนบ: โอรังมีเยาะในโลกภาพยนตร์
ต้นกำเนิดของโอรังมีเยาะ เกิดขึ้นจากชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกัมปุงของมาเลเซีย เขาเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของชาวบ้านและผู้พบเห็น วันหนึ่งเขาตกหลุมรักสาวงามคนหนึ่ง แต่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในความขี้เหร่และมั่นใจว่าหญิงสาวคงไม่มีทางรับรักตนอย่างแน่นอน เขาจึงเริ่มศึกษาวิชามนต์ดำเพื่อทำสัญญากับปีศาจ เพื่อเปลี่ยนให้ตนเป็นชายหนุ่มรูปงามโดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าตนต้องกลายร่างเป็นโอรังมีเยาะ เพื่อล่าพรหมจรรย์หญิงสาวมาบรรณาการแก่ปีศาจ
สำหรับวิธีการป้องกันโอรังมีเยาะคือ การสวมใส่เสื้อผ้าของผู้ชายเพื่อตบตา, ใช้กิ่งต้นสะตอเพื่อทำให้มันตกใจ, ใช้น้ำฝนชะล้างน้ำมันบนร่างมัน, และเอากระจกส่องสะท้อนพลังจิตของมัน หรือถ้าอยากฆ่ามันก็มีขั้นตอนดังนี้:
1. โรยปลีกล้วยหรือใบบอนรอบๆ ที่นอน ซึ่งจะทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้
2. ใช้ถุงผ้าบาติกครอบหัวมันไว้
3. กัดหรือตัดหัวแม่มือซ้ายของมันออก สิ่งนี้จะทำให้มันเสียชีวิต
เรื่องรางของโอรังมีเยาะเคยถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ถึงสองครั้งด้วยกัน โดยฉบับแรกออกฉายในปี 1956 และฉบับต่อมาในปี 2007 ถือเป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก
ภาพแนบ: หอคอยสื่อสารแอมเบอร์
*** สิงคโปร์ - ผีสาวแห่งหอคอยสื่อสาร ***
เรื่องราวลี้ลับของสิงคโปร์เกือบทั้งหมดนั้น ถูกเล่าออกมาในรูปแบบของตำนานเมืองตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากประเทศแห่งนี้เพิ่งก่อตั้งได้เพียง 56 ปี ทำให้ตำนานโบราณส่วนมากได้รับอิทธิพลจากประเทศใกล้เคียง อย่างไรก็ตามตำนานเมืองซึ่งได้รับการเล่าขานมากที่สุดคือเรื่องราวของ “หอคอยสื่อสารแอมเบอร์ที่ตั้งอยู่บนหาดในอีสท์โคสท์พาร์ค” สถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวสิงคโปร์
โดยเรื่องมีอยู่ว่า “หนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เดินทางมาพักผ่อนอยู่บริเวณบันไดของหอคอย แต่ถูกฆาตกรเข้าจู่โจม ทำให้ฝ่ายหญิงถูกสังหาร ส่วนฝ่ายชายสามารถต่อสู้จนดิ้นรนหนีออกมาได้สำเร็จ
ภาพแนบ: ขั้นบันไดที่ถูกระบุว่ามีคนพบเห็นผีสาว
ภายหลังเหตุสลดดังกล่าว… ก็เกิดข่าวลือแปลกๆ ว่ามีผู้คนเห็นวิญญาณหญิงสาวที่ยังไม่สามารถไปสู่สุขคติปรากฎตัวขึ้นบนหอคอยก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตา หรือได้ยินเสียงร้องไห้, กรีดร้อง, และร้องขอความช่วยเหลือจากบริเวณดังกล่าว…
จนหอคอยแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ผีดุซึ่งดึงดูดผู้คนไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก (ฟังดูย้อนแย้ง หรือไม่ย้อนแย้งดีนะ?)
*** ฟิลิปปินส์ - ปีศาจอัสวัง ***
ปีศาจอัสวังเป็นอีกหนึ่งตำนานของภูติผีระดับโหดสัส! มันมีวิธีการสังหารเหยื่ออันน่าหวาดผวาด้วยการแลบลิ้นกระซวกใส่รูทวารของเหยื่อเพื่อกินอวัยวะภายใน!
ในตอนกลางวันปีศาจตนนี้จะเป็นประมาณแม่มดใจดีที่มักจะให้ความช่วยเหลือในการปรุงยาสมุนไพรและใช้คาถาเพื่อช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากไม่ให้สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของมัน
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***