“คุณเคยได้ยินเรื่อง... หรือเปล่า?”
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เล่ากันปากต่อปากในพื้นที่ต่างๆ หรือเรียกว่าว่า “ตำนานเมือง” (Urban Legend)
ตำนานเมืองเล่านี้มีอยู่หลายธีม ทั้งเรื่องผี เรื่องลึกลับ เรื่องระทึกขวัญ เรื่องชวนขนหัวลุกต่างๆ ที่เล่ากันเพื่อสร้างสีสันในวงสนทนา
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปดู 7 ตำนานเมือง พร้อมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมในตอนท้ายว่าตำนานเหล่านี้น่าจะเป็นจริงหรือไม่? ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว ตามอ่านได้เลยครับ
*** ตำนานเมือง ***
ก่อนอื่นขอเปิดมาด้วยการอธิบายคำว่า “ตำนานเมือง” (Urban Legend) ก่อน
คำว่าตำนานเมืองนี้จัดได้ว่าเป็นนิทานพื้นบ้าน (folklore) ประเภทหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง และเคยเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว เช่น เพื่อนของเพื่อน หรือเป็นญาติห่างๆ และมักมีเนื้อหาชวนตลกขบขันหรือน่าสะพรึง นอกจากนี้ยังมักสอดแทรกเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายลึกลับ หรือเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจ
ยิ่งสมัยนี้มีสื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้เรื่องราวต่างๆ มีการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็ว โดยอาจมีการดัดแปลงไปเรื่อยๆ
*** Bloody Mary ***
เรื่องแรกนี้มีว่า "บลัดดีแมรี" เป็นวิญญาณในกระจก ซึ่งจะมาปรากฏตัวต่อคนที่ทำพิธีเรียกเธอ
พิธีกรรมดังกล่าวจะเป็นการเรียกชื่อบลัดดีแมรีหน้ากระจกในห้องที่มีแสงสลัว หลังเวลาผ่านไป วิญญาณบลัดดีแมรีจะปรากฏขึ้น
บลัดดีแมรีนี้อาจปรากฏเป็นร่างโชกเลือด, ซากศพ, แม่มดหรือผี ซึ่งอาจเป็นมิตรหรือไม่ก็ได้ และวิญญาณนั้นอาจมีพฤติกรรมได้หลายแบบ ทั้งกรีดร้อง สาบแช่ง บีบคอ ขโมยดวงวิญญาณ ดื่มเลือด หรือควักลูกตาผู้ที่เรียกก็ได้ ...แม้จะเสี่ยงตาย แต่มันก็เป็นที่ถูกอกถูกใจพวกล่าท้าผีที่ต้องการพิสูจน์ความกล้าของตน
ภาพแนบ: ความเชื่อในการเสี่ยงทายหาสามีของหญิงสมัยก่อน
เรื่องบลัดดีแมรีอีกเวอร์ชัน จะเป็นรูปแบบของพิธีเสี่ยงทาย โดยให้ผู้ต้องการเสี่ยงทาย (มักเป็นผู้หญิง) เดินถอยหลังขึ้นบันไดในบ้านมืดพร้อมถือกระจกและเทียนไขในมืออย่างละข้าง
เชื่อว่าถ้าไม่ตกบันไดคอหักก่อนผู้ทำพิธีจะเห็นหน้าของคู่ครองในอนาคตของตนในกระจก หรืออาจเห็นกะโหลกก็ได้ถ้าหากมีดวงจะไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิต
ภาพแนบ: แอนาเบล
*** Annabelle ***
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่อง "แอนาเบล" หรือตุ๊กตาผีสิงที่หลายท่านน่าจะเคยได้ยินมาแล้ว
แอนาเบลนี้ จริงๆ เป็นตุ๊กตาผ้ารูปตัวละครชื่อ "แร็กเก็ดดี แอนน์" (Raggedy Ann) ในหนังสือเด็กของสหรัฐ
หลังจากเคย “หลอกหลอน” เจ้าของในช่วงทศวรรษ 1970s ปัจจุบันตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์เรื่องลึกลับตระกูลวอร์เรน ในเมืองมอนโร รัฐคอนเน็กติกัต สหรัฐ
ภาพแนบ: สามีภรรยาวอร์เรน
เจ้าของตุ๊กตาคือสามีภรรยาวอร์เรนซึ่งเป็น "นักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติ" พวกเขาเล่าว่าตุ๊กตาตัวนี้เคยมีพฤติกรรมแปลกๆ ตั้งแต่เล็กน้อย ได้แก่ ลอยตัวเฉยๆ ไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตาย เช่น พยายามบีบคอคน นอกจากนี้ยังเคยมีคนทรงบอกว่าตุ๊กตาตัวนี้มีวิญญาณสิงอยู่เป็นเด็กหญิงชื่อ "แอนาเบล"
สามีภรรยาวอร์เรนเล่าว่าระหว่างที่เคลื่อนย้ายตุ๊กตานั้น คันเร่งและเบรกรถก็ใช้การไม่ได้ จนต้องใช้วิธีพรมน้ำมนต์แก้
นอกจากนี้ยังเล่าว่าเคยมีคนมาลบหลู่ตุ๊กตาแอนาเบลที่พิพิธภัณฑ์ แล้วพอออกไปปรากฏว่าประสบอุบัติเหตุตาย
ภาพแนบ: ภาพจากภาพยนตร์ The Conjuring
เรื่องแอนาเบลถูกตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถืออยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีการนำเรื่องราวดังกล่าวไปดัดแปลงอย่างแพร่หลาย กลายเป็นภาพยนตร์ชุด The Conjuring (สังเกตนะครับว่ามีการดัดแปลงหน้าตาของตุ๊กตาต่างจากต้นฉบับ)
ตำนานเมืองเรื่องวัตถุผีสิงยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องตุ๊กตาผีของไทยที่ว่ากันว่ามีวิญญาณเด็กหญิงเขมรสิงอยู่ กลายเป็นละครผีที่ทำคนขนหัวลุกกันทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อปี 1988 ด้วยประโยค “หนูอยากกลับบ้าน...”
ภาพแนบ: ภาพวาดของการทดลองนี้
*** Russian Sleep Experiment ***
เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทดลอง ...ท่านเคยสงสัยไหมครับว่าถ้าคนเราอดนอนไปนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น
เล่ากันว่าในช่วงทศวรรษ 1940s ทางการโซเวียตเคยนำตัวนักโทษการเมือง 5 คนมาทดลอง เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเราไม่ได้อดนอนติดต่อกัน 30 วัน
นักโทษเหล่านี้จะได้รับแก๊สสารกระตุ้นให้ตื่นตัวอยู่เรื่อยๆ ซึ่งทางการให้คำมั่นว่าจะมีการปล่อยตัวพวกเขาเป็นอิสระหลังสิ้นสุดการทดลอง
ภาพแนบ: ว่ากันว่านี่เป็นห้องทดลองในเรื่องนี้
ในวันแรกๆ ผู้ถูกทดลองยังทำตัวเป็นปกติ สามารถสื่อสารกับผู้วิจัยผ่านกระจกที่ติดไว้
อย่างไรก็ตามพวกเขาค่อยๆ คุยกันในหัวข้อที่มืดหม่นขึ้นเรื่อยๆ จนย่างเข้าวันที่ 10 ผู้รับการทดลองคนหนึ่งกรีดร้องออกมายาวนานจนเส้นเสียงขาดและพิการเป็นใบ้ไป โดยที่เพื่อนร่วมห้องไม่ได้ตื่นตกใจอะไร
เข้าสู่วันที่ 15 นักวิจัยลองปิดสารกระตุ้นและเปิดเข้าไปดูในห้อง กลับพบว่าผู้รับการทดลองนั้นไม่อยากให้ปิดแก๊สเพราะกลัวว่าจะหลับ และเมื่อมองเข้าไปดู ผู้วิจัยก็ต้องขนหัวลุกเมื่อพบว่ามีผู้ถูกทดลองตัดอวัยวะของตนเองและคว้านท้องตัวเองออกมา รวมทั้งกินเนื้อตัวเองและเพื่อนรับการทดลองที่ตายไปคนหนึ่งด้วย พวกเขาขอให้กลับมาเปิดแก๊สกระตุ้นอีกครั้ง ทั้งยังไม่ยอมถูกนำตัวออกจากห้องทดลอง จนถึงกับฆ่าทหารคนหนึ่งที่พยายามเอาตัวออกจากห้องด้วย
ภาพแนบ: รูปที่เชื่อกันมากว่ามาจากเรื่องนี้
หลังจากทีมวิจัยเอาตัวพวกเขาออกมาได้ในที่สุด นักโทษทุกคนก็ดูมีกำลังวังชาผิดมนุษย์, ดื้อต่อยานอนหลับทุกชนิด และยังมีชีวิตอยู่แม้ดูเจ็บป่วยหนัก รวมทั้งมีความต้องการอย่างแรงกล้าในการตื่นและได้รับสารกระตุ้นต่อ ทั้งยังกลัวว่าถ้าตัวเองนอนหลับไปจะต้องตาย
พวกทหารที่คุมการทดลองสั่งให้นำตัวพวกเขากลับเข้าห้องรมแก๊สอีกครั้งเพื่อจะให้ทดลองต่อจนครบ 30 วัน พร้อมทั้งจะให้นักวิจัยเข้าไปด้วย คราวนี้นักวิจัยเลยใช้ปืนยิงทหารเพราะกลัวติดอยู่ข้างในกับคนเหล่านี้ซึ่งคงจะเรียกได้ว่ากลายเป็นอมนุษย์ไปแล้ว
เรื่องนี้จบลงโดยที่นักวิจัยถามผู้ถูกทดลองว่าเขารู้ไหมว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนรับการทดลองตอบว่า “ข้าน่ะเหรอ ข้าก็คือสิ่งที่อยู่ในตัวพวกแกมาตลอด แต่พวกข้าถูกกดไว้ด้วยการนอนหลับอย่างไรล่ะ!” นักวิจัยจึงใช้ปืนยิงนักโทษผู้รับการทดลองเสีย ก่อนตายนักโทษพึมพำว่า “...เกือบเป็นอิสระแล้ว…”
ภาพแนบ: คนคอสเพลย์เป็นสเลนเดอร์แมน
*** Slender Man ***
เรื่องที่ 4 เป็นเรื่องราวของ "สเลนเดอร์แมน" ซึ่งปรากฏในสื่อสมัยใหม่หลายทาง
มันเป็นตัวละครที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ตัวผอม สูงผิดธรรมชาติ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ศีรษะและหน้าไม่มีอวัยวะใดๆ มืออาจเป็นมือเช่นคนปกติ หรือเป็นหนวดแบบปลาหมึกก็ได้
มันมักสวมเสื้อสูทสีดำ มีพฤติกรรมย่องตามผู้อื่น ลักพาตัวหรือทำร้ายคน โดยเฉพาะเด็ก
ภาพแนบ: กราฟิตีรูปสเลนเดอร์แมน
มีตำนานเล่าไปว่า Slender Man อาศัยอยู่ตามป่าและสถานที่ถูกทิ้งร้าง และสามารถหายตัวย้ายที่ได้ ถ้าเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็จะมีอาการหวาดระแวง ฝันร้าย และเห็นภาพหลอน เป็นต้น
เรื่องราวของเขามีการนำไปสร้างเป็นงานเขียน ศิลปะหรือเกมหลายเรื่อง นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปสมัยใหม่ มีคนอินถึงขั้นก่ออาชญากรรมโดยอ้างว่าบูชาตัวละครนี้ด้วยในช่วงปี 2014
ภาพแนบ: ชายชุดดำ
*** Men in Black ***
เรื่องที่ 5 นี้ไม่เชิงว่าเป็นตำนานเมืองอย่างเดียว แต่เป็นทฤษฎีสมคบคิดอย่างหนึ่งในอเมริกา... ว่ากันว่ามีชายสวมชุดสูทดำกลุ่มหนึ่งอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คอยรังควาน ขู่เข็ญหรือบางทีก็ฆ่าพยานผู้รู้เห็น “เรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว”
อนึ่งชายชุดดำยังมีประวัติใช้เจ้าหน้าที่รัฐมาคุ้มครองความลับหรือดำเนินกิจกรรมแปลกๆ ให้แก่ตน ประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงเอง และรัฐบาลอเมริกันพยายามปกปิดเรื่องมนุษย์ต่างดาวอยู่!
ภาพแนบ: ภาพวาดจากจินตนาการในเหตุการณ์เกาะโมรีปี 1947
เคยมีสารคดีระบุว่า เรื่องนี้อาจมีที่มาจากชายชื่อ ฮาโรลด์ ดาห์ล (Harold Dahl) ที่พาหมาไปตกปลาในเดือนมิถุนายน 1947 แถวเกาะโมรี รัฐวอชิงตัน สหรัฐ
ดาห์ลเล่าว่าเขาเห็นสิ่งแปลกปลอมรูปทรงโดนัทจำนวน 6 อันลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนวัตถุอันหนึ่งจะตกลงมา ตามมาด้วยฝนและเศษโลหะ ซึ่งเขาถ่ายภาพวัตถุนั้นไว้ได้
วันรุ่งขึ้น มีชายชุดดำดักรอเขาที่ร้านอาหารในท้องถิ่น พร้อมกับกำชับว่าห้ามเขาแพร่งพรายเรื่องนี้ มิฉะนั้นแล้วสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเขา (แต่ก็กลายมาเป็นเรื่องเล่าอยู่ดี)
ภาพแนบ: ป้ายเตือนที่แอเรีย 51 ระบุว่าได้รับอนุญาตให้ใช้กำลังถึงตายได้
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ชาวอเมริกันเชื่อว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลัง อย่างเช่น "แอเรีย 51" ที่ถูกหวงห้ามด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ มักตกเป็นเป้าความเชื่อที่ว่ามันต้องเป็นที่คุมขังและทดลองสิ่งมีชีวิตต่างดาวหรือเอเลี่ยนแน่ๆ
นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นอีก เช่น The Montauk Project ซึ่งเชื่อว่ามีการทดลองอาวุธที่มีต่อจิตใจและการเดินทางข้ามเวลา ในเมืองมอนทาค รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับซีรีย์ Stranger Things
ภาพแนบ: การทดลองในซีรีส์ Stranger Things
ความน่าสนใจสำหรับเรื่องราวในแนวว่ารัฐบาลกำลังเก็บงำความลับ คือ ช่วงหลังๆ ได้มีสารคดีออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วหลักฐานบางส่วนเกี่ยวกับยูเอฟโออาจเป็นความพยายามของรัฐบาลในการสร้างขึ้นมาให้ประชาชนเชื่อเองเลยด้วยซ้ำก็เป็นได้!
...นี่แปลว่ารัฐบาลมองว่าการที่คนเชื่อเรื่องยูเอฟโอเป็นเรื่องเล็ก แต่มีเรื่องใหญ่กว่านั้นซ่อนอยู่เบื้องหลังอีก!?
*** แน่ใจเหรอว่าคุณอยู่บ้านคนเดียว? ***
เรื่องหมวดที่ 6 แบ่งเป็นเรื่องย่อยอีก 3 เรื่อง ที่ผมจะเรียกรวมๆ กันว่าเป็นแนว “แน่ใจเหรอว่าคุณอยู่บ้านคนเดียว?” คนที่ได้ฟังเรื่องเหล่านี้โดยที่อยู่บ้านหรือห้องเช่าคนเดียวก็ขอให้ทำใจนะครับ
เรื่องแรกที่นำมานี้ เป็นเรื่องที่ผู้อาศัยสังเกตว่าของในบ้านหายไป รวมทั้งได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากห้องด้านบน... เขาอยากทดสอบดูว่าไม่ได้คิดไปเอง จึงตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ สุดท้ายเขาถึงกับต้องสะพรึงเมื่อมีร่างเงาเคลื่อนที่ขึ้นลงจากห้องใต้หลังคา!
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของเด็กหอ ใจความว่า ค่ำคืนหนึ่ง เด็กหอคนหนึ่งกลับที่พักมาตอนดึกๆ หลังไปสังสรรค์เมามายกันมา กลับมาเห็นเพื่อนร่วมห้องนอนก็นึกว่าหลับเฉยๆ และทิ้งตัวลงนอนบ้างเหมือนกัน
แต่ตื่นมาตอนเช้าเขาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าเพื่อนร่วมห้องนั้นโดนเชือดคอตายไปแล้ว แถมบนผนังยังมีข้อความเขียนด้วยเลือดว่า “ดีใจมั้ยที่ไม่ได้เปิดไฟ?” (Aren’t you glad you didn’t turn on the light?)
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** 7 ตำนานเมืองสุดสะพรึง ***
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เล่ากันปากต่อปากในพื้นที่ต่างๆ หรือเรียกว่าว่า “ตำนานเมือง” (Urban Legend)
ตำนานเมืองเล่านี้มีอยู่หลายธีม ทั้งเรื่องผี เรื่องลึกลับ เรื่องระทึกขวัญ เรื่องชวนขนหัวลุกต่างๆ ที่เล่ากันเพื่อสร้างสีสันในวงสนทนา
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปดู 7 ตำนานเมือง พร้อมทั้งข้อมูลเพิ่มเติมในตอนท้ายว่าตำนานเหล่านี้น่าจะเป็นจริงหรือไม่? ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว ตามอ่านได้เลยครับ
*** ตำนานเมือง ***
ก่อนอื่นขอเปิดมาด้วยการอธิบายคำว่า “ตำนานเมือง” (Urban Legend) ก่อน
คำว่าตำนานเมืองนี้จัดได้ว่าเป็นนิทานพื้นบ้าน (folklore) ประเภทหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง และเคยเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว เช่น เพื่อนของเพื่อน หรือเป็นญาติห่างๆ และมักมีเนื้อหาชวนตลกขบขันหรือน่าสะพรึง นอกจากนี้ยังมักสอดแทรกเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายลึกลับ หรือเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจ
ยิ่งสมัยนี้มีสื่อออนไลน์มากขึ้น ทำให้เรื่องราวต่างๆ มีการเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียได้อย่างรวดเร็ว โดยอาจมีการดัดแปลงไปเรื่อยๆ
*** Bloody Mary ***
เรื่องแรกนี้มีว่า "บลัดดีแมรี" เป็นวิญญาณในกระจก ซึ่งจะมาปรากฏตัวต่อคนที่ทำพิธีเรียกเธอ
พิธีกรรมดังกล่าวจะเป็นการเรียกชื่อบลัดดีแมรีหน้ากระจกในห้องที่มีแสงสลัว หลังเวลาผ่านไป วิญญาณบลัดดีแมรีจะปรากฏขึ้น
บลัดดีแมรีนี้อาจปรากฏเป็นร่างโชกเลือด, ซากศพ, แม่มดหรือผี ซึ่งอาจเป็นมิตรหรือไม่ก็ได้ และวิญญาณนั้นอาจมีพฤติกรรมได้หลายแบบ ทั้งกรีดร้อง สาบแช่ง บีบคอ ขโมยดวงวิญญาณ ดื่มเลือด หรือควักลูกตาผู้ที่เรียกก็ได้ ...แม้จะเสี่ยงตาย แต่มันก็เป็นที่ถูกอกถูกใจพวกล่าท้าผีที่ต้องการพิสูจน์ความกล้าของตน
ภาพแนบ: ความเชื่อในการเสี่ยงทายหาสามีของหญิงสมัยก่อน
เรื่องบลัดดีแมรีอีกเวอร์ชัน จะเป็นรูปแบบของพิธีเสี่ยงทาย โดยให้ผู้ต้องการเสี่ยงทาย (มักเป็นผู้หญิง) เดินถอยหลังขึ้นบันไดในบ้านมืดพร้อมถือกระจกและเทียนไขในมืออย่างละข้าง
เชื่อว่าถ้าไม่ตกบันไดคอหักก่อนผู้ทำพิธีจะเห็นหน้าของคู่ครองในอนาคตของตนในกระจก หรืออาจเห็นกะโหลกก็ได้ถ้าหากมีดวงจะไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิต
ภาพแนบ: แอนาเบล
*** Annabelle ***
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่อง "แอนาเบล" หรือตุ๊กตาผีสิงที่หลายท่านน่าจะเคยได้ยินมาแล้ว
แอนาเบลนี้ จริงๆ เป็นตุ๊กตาผ้ารูปตัวละครชื่อ "แร็กเก็ดดี แอนน์" (Raggedy Ann) ในหนังสือเด็กของสหรัฐ
หลังจากเคย “หลอกหลอน” เจ้าของในช่วงทศวรรษ 1970s ปัจจุบันตุ๊กตาตัวนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์เรื่องลึกลับตระกูลวอร์เรน ในเมืองมอนโร รัฐคอนเน็กติกัต สหรัฐ
ภาพแนบ: สามีภรรยาวอร์เรน
เจ้าของตุ๊กตาคือสามีภรรยาวอร์เรนซึ่งเป็น "นักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติ" พวกเขาเล่าว่าตุ๊กตาตัวนี้เคยมีพฤติกรรมแปลกๆ ตั้งแต่เล็กน้อย ได้แก่ ลอยตัวเฉยๆ ไปจนถึงเรื่องคอขาดบาดตาย เช่น พยายามบีบคอคน นอกจากนี้ยังเคยมีคนทรงบอกว่าตุ๊กตาตัวนี้มีวิญญาณสิงอยู่เป็นเด็กหญิงชื่อ "แอนาเบล"
สามีภรรยาวอร์เรนเล่าว่าระหว่างที่เคลื่อนย้ายตุ๊กตานั้น คันเร่งและเบรกรถก็ใช้การไม่ได้ จนต้องใช้วิธีพรมน้ำมนต์แก้
นอกจากนี้ยังเล่าว่าเคยมีคนมาลบหลู่ตุ๊กตาแอนาเบลที่พิพิธภัณฑ์ แล้วพอออกไปปรากฏว่าประสบอุบัติเหตุตาย
ภาพแนบ: ภาพจากภาพยนตร์ The Conjuring
เรื่องแอนาเบลถูกตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถืออยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีการนำเรื่องราวดังกล่าวไปดัดแปลงอย่างแพร่หลาย กลายเป็นภาพยนตร์ชุด The Conjuring (สังเกตนะครับว่ามีการดัดแปลงหน้าตาของตุ๊กตาต่างจากต้นฉบับ)
ตำนานเมืองเรื่องวัตถุผีสิงยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องตุ๊กตาผีของไทยที่ว่ากันว่ามีวิญญาณเด็กหญิงเขมรสิงอยู่ กลายเป็นละครผีที่ทำคนขนหัวลุกกันทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อปี 1988 ด้วยประโยค “หนูอยากกลับบ้าน...”
ภาพแนบ: ภาพวาดของการทดลองนี้
*** Russian Sleep Experiment ***
เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการทดลอง ...ท่านเคยสงสัยไหมครับว่าถ้าคนเราอดนอนไปนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น
เล่ากันว่าในช่วงทศวรรษ 1940s ทางการโซเวียตเคยนำตัวนักโทษการเมือง 5 คนมาทดลอง เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเราไม่ได้อดนอนติดต่อกัน 30 วัน
นักโทษเหล่านี้จะได้รับแก๊สสารกระตุ้นให้ตื่นตัวอยู่เรื่อยๆ ซึ่งทางการให้คำมั่นว่าจะมีการปล่อยตัวพวกเขาเป็นอิสระหลังสิ้นสุดการทดลอง
ภาพแนบ: ว่ากันว่านี่เป็นห้องทดลองในเรื่องนี้
ในวันแรกๆ ผู้ถูกทดลองยังทำตัวเป็นปกติ สามารถสื่อสารกับผู้วิจัยผ่านกระจกที่ติดไว้
อย่างไรก็ตามพวกเขาค่อยๆ คุยกันในหัวข้อที่มืดหม่นขึ้นเรื่อยๆ จนย่างเข้าวันที่ 10 ผู้รับการทดลองคนหนึ่งกรีดร้องออกมายาวนานจนเส้นเสียงขาดและพิการเป็นใบ้ไป โดยที่เพื่อนร่วมห้องไม่ได้ตื่นตกใจอะไร
เข้าสู่วันที่ 15 นักวิจัยลองปิดสารกระตุ้นและเปิดเข้าไปดูในห้อง กลับพบว่าผู้รับการทดลองนั้นไม่อยากให้ปิดแก๊สเพราะกลัวว่าจะหลับ และเมื่อมองเข้าไปดู ผู้วิจัยก็ต้องขนหัวลุกเมื่อพบว่ามีผู้ถูกทดลองตัดอวัยวะของตนเองและคว้านท้องตัวเองออกมา รวมทั้งกินเนื้อตัวเองและเพื่อนรับการทดลองที่ตายไปคนหนึ่งด้วย พวกเขาขอให้กลับมาเปิดแก๊สกระตุ้นอีกครั้ง ทั้งยังไม่ยอมถูกนำตัวออกจากห้องทดลอง จนถึงกับฆ่าทหารคนหนึ่งที่พยายามเอาตัวออกจากห้องด้วย
ภาพแนบ: รูปที่เชื่อกันมากว่ามาจากเรื่องนี้
หลังจากทีมวิจัยเอาตัวพวกเขาออกมาได้ในที่สุด นักโทษทุกคนก็ดูมีกำลังวังชาผิดมนุษย์, ดื้อต่อยานอนหลับทุกชนิด และยังมีชีวิตอยู่แม้ดูเจ็บป่วยหนัก รวมทั้งมีความต้องการอย่างแรงกล้าในการตื่นและได้รับสารกระตุ้นต่อ ทั้งยังกลัวว่าถ้าตัวเองนอนหลับไปจะต้องตาย
พวกทหารที่คุมการทดลองสั่งให้นำตัวพวกเขากลับเข้าห้องรมแก๊สอีกครั้งเพื่อจะให้ทดลองต่อจนครบ 30 วัน พร้อมทั้งจะให้นักวิจัยเข้าไปด้วย คราวนี้นักวิจัยเลยใช้ปืนยิงทหารเพราะกลัวติดอยู่ข้างในกับคนเหล่านี้ซึ่งคงจะเรียกได้ว่ากลายเป็นอมนุษย์ไปแล้ว
เรื่องนี้จบลงโดยที่นักวิจัยถามผู้ถูกทดลองว่าเขารู้ไหมว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนรับการทดลองตอบว่า “ข้าน่ะเหรอ ข้าก็คือสิ่งที่อยู่ในตัวพวกแกมาตลอด แต่พวกข้าถูกกดไว้ด้วยการนอนหลับอย่างไรล่ะ!” นักวิจัยจึงใช้ปืนยิงนักโทษผู้รับการทดลองเสีย ก่อนตายนักโทษพึมพำว่า “...เกือบเป็นอิสระแล้ว…”
ภาพแนบ: คนคอสเพลย์เป็นสเลนเดอร์แมน
*** Slender Man ***
เรื่องที่ 4 เป็นเรื่องราวของ "สเลนเดอร์แมน" ซึ่งปรากฏในสื่อสมัยใหม่หลายทาง
มันเป็นตัวละครที่มีพลังเหนือธรรมชาติ ตัวผอม สูงผิดธรรมชาติ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ศีรษะและหน้าไม่มีอวัยวะใดๆ มืออาจเป็นมือเช่นคนปกติ หรือเป็นหนวดแบบปลาหมึกก็ได้
มันมักสวมเสื้อสูทสีดำ มีพฤติกรรมย่องตามผู้อื่น ลักพาตัวหรือทำร้ายคน โดยเฉพาะเด็ก
ภาพแนบ: กราฟิตีรูปสเลนเดอร์แมน
มีตำนานเล่าไปว่า Slender Man อาศัยอยู่ตามป่าและสถานที่ถูกทิ้งร้าง และสามารถหายตัวย้ายที่ได้ ถ้าเข้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็จะมีอาการหวาดระแวง ฝันร้าย และเห็นภาพหลอน เป็นต้น
เรื่องราวของเขามีการนำไปสร้างเป็นงานเขียน ศิลปะหรือเกมหลายเรื่อง นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปสมัยใหม่ มีคนอินถึงขั้นก่ออาชญากรรมโดยอ้างว่าบูชาตัวละครนี้ด้วยในช่วงปี 2014
ภาพแนบ: ชายชุดดำ
*** Men in Black ***
เรื่องที่ 5 นี้ไม่เชิงว่าเป็นตำนานเมืองอย่างเดียว แต่เป็นทฤษฎีสมคบคิดอย่างหนึ่งในอเมริกา... ว่ากันว่ามีชายสวมชุดสูทดำกลุ่มหนึ่งอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คอยรังควาน ขู่เข็ญหรือบางทีก็ฆ่าพยานผู้รู้เห็น “เรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว”
อนึ่งชายชุดดำยังมีประวัติใช้เจ้าหน้าที่รัฐมาคุ้มครองความลับหรือดำเนินกิจกรรมแปลกๆ ให้แก่ตน ประหนึ่งว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงเอง และรัฐบาลอเมริกันพยายามปกปิดเรื่องมนุษย์ต่างดาวอยู่!
ภาพแนบ: ภาพวาดจากจินตนาการในเหตุการณ์เกาะโมรีปี 1947
เคยมีสารคดีระบุว่า เรื่องนี้อาจมีที่มาจากชายชื่อ ฮาโรลด์ ดาห์ล (Harold Dahl) ที่พาหมาไปตกปลาในเดือนมิถุนายน 1947 แถวเกาะโมรี รัฐวอชิงตัน สหรัฐ
ดาห์ลเล่าว่าเขาเห็นสิ่งแปลกปลอมรูปทรงโดนัทจำนวน 6 อันลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อนวัตถุอันหนึ่งจะตกลงมา ตามมาด้วยฝนและเศษโลหะ ซึ่งเขาถ่ายภาพวัตถุนั้นไว้ได้
วันรุ่งขึ้น มีชายชุดดำดักรอเขาที่ร้านอาหารในท้องถิ่น พร้อมกับกำชับว่าห้ามเขาแพร่งพรายเรื่องนี้ มิฉะนั้นแล้วสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเขา (แต่ก็กลายมาเป็นเรื่องเล่าอยู่ดี)
ภาพแนบ: ป้ายเตือนที่แอเรีย 51 ระบุว่าได้รับอนุญาตให้ใช้กำลังถึงตายได้
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ชาวอเมริกันเชื่อว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลัง อย่างเช่น "แอเรีย 51" ที่ถูกหวงห้ามด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ มักตกเป็นเป้าความเชื่อที่ว่ามันต้องเป็นที่คุมขังและทดลองสิ่งมีชีวิตต่างดาวหรือเอเลี่ยนแน่ๆ
นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นอีก เช่น The Montauk Project ซึ่งเชื่อว่ามีการทดลองอาวุธที่มีต่อจิตใจและการเดินทางข้ามเวลา ในเมืองมอนทาค รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับซีรีย์ Stranger Things
ภาพแนบ: การทดลองในซีรีส์ Stranger Things
ความน่าสนใจสำหรับเรื่องราวในแนวว่ารัฐบาลกำลังเก็บงำความลับ คือ ช่วงหลังๆ ได้มีสารคดีออกมาเปิดเผยว่าแท้จริงแล้วหลักฐานบางส่วนเกี่ยวกับยูเอฟโออาจเป็นความพยายามของรัฐบาลในการสร้างขึ้นมาให้ประชาชนเชื่อเองเลยด้วยซ้ำก็เป็นได้!
...นี่แปลว่ารัฐบาลมองว่าการที่คนเชื่อเรื่องยูเอฟโอเป็นเรื่องเล็ก แต่มีเรื่องใหญ่กว่านั้นซ่อนอยู่เบื้องหลังอีก!?
*** แน่ใจเหรอว่าคุณอยู่บ้านคนเดียว? ***
เรื่องหมวดที่ 6 แบ่งเป็นเรื่องย่อยอีก 3 เรื่อง ที่ผมจะเรียกรวมๆ กันว่าเป็นแนว “แน่ใจเหรอว่าคุณอยู่บ้านคนเดียว?” คนที่ได้ฟังเรื่องเหล่านี้โดยที่อยู่บ้านหรือห้องเช่าคนเดียวก็ขอให้ทำใจนะครับ
เรื่องแรกที่นำมานี้ เป็นเรื่องที่ผู้อาศัยสังเกตว่าของในบ้านหายไป รวมทั้งได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากห้องด้านบน... เขาอยากทดสอบดูว่าไม่ได้คิดไปเอง จึงตั้งกล้องบันทึกภาพไว้ สุดท้ายเขาถึงกับต้องสะพรึงเมื่อมีร่างเงาเคลื่อนที่ขึ้นลงจากห้องใต้หลังคา!
เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของเด็กหอ ใจความว่า ค่ำคืนหนึ่ง เด็กหอคนหนึ่งกลับที่พักมาตอนดึกๆ หลังไปสังสรรค์เมามายกันมา กลับมาเห็นเพื่อนร่วมห้องนอนก็นึกว่าหลับเฉยๆ และทิ้งตัวลงนอนบ้างเหมือนกัน
แต่ตื่นมาตอนเช้าเขาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่าเพื่อนร่วมห้องนั้นโดนเชือดคอตายไปแล้ว แถมบนผนังยังมีข้อความเขียนด้วยเลือดว่า “ดีใจมั้ยที่ไม่ได้เปิดไฟ?” (Aren’t you glad you didn’t turn on the light?)
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***