บทนำ
เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อยเตรียมพร้อมที่จะลาลับขอบฟ้าเพื่อไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง ร่างบางอ้อนแอ้นแต่แท้จริงแล้วกลับมีพละกำลังมากมายด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ดั่งหินผา เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ดังขึ้นปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา มือเรียวเล็กยื่นไปที่โต๊ะหัวเตียงแล้วควานหาที่มาของเสียงหากแต่ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองดูตำแหน่งที่อยู่ของมันโดยตรง
“ฮัลโหล” น้ำเสียงงัวเงียบ่งบอกถึงอารมณ์ของหญิงสาวได้เป็นอย่างดีนัก เธอกดรับสายที่โทรเข้ามาโดยไม่มองที่หน้าจอโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย ความจริงคือเธอไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้นมาได้ต่างหาก ความง่วงมันคลืบคลานเกาะกินร่างกายของเธอไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
[ห้ามบอกฉันเด็ดขาดว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงหกโมงเย็นของวันนี้ แกยังไม่ได้ลุกจากที่นอนน่ะยัยครีม] เสียงสูงที่ไม่ว่าคีตภาหรือครีมได้ยินกี่ครั้งก็ต้องรู้สึกขนลุกทุกครั้งไปดังเข้ามาในหูจนเธอต้องยื่นโทรศัพท์ออกห่างเป็นพัลวัน คีตภาใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ขยี้ดวงตาทั้งสองข้างเบาๆก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างที่หนักอึ้งออกเพื่อมองดูโลกภายนอก
“ใช่ ฉันยังนอนอยู่ มีอะไรหรือแก้ว วันนี้มันวันอาทิตย์นะ” คีตภาตอบกลับปลายสายไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับคนไม่ได้ดื่มน้ำมาทั้งวัน เป็นเพราะเธอนอนหลับสนิททันทีที่กลับจากทำข่าวเมื่อคืน ร่างกายของเธออ่อนล้ามาตลอดสามวันเพราะเฝ้าทำข่าวที่กำลังมาแรงที่สุดในช่วงนี้จนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ณ เวลานี้ ขอบตาทั้งสองข้างของเธอเริ่มเข้าใกล้คำว่าหมีแพนด้าไปทุกทีๆแล้ว
[ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าแกต้องลืมนัดของฉัน วันนี้ฉันนัดแกตอนทุ่มหนึ่ง จำไม่ได้หรือยังไง]
“อ๊ะ จริงด้วย ฉันลืมไปเลย”
[ในเมื่อนึกขึ้นได้ ฉันก็ขอเชิญคุณเพื่อนสุดที่รัก รีบไปอาบน้ำแต่งตัว และออกมายังที่นัดหมายภายในเวลาที่กำหนดไว้ด้วยนะคะ อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดอยู่แล้วคุณคีตภา] กรวรินทร์หรือแก้วย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังต้องเบ้หน้าอย่างขัดใจที่ถูกขัดจังหวะการนิทราอันแสนสุข คีตภาจำใจต้องลุกขึ้นจากที่นอนเพราะไม่อยากผิดนัดเพื่อนรักอีกเป็นครั้งที่สามสิบ ตั้งแต่รู้จักกับกรวรินทร์มาเมื่อตอนขึ้นมัธยมต้น เธอก็มักจะลืมนัดตลอดเวลา หรือไม่ก็จะไปสายจนกรวรินทร์ตรงนั่งแกร่วรอเธออยู่คนเดียวเป็นประจำ
ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาสิบสองปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจนเรียนจบมาเป็นนักข่าวเหมือนกัน กรวรินทร์คือเพื่อนที่เธอรักมากที่สุด เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน แต่กรวรินทร์โชคดีกว่าคีตภาตรงที่ยังมีคุณลุงคุณป้าที่แสนจะจิตใจดีรับไปอุปการะต่อจากคุณพ่อคุณแม่ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ต่างจากเธอที่ถูกพ่อแม่นำไปทิ้งและมีคนจากที่บ้านเด็กกำพร้าไปเจอเข้าจึงรับเธอไปเลี้ยง ส่งเสียให้เธอเรียนจนจบปริญญาตรีตามที่มุ่งหวังไว้ คีตภาจึงถูกอบรมให้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งห้ามอ่อนแอง่ายๆมาโดยตลอด เธอจึงถนัดที่จะยืนหยัดขึ้นมาด้วยสมองและสองมือสองเท้าของตัวเอง มากกว่าจะอาศัยบารมีคนอื่นหรือพึ่งพิงผู้ชายที่มักจะเข้ามาก้อร่อก้อติกกับเธออยู่เป็นประจำ เนื่องด้วยเธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดี เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะทลายกำแพงอันหนาแน่นในหัวใจของเธอได้เลย
“จ้าๆคุณแม่ นางสาวคีตภาคนนี้ขอรับประกันว่าจะไปให้ทันแน่นอนค่ะ” คีตภาตอบกลับน้ำเสียงแอบประชดประชันเล็กน้อยจนปลายสายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูในตัวเพื่อนคนนี้ก่อนจะวางสายไป
คีตภารีบลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ บ้านของเธอเป็นห้องแถวธรรมดาๆที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งและโต๊ะหัวเตียงตัวเล็กๆที่เธอไว้ใช้ตั้งโคมไฟกับของจิปาถะเล็กๆน้อยๆ เลยไปอีกนิดหน่อยก็เป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ทำข่าวส่งให้กับหัวหน้าบรรณาธิการของเธอ มีตู้เสื้อผ้าเล็กๆที่ด้านในนอกจากจะไว้สำหรับใส่เสื้อผ้าแล้วยังเป็นที่เก็บของมีค่าของเธออีกด้วย ของมีค่าที่กล่าวถึงก็คือกล้องสำหรับทำข่าวที่เธอเฝ้าเก็บเงินมาหลายปีเพื่อจะซื้อของที่ดีที่สุดให้กับอาชีพที่เธอรัก นอกจากนี้ก็จะมีห้องน้ำเล็กๆอีกหนึ่งห้องกับห้องครัวที่แสนจะคับแคบ ซึ่งมีแค่หม้อข้าวใบเดียวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตั้งอยู่เพียงสองซอง
คีตภาคือความภูมิใจของบ้านเด็กกำพร้าพาฝัน เธอสามารถสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยดีๆมีชื่อเสียงจนเรียนจบออกมาได้ทำงานอย่างที่ตัวเองหวังไว้ เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่เคยลืมบุญคุณของคุณแม่พอใจที่เป็นคนเก็บเธอมาเลี้ยงดูอย่างดี คอยมอบความรักและอบรมสั่งสอนเธอมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เงินเดือนออก คีตภาจะนำเงินไปให้กับคุณแม่พอใจเพื่อเอาไปเลี้ยงดูน้องๆคนอื่นๆในบ้าน เธอกลายเป็นพี่คนโตของน้องๆทุกคน ความฝันสูงสุดของเธอคือการที่จะได้เห็นน้องๆทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการศึกษาและได้รับการให้เกียรติจากผู้คนในสังคม ไม่โดนดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าไร้ซึ่งพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนเหมือนเธอ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่าง คีตภาก็รีบคว้ากระเป๋าใบโปรดที่กรวรินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญเมื่อตอนที่รู้ผลว่าเธอสามารถสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกับกรวรินทร์ได้ เธอใช้กระเป๋าใบนี้มาตลอดหกปี ฝ้าดูแลและทะนุถนอมอย่างเดียวโดยที่ไม่เคยคิดจะหาซื้อใบอื่นมาใช้เลย ถึงแม้ว่ากรวรินทร์เคยเอ่ยปากจะซื้อใบใหม่ให้ก็ตาม คีตภาวิ่งออกมาที่หน้าปากซอยของห้องแถวที่เธอเช่าอยู่ รีบกระโดดขึ้นคร่อมบนมอเตอร์ไซค์ขาประจำ บอกถึงสถานที่ที่ต้องการจะไปกับคนขับก่อนจะรับหมวกนิรภัยมาสวมเอาไว้
“บิดให้มิดเลยนะพี่ป๊อด ครีมรีบมาก” คีตภาบอกอย่างรีบเร่งมือเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นและปรากฏชื่อของกรวรินทร์ว่าเป็นผู้ที่ติดต่อเข้ามา
“ฮัลโหล ฉันกำลังไปแล้ว อย่าเร่งนักสิ” ปลายสายบ่นกลับมาเล็กน้อยเพราะอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงเวลาที่ได้นัดกันไว้ก่อนจะวางสายไป คีตภาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและตะโกนฝ่าสายลมที่พัดแรงจนผมเผ้าเธอปลิวสยายปรกไปทั่วใบหน้าเพื่อออกคำสั่งกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้งหนึ่ง
“ขอเร็วกว่านี้ได้ไหมพี่ป๊อด”
“ถ้าเร็วกว่านี้คงได้ไปเฝ้ายมบาลกันบ้างล่ะครีมเอ๊ย” คีตภาหน้าเจื่อนลงเมื่อได้รับคำตอบกลับมา เธอชะเง้อคอมองดูเข็มไมล์ก็พบว่าคนขับบิดไปเยอะพอสมควร
อีกไม่ถึงห้าร้อยเมตรก็จะถึงร้านอาหารที่คีตภานัดกับกรวินทร์ไว้ แต่ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ที่เธอนั่งมากำลังจะเลี้ยวเข้าไปยังที่จอดรถหน้าร้าน รถยนต์เปิดประทุนคันหรูสีแดงสดก็ขับเลี้ยวปาดหน้าเข้าไปจนมอเตอร์ไซค์เสียหลักลื่นไถลไปกับถนนส่งผลให้เธอล้มกลิ้งไปบนพื้นซีเมนต์แข็งๆ ร่างบางกระแทกเข้ากับพื้นถนนเต็มๆ โชคดีที่เธอสวมหมวกนิรภัยเอาไว้และตรงจุดนี้ก็ไม่มีรถขับผ่าน ไม่อย่างนั้นเธออาจถูกทับจนแบนติดไปกับล้อรถก็เป็นได้ คีตภานั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นครู่หนึ่งก่อนที่ป๊อดซึ่งไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนักนอกจากแผลถลอกตามตัวเล็กน้อยจะเข้ามาพยุงเธอ
“ไหวไหมครีม เจ็บมากหรือเปล่า” ป๊อดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง คีตภาส่ายหน้าด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น เธอจับมือป๊อดเพื่อยันตัวเองให้ลุกก่อนจะกระเผลกขาไปยังรถยนต์คันหรูที่ดูท่าว่าเจ้าของจะยังไม่รู้ว่าได้ขับรถปาดหน้าคนอื่นมา ใบหน้าของคีตภาเต็มไปด้วยความโกรธและพร้อมจะอาละวาดให้ร้านอาหารพังได้ทุกเมื่อถ้าไม่ได้รับคำขอโทษจากตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวได้ขนาดนี้
“นี่คุณ” คีตภาตรงเข้าไปกระชากตัวชายหนุ่มให้หันกลับมาทางเธอทันทีที่เขาก้าวลงมาจากรถ กลิ่นโคโลญจ์ประดุจดอกไม้จากเมืองหนาวฟุ้งออกจากตัวชายหนุ่มผู้นี้จนเธอชะงักไปชั่วครู่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความฝัน ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาเจ้าเล่ห์ทรงเสน่ห์ของเขาทำให้เธอค้างกลางอากาศเหมือนคนกำลังฝันกลางวัน คีตภาแทบจะลืมเหตุผลที่เธอตรงเข้ามากระชากเขาไปจนหมดสิ้น
“มีอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างมีมารยาท น้ำเสียงนุ่มนวลทุ้มต่ำของเขาปลุกให้คีตภาตื่นมาจากความฝันได้สำเร็จ เธอสะบัดศีรษะของตัวเองเพื่อไล่ความรู้วาบหวามในจิตใจให้ออกไป พยายามรวบรวมสติสัมปัญชัญญะทั้งหมดให้กลับมาอีกครั้ง
“คือ…เอ่อ คือฉัน…อ๋อ ฉันจะมาด่าคุณน่ะ มาด่าคุณ”
“ด่าผม? ด่าผมเรื่องอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงถามอย่างสงสัยระคนแปลกใจ เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นท่าทางประกอบคำถาม
“นี่คุณไม่รู้ตัวจริงๆหรือแกล้งไม่รู้กันแน่ คุณเพิ่งขับรถปาดหน้ามอเตอร์ไซค์ฉันเมื่อกี้นี้เอง ลืมไปแล้วหรือไง”
“ผมเหรอ? ผมเนี่ยนะขับรถปาดหน้ารถคุณ”
“ใช่ นี่ไงหลักฐาน เห็นไหมว่าแขนฉันถลอกเต็มไปหมดเลย” ชายหนุ่มก้มลงมองไปที่แขนของคีตภาเมื่อเธอยื่นแขนที่เต็มไปด้วยแผลถลอกและฟกช้ำให้เขาดู แต่สิ่งที่ชายหนุ่มตั้งใจจะสังเกตจริงๆไม่ใช้แผลที่เกิดจากการกระทำของเขา แต่เป็นผิวอันแสนขาวเนียนและกลิ่นตัวหอมๆของเธอต่างหาก มันส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหลจนเสื้อร้ายอย่างเขาแทบจะอดใจไม่ไหว อยากจะตะครุบลูกแมวตัวน้อยๆตรงหน้าเสียให้ได้
“จริงด้วย ผมเป็นคนทำจริงๆด้วย ต้องขอโทษจริงๆนะครับ พอดีผมรีบมากไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาที่แฝงความกรุ้มกริ่มของเขาคีตภาพอจะดูออกอยู่บ้าง เธอรีบเขยิบถอยห่างจากเขา ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ทำจากหนังจระเข้สีดำสนิทอย่างดีขึ้นมา เขาหยิบบัตรสีขาวใบหนึ่งส่งให้กับเธอ
“นี่เป็นนามบัตรของผมครับ ผมชื่อเกียรติกร เรียกผมว่ากรเฉยๆก็ได้ ถ้าคุณต้องการค่าเสียหายหรืออยากให้ผมช่วยเหลืออะไรก็ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ พอดีวันนี้ผมมีธุระต้องรีบไป น่าเสียดายจังเลยนะครับที่อดทำความรู้จักกับผู้หญิงน่ารักๆแบบคุณ” คำพูดอย่างตรงไปตรงมาของเกียรติกรทำให้คีตภาเบ้หน้าอย่างขัดใจ พวกผู้ชายเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเขาคือของแสลงสำหรับเธอ คีตภาเอียงตัวไปอีกทางเพราะไม่อยากจะรับนามบัตรจากเขา เธอไม่ต้องการรู้จักหรือสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนนี้เพิ่ม พลางคิดในใจว่าอยากจะไปให้พ้นๆจากตรงนี้โดยเร็ว
“รับไปเถอะครับ ผมจะรอการติดต่อกลับจากคุณนะ” เกียรติกรยัดนามบัตรใส่มือเธอพร้อมกับส่งยิ้มหวานละมุนแบบที่หญิงสาวคนใดเห็นเป็นต้องสยบทุกราย แต่ไม่ใช่กับเธอคนนี้ คีตภาอ้าปากเพื่อจะบอกปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มกลับเดินตรงรี่เข้าไปในร้านอาหารโดยไม่รอให้เธอได้พูดจาอะไร คีตภากำนามบัตรไว้แน่นมือ เธอหยิบแบงก์ร้อยในกระเป๋าออกมาส่งให้กับป๊อดที่ยังยืนเหวอไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“ไม่ต้องทอนนะพี่ป๊อด ครีมไปก่อนล่ะ มีเรื่องต้องชำระ” คีตภาบอกป๊อดน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยโทสะ เธอขยำนามบัตรของเกียรติกรจนกลายเป็นก้อนกลมๆก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในร้าน โดยที่เธอลืมไปเสียสนิทว่านัดกับกรวรินทร์เอาไว้ และตอนนี้ก็เลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วด้วย ดูท่าว่าเธอจะต้องโดนเพื่อนรักเอ็ดตะโรชุดใหญ่ข้อหาผิดเวลานัดเป็นแน่
สาปจันทรา บทนำ
เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อยเตรียมพร้อมที่จะลาลับขอบฟ้าเพื่อไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง ร่างบางอ้อนแอ้นแต่แท้จริงแล้วกลับมีพละกำลังมากมายด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ดั่งหินผา เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ดังขึ้นปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา มือเรียวเล็กยื่นไปที่โต๊ะหัวเตียงแล้วควานหาที่มาของเสียงหากแต่ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองดูตำแหน่งที่อยู่ของมันโดยตรง
“ฮัลโหล” น้ำเสียงงัวเงียบ่งบอกถึงอารมณ์ของหญิงสาวได้เป็นอย่างดีนัก เธอกดรับสายที่โทรเข้ามาโดยไม่มองที่หน้าจอโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย ความจริงคือเธอไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้นมาได้ต่างหาก ความง่วงมันคลืบคลานเกาะกินร่างกายของเธอไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
[ห้ามบอกฉันเด็ดขาดว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงหกโมงเย็นของวันนี้ แกยังไม่ได้ลุกจากที่นอนน่ะยัยครีม] เสียงสูงที่ไม่ว่าคีตภาหรือครีมได้ยินกี่ครั้งก็ต้องรู้สึกขนลุกทุกครั้งไปดังเข้ามาในหูจนเธอต้องยื่นโทรศัพท์ออกห่างเป็นพัลวัน คีตภาใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ขยี้ดวงตาทั้งสองข้างเบาๆก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างที่หนักอึ้งออกเพื่อมองดูโลกภายนอก
“ใช่ ฉันยังนอนอยู่ มีอะไรหรือแก้ว วันนี้มันวันอาทิตย์นะ” คีตภาตอบกลับปลายสายไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับคนไม่ได้ดื่มน้ำมาทั้งวัน เป็นเพราะเธอนอนหลับสนิททันทีที่กลับจากทำข่าวเมื่อคืน ร่างกายของเธออ่อนล้ามาตลอดสามวันเพราะเฝ้าทำข่าวที่กำลังมาแรงที่สุดในช่วงนี้จนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ณ เวลานี้ ขอบตาทั้งสองข้างของเธอเริ่มเข้าใกล้คำว่าหมีแพนด้าไปทุกทีๆแล้ว
[ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าแกต้องลืมนัดของฉัน วันนี้ฉันนัดแกตอนทุ่มหนึ่ง จำไม่ได้หรือยังไง]
“อ๊ะ จริงด้วย ฉันลืมไปเลย”
[ในเมื่อนึกขึ้นได้ ฉันก็ขอเชิญคุณเพื่อนสุดที่รัก รีบไปอาบน้ำแต่งตัว และออกมายังที่นัดหมายภายในเวลาที่กำหนดไว้ด้วยนะคะ อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดอยู่แล้วคุณคีตภา] กรวรินทร์หรือแก้วย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังต้องเบ้หน้าอย่างขัดใจที่ถูกขัดจังหวะการนิทราอันแสนสุข คีตภาจำใจต้องลุกขึ้นจากที่นอนเพราะไม่อยากผิดนัดเพื่อนรักอีกเป็นครั้งที่สามสิบ ตั้งแต่รู้จักกับกรวรินทร์มาเมื่อตอนขึ้นมัธยมต้น เธอก็มักจะลืมนัดตลอดเวลา หรือไม่ก็จะไปสายจนกรวรินทร์ตรงนั่งแกร่วรอเธออยู่คนเดียวเป็นประจำ
ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาสิบสองปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจนเรียนจบมาเป็นนักข่าวเหมือนกัน กรวรินทร์คือเพื่อนที่เธอรักมากที่สุด เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน แต่กรวรินทร์โชคดีกว่าคีตภาตรงที่ยังมีคุณลุงคุณป้าที่แสนจะจิตใจดีรับไปอุปการะต่อจากคุณพ่อคุณแม่ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ต่างจากเธอที่ถูกพ่อแม่นำไปทิ้งและมีคนจากที่บ้านเด็กกำพร้าไปเจอเข้าจึงรับเธอไปเลี้ยง ส่งเสียให้เธอเรียนจนจบปริญญาตรีตามที่มุ่งหวังไว้ คีตภาจึงถูกอบรมให้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งห้ามอ่อนแอง่ายๆมาโดยตลอด เธอจึงถนัดที่จะยืนหยัดขึ้นมาด้วยสมองและสองมือสองเท้าของตัวเอง มากกว่าจะอาศัยบารมีคนอื่นหรือพึ่งพิงผู้ชายที่มักจะเข้ามาก้อร่อก้อติกกับเธออยู่เป็นประจำ เนื่องด้วยเธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดี เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะทลายกำแพงอันหนาแน่นในหัวใจของเธอได้เลย
“จ้าๆคุณแม่ นางสาวคีตภาคนนี้ขอรับประกันว่าจะไปให้ทันแน่นอนค่ะ” คีตภาตอบกลับน้ำเสียงแอบประชดประชันเล็กน้อยจนปลายสายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูในตัวเพื่อนคนนี้ก่อนจะวางสายไป
คีตภารีบลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ บ้านของเธอเป็นห้องแถวธรรมดาๆที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งและโต๊ะหัวเตียงตัวเล็กๆที่เธอไว้ใช้ตั้งโคมไฟกับของจิปาถะเล็กๆน้อยๆ เลยไปอีกนิดหน่อยก็เป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ทำข่าวส่งให้กับหัวหน้าบรรณาธิการของเธอ มีตู้เสื้อผ้าเล็กๆที่ด้านในนอกจากจะไว้สำหรับใส่เสื้อผ้าแล้วยังเป็นที่เก็บของมีค่าของเธออีกด้วย ของมีค่าที่กล่าวถึงก็คือกล้องสำหรับทำข่าวที่เธอเฝ้าเก็บเงินมาหลายปีเพื่อจะซื้อของที่ดีที่สุดให้กับอาชีพที่เธอรัก นอกจากนี้ก็จะมีห้องน้ำเล็กๆอีกหนึ่งห้องกับห้องครัวที่แสนจะคับแคบ ซึ่งมีแค่หม้อข้าวใบเดียวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตั้งอยู่เพียงสองซอง
คีตภาคือความภูมิใจของบ้านเด็กกำพร้าพาฝัน เธอสามารถสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยดีๆมีชื่อเสียงจนเรียนจบออกมาได้ทำงานอย่างที่ตัวเองหวังไว้ เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่เคยลืมบุญคุณของคุณแม่พอใจที่เป็นคนเก็บเธอมาเลี้ยงดูอย่างดี คอยมอบความรักและอบรมสั่งสอนเธอมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เงินเดือนออก คีตภาจะนำเงินไปให้กับคุณแม่พอใจเพื่อเอาไปเลี้ยงดูน้องๆคนอื่นๆในบ้าน เธอกลายเป็นพี่คนโตของน้องๆทุกคน ความฝันสูงสุดของเธอคือการที่จะได้เห็นน้องๆทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการศึกษาและได้รับการให้เกียรติจากผู้คนในสังคม ไม่โดนดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าไร้ซึ่งพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนเหมือนเธอ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่าง คีตภาก็รีบคว้ากระเป๋าใบโปรดที่กรวรินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญเมื่อตอนที่รู้ผลว่าเธอสามารถสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกับกรวรินทร์ได้ เธอใช้กระเป๋าใบนี้มาตลอดหกปี ฝ้าดูแลและทะนุถนอมอย่างเดียวโดยที่ไม่เคยคิดจะหาซื้อใบอื่นมาใช้เลย ถึงแม้ว่ากรวรินทร์เคยเอ่ยปากจะซื้อใบใหม่ให้ก็ตาม คีตภาวิ่งออกมาที่หน้าปากซอยของห้องแถวที่เธอเช่าอยู่ รีบกระโดดขึ้นคร่อมบนมอเตอร์ไซค์ขาประจำ บอกถึงสถานที่ที่ต้องการจะไปกับคนขับก่อนจะรับหมวกนิรภัยมาสวมเอาไว้
“บิดให้มิดเลยนะพี่ป๊อด ครีมรีบมาก” คีตภาบอกอย่างรีบเร่งมือเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นและปรากฏชื่อของกรวรินทร์ว่าเป็นผู้ที่ติดต่อเข้ามา
“ฮัลโหล ฉันกำลังไปแล้ว อย่าเร่งนักสิ” ปลายสายบ่นกลับมาเล็กน้อยเพราะอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงเวลาที่ได้นัดกันไว้ก่อนจะวางสายไป คีตภาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและตะโกนฝ่าสายลมที่พัดแรงจนผมเผ้าเธอปลิวสยายปรกไปทั่วใบหน้าเพื่อออกคำสั่งกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้งหนึ่ง
“ขอเร็วกว่านี้ได้ไหมพี่ป๊อด”
“ถ้าเร็วกว่านี้คงได้ไปเฝ้ายมบาลกันบ้างล่ะครีมเอ๊ย” คีตภาหน้าเจื่อนลงเมื่อได้รับคำตอบกลับมา เธอชะเง้อคอมองดูเข็มไมล์ก็พบว่าคนขับบิดไปเยอะพอสมควร
อีกไม่ถึงห้าร้อยเมตรก็จะถึงร้านอาหารที่คีตภานัดกับกรวินทร์ไว้ แต่ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ที่เธอนั่งมากำลังจะเลี้ยวเข้าไปยังที่จอดรถหน้าร้าน รถยนต์เปิดประทุนคันหรูสีแดงสดก็ขับเลี้ยวปาดหน้าเข้าไปจนมอเตอร์ไซค์เสียหลักลื่นไถลไปกับถนนส่งผลให้เธอล้มกลิ้งไปบนพื้นซีเมนต์แข็งๆ ร่างบางกระแทกเข้ากับพื้นถนนเต็มๆ โชคดีที่เธอสวมหมวกนิรภัยเอาไว้และตรงจุดนี้ก็ไม่มีรถขับผ่าน ไม่อย่างนั้นเธออาจถูกทับจนแบนติดไปกับล้อรถก็เป็นได้ คีตภานั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นครู่หนึ่งก่อนที่ป๊อดซึ่งไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนักนอกจากแผลถลอกตามตัวเล็กน้อยจะเข้ามาพยุงเธอ
“ไหวไหมครีม เจ็บมากหรือเปล่า” ป๊อดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง คีตภาส่ายหน้าด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น เธอจับมือป๊อดเพื่อยันตัวเองให้ลุกก่อนจะกระเผลกขาไปยังรถยนต์คันหรูที่ดูท่าว่าเจ้าของจะยังไม่รู้ว่าได้ขับรถปาดหน้าคนอื่นมา ใบหน้าของคีตภาเต็มไปด้วยความโกรธและพร้อมจะอาละวาดให้ร้านอาหารพังได้ทุกเมื่อถ้าไม่ได้รับคำขอโทษจากตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวได้ขนาดนี้
“นี่คุณ” คีตภาตรงเข้าไปกระชากตัวชายหนุ่มให้หันกลับมาทางเธอทันทีที่เขาก้าวลงมาจากรถ กลิ่นโคโลญจ์ประดุจดอกไม้จากเมืองหนาวฟุ้งออกจากตัวชายหนุ่มผู้นี้จนเธอชะงักไปชั่วครู่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความฝัน ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาเจ้าเล่ห์ทรงเสน่ห์ของเขาทำให้เธอค้างกลางอากาศเหมือนคนกำลังฝันกลางวัน คีตภาแทบจะลืมเหตุผลที่เธอตรงเข้ามากระชากเขาไปจนหมดสิ้น
“มีอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างมีมารยาท น้ำเสียงนุ่มนวลทุ้มต่ำของเขาปลุกให้คีตภาตื่นมาจากความฝันได้สำเร็จ เธอสะบัดศีรษะของตัวเองเพื่อไล่ความรู้วาบหวามในจิตใจให้ออกไป พยายามรวบรวมสติสัมปัญชัญญะทั้งหมดให้กลับมาอีกครั้ง
“คือ…เอ่อ คือฉัน…อ๋อ ฉันจะมาด่าคุณน่ะ มาด่าคุณ”
“ด่าผม? ด่าผมเรื่องอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงถามอย่างสงสัยระคนแปลกใจ เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นท่าทางประกอบคำถาม
“นี่คุณไม่รู้ตัวจริงๆหรือแกล้งไม่รู้กันแน่ คุณเพิ่งขับรถปาดหน้ามอเตอร์ไซค์ฉันเมื่อกี้นี้เอง ลืมไปแล้วหรือไง”
“ผมเหรอ? ผมเนี่ยนะขับรถปาดหน้ารถคุณ”
“ใช่ นี่ไงหลักฐาน เห็นไหมว่าแขนฉันถลอกเต็มไปหมดเลย” ชายหนุ่มก้มลงมองไปที่แขนของคีตภาเมื่อเธอยื่นแขนที่เต็มไปด้วยแผลถลอกและฟกช้ำให้เขาดู แต่สิ่งที่ชายหนุ่มตั้งใจจะสังเกตจริงๆไม่ใช้แผลที่เกิดจากการกระทำของเขา แต่เป็นผิวอันแสนขาวเนียนและกลิ่นตัวหอมๆของเธอต่างหาก มันส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหลจนเสื้อร้ายอย่างเขาแทบจะอดใจไม่ไหว อยากจะตะครุบลูกแมวตัวน้อยๆตรงหน้าเสียให้ได้
“จริงด้วย ผมเป็นคนทำจริงๆด้วย ต้องขอโทษจริงๆนะครับ พอดีผมรีบมากไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาที่แฝงความกรุ้มกริ่มของเขาคีตภาพอจะดูออกอยู่บ้าง เธอรีบเขยิบถอยห่างจากเขา ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ทำจากหนังจระเข้สีดำสนิทอย่างดีขึ้นมา เขาหยิบบัตรสีขาวใบหนึ่งส่งให้กับเธอ
“นี่เป็นนามบัตรของผมครับ ผมชื่อเกียรติกร เรียกผมว่ากรเฉยๆก็ได้ ถ้าคุณต้องการค่าเสียหายหรืออยากให้ผมช่วยเหลืออะไรก็ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ พอดีวันนี้ผมมีธุระต้องรีบไป น่าเสียดายจังเลยนะครับที่อดทำความรู้จักกับผู้หญิงน่ารักๆแบบคุณ” คำพูดอย่างตรงไปตรงมาของเกียรติกรทำให้คีตภาเบ้หน้าอย่างขัดใจ พวกผู้ชายเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเขาคือของแสลงสำหรับเธอ คีตภาเอียงตัวไปอีกทางเพราะไม่อยากจะรับนามบัตรจากเขา เธอไม่ต้องการรู้จักหรือสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนนี้เพิ่ม พลางคิดในใจว่าอยากจะไปให้พ้นๆจากตรงนี้โดยเร็ว
“รับไปเถอะครับ ผมจะรอการติดต่อกลับจากคุณนะ” เกียรติกรยัดนามบัตรใส่มือเธอพร้อมกับส่งยิ้มหวานละมุนแบบที่หญิงสาวคนใดเห็นเป็นต้องสยบทุกราย แต่ไม่ใช่กับเธอคนนี้ คีตภาอ้าปากเพื่อจะบอกปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มกลับเดินตรงรี่เข้าไปในร้านอาหารโดยไม่รอให้เธอได้พูดจาอะไร คีตภากำนามบัตรไว้แน่นมือ เธอหยิบแบงก์ร้อยในกระเป๋าออกมาส่งให้กับป๊อดที่ยังยืนเหวอไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“ไม่ต้องทอนนะพี่ป๊อด ครีมไปก่อนล่ะ มีเรื่องต้องชำระ” คีตภาบอกป๊อดน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยโทสะ เธอขยำนามบัตรของเกียรติกรจนกลายเป็นก้อนกลมๆก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในร้าน โดยที่เธอลืมไปเสียสนิทว่านัดกับกรวรินทร์เอาไว้ และตอนนี้ก็เลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วด้วย ดูท่าว่าเธอจะต้องโดนเพื่อนรักเอ็ดตะโรชุดใหญ่ข้อหาผิดเวลานัดเป็นแน่