สาปจันทรา บทนำ

กระทู้สนทนา
บทนำ


           เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อยเตรียมพร้อมที่จะลาลับขอบฟ้าเพื่อไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง  ร่างบางอ้อนแอ้นแต่แท้จริงแล้วกลับมีพละกำลังมากมายด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ดั่งหินผา  เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ดังขึ้นปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา  มือเรียวเล็กยื่นไปที่โต๊ะหัวเตียงแล้วควานหาที่มาของเสียงหากแต่ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองดูตำแหน่งที่อยู่ของมันโดยตรง
          “ฮัลโหล”  น้ำเสียงงัวเงียบ่งบอกถึงอารมณ์ของหญิงสาวได้เป็นอย่างดีนัก  เธอกดรับสายที่โทรเข้ามาโดยไม่มองที่หน้าจอโทรศัพท์เลยแม้แต่น้อย  ความจริงคือเธอไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองให้ลืมตาขึ้นมาได้ต่างหาก  ความง่วงมันคลืบคลานเกาะกินร่างกายของเธอไปจนหมดสิ้นเสียแล้ว
          [ห้ามบอกฉันเด็ดขาดว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงหกโมงเย็นของวันนี้  แกยังไม่ได้ลุกจากที่นอนน่ะยัยครีม]  เสียงสูงที่ไม่ว่าคีตภาหรือครีมได้ยินกี่ครั้งก็ต้องรู้สึกขนลุกทุกครั้งไปดังเข้ามาในหูจนเธอต้องยื่นโทรศัพท์ออกห่างเป็นพัลวัน  คีตภาใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ขยี้ดวงตาทั้งสองข้างเบาๆก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาทั้งสองข้างที่หนักอึ้งออกเพื่อมองดูโลกภายนอก
         “ใช่  ฉันยังนอนอยู่  มีอะไรหรือแก้ว  วันนี้มันวันอาทิตย์นะ”  คีตภาตอบกลับปลายสายไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าราวกับคนไม่ได้ดื่มน้ำมาทั้งวัน  เป็นเพราะเธอนอนหลับสนิททันทีที่กลับจากทำข่าวเมื่อคืน  ร่างกายของเธออ่อนล้ามาตลอดสามวันเพราะเฝ้าทำข่าวที่กำลังมาแรงที่สุดในช่วงนี้จนแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน  ณ เวลานี้  ขอบตาทั้งสองข้างของเธอเริ่มเข้าใกล้คำว่าหมีแพนด้าไปทุกทีๆแล้ว
         [ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าแกต้องลืมนัดของฉัน  วันนี้ฉันนัดแกตอนทุ่มหนึ่ง  จำไม่ได้หรือยังไง]
         “อ๊ะ  จริงด้วย  ฉันลืมไปเลย”
         [ในเมื่อนึกขึ้นได้  ฉันก็ขอเชิญคุณเพื่อนสุดที่รัก  รีบไปอาบน้ำแต่งตัว  และออกมายังที่นัดหมายภายในเวลาที่กำหนดไว้ด้วยนะคะ  อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลานัดอยู่แล้วคุณคีตภา]  กรวรินทร์หรือแก้วย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังต้องเบ้หน้าอย่างขัดใจที่ถูกขัดจังหวะการนิทราอันแสนสุข  คีตภาจำใจต้องลุกขึ้นจากที่นอนเพราะไม่อยากผิดนัดเพื่อนรักอีกเป็นครั้งที่สามสิบ  ตั้งแต่รู้จักกับกรวรินทร์มาเมื่อตอนขึ้นมัธยมต้น  เธอก็มักจะลืมนัดตลอดเวลา  หรือไม่ก็จะไปสายจนกรวรินทร์ตรงนั่งแกร่วรอเธออยู่คนเดียวเป็นประจำ  
ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาสิบสองปีแล้ว  ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นจนเรียนจบมาเป็นนักข่าวเหมือนกัน  กรวรินทร์คือเพื่อนที่เธอรักมากที่สุด  เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน  แต่กรวรินทร์โชคดีกว่าคีตภาตรงที่ยังมีคุณลุงคุณป้าที่แสนจะจิตใจดีรับไปอุปการะต่อจากคุณพ่อคุณแม่ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ  ต่างจากเธอที่ถูกพ่อแม่นำไปทิ้งและมีคนจากที่บ้านเด็กกำพร้าไปเจอเข้าจึงรับเธอไปเลี้ยง  ส่งเสียให้เธอเรียนจนจบปริญญาตรีตามที่มุ่งหวังไว้  คีตภาจึงถูกอบรมให้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งห้ามอ่อนแอง่ายๆมาโดยตลอด  เธอจึงถนัดที่จะยืนหยัดขึ้นมาด้วยสมองและสองมือสองเท้าของตัวเอง  มากกว่าจะอาศัยบารมีคนอื่นหรือพึ่งพิงผู้ชายที่มักจะเข้ามาก้อร่อก้อติกกับเธออยู่เป็นประจำ  เนื่องด้วยเธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดี  เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหลายคน  แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะทลายกำแพงอันหนาแน่นในหัวใจของเธอได้เลย
           “จ้าๆคุณแม่  นางสาวคีตภาคนนี้ขอรับประกันว่าจะไปให้ทันแน่นอนค่ะ”  คีตภาตอบกลับน้ำเสียงแอบประชดประชันเล็กน้อยจนปลายสายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูในตัวเพื่อนคนนี้ก่อนจะวางสายไป
           คีตภารีบลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ  บ้านของเธอเป็นห้องแถวธรรมดาๆที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก  เมื่อเปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งและโต๊ะหัวเตียงตัวเล็กๆที่เธอไว้ใช้ตั้งโคมไฟกับของจิปาถะเล็กๆน้อยๆ  เลยไปอีกนิดหน่อยก็เป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ทำข่าวส่งให้กับหัวหน้าบรรณาธิการของเธอ  มีตู้เสื้อผ้าเล็กๆที่ด้านในนอกจากจะไว้สำหรับใส่เสื้อผ้าแล้วยังเป็นที่เก็บของมีค่าของเธออีกด้วย  ของมีค่าที่กล่าวถึงก็คือกล้องสำหรับทำข่าวที่เธอเฝ้าเก็บเงินมาหลายปีเพื่อจะซื้อของที่ดีที่สุดให้กับอาชีพที่เธอรัก  นอกจากนี้ก็จะมีห้องน้ำเล็กๆอีกหนึ่งห้องกับห้องครัวที่แสนจะคับแคบ  ซึ่งมีแค่หม้อข้าวใบเดียวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตั้งอยู่เพียงสองซอง
            คีตภาคือความภูมิใจของบ้านเด็กกำพร้าพาฝัน  เธอสามารถสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยดีๆมีชื่อเสียงจนเรียนจบออกมาได้ทำงานอย่างที่ตัวเองหวังไว้  เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่เคยลืมบุญคุณของคุณแม่พอใจที่เป็นคนเก็บเธอมาเลี้ยงดูอย่างดี  คอยมอบความรักและอบรมสั่งสอนเธอมาโดยตลอด  ทุกครั้งที่เงินเดือนออก  คีตภาจะนำเงินไปให้กับคุณแม่พอใจเพื่อเอาไปเลี้ยงดูน้องๆคนอื่นๆในบ้าน  เธอกลายเป็นพี่คนโตของน้องๆทุกคน  ความฝันสูงสุดของเธอคือการที่จะได้เห็นน้องๆทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  ได้รับการศึกษาและได้รับการให้เกียรติจากผู้คนในสังคม  ไม่โดนดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าไร้ซึ่งพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนเหมือนเธอ

             หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่าง  คีตภาก็รีบคว้ากระเป๋าใบโปรดที่กรวรินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญเมื่อตอนที่รู้ผลว่าเธอสามารถสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกับกรวรินทร์ได้  เธอใช้กระเป๋าใบนี้มาตลอดหกปี  ฝ้าดูแลและทะนุถนอมอย่างเดียวโดยที่ไม่เคยคิดจะหาซื้อใบอื่นมาใช้เลย  ถึงแม้ว่ากรวรินทร์เคยเอ่ยปากจะซื้อใบใหม่ให้ก็ตาม  คีตภาวิ่งออกมาที่หน้าปากซอยของห้องแถวที่เธอเช่าอยู่  รีบกระโดดขึ้นคร่อมบนมอเตอร์ไซค์ขาประจำ  บอกถึงสถานที่ที่ต้องการจะไปกับคนขับก่อนจะรับหมวกนิรภัยมาสวมเอาไว้
            “บิดให้มิดเลยนะพี่ป๊อด  ครีมรีบมาก”  คีตภาบอกอย่างรีบเร่งมือเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นและปรากฏชื่อของกรวรินทร์ว่าเป็นผู้ที่ติดต่อเข้ามา
            “ฮัลโหล  ฉันกำลังไปแล้ว  อย่าเร่งนักสิ”  ปลายสายบ่นกลับมาเล็กน้อยเพราะอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะถึงเวลาที่ได้นัดกันไว้ก่อนจะวางสายไป  คีตภาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและตะโกนฝ่าสายลมที่พัดแรงจนผมเผ้าเธอปลิวสยายปรกไปทั่วใบหน้าเพื่อออกคำสั่งกับคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้งหนึ่ง
            “ขอเร็วกว่านี้ได้ไหมพี่ป๊อด”
            “ถ้าเร็วกว่านี้คงได้ไปเฝ้ายมบาลกันบ้างล่ะครีมเอ๊ย”  คีตภาหน้าเจื่อนลงเมื่อได้รับคำตอบกลับมา  เธอชะเง้อคอมองดูเข็มไมล์ก็พบว่าคนขับบิดไปเยอะพอสมควร  
            อีกไม่ถึงห้าร้อยเมตรก็จะถึงร้านอาหารที่คีตภานัดกับกรวินทร์ไว้  แต่ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ที่เธอนั่งมากำลังจะเลี้ยวเข้าไปยังที่จอดรถหน้าร้าน  รถยนต์เปิดประทุนคันหรูสีแดงสดก็ขับเลี้ยวปาดหน้าเข้าไปจนมอเตอร์ไซค์เสียหลักลื่นไถลไปกับถนนส่งผลให้เธอล้มกลิ้งไปบนพื้นซีเมนต์แข็งๆ  ร่างบางกระแทกเข้ากับพื้นถนนเต็มๆ  โชคดีที่เธอสวมหมวกนิรภัยเอาไว้และตรงจุดนี้ก็ไม่มีรถขับผ่าน  ไม่อย่างนั้นเธออาจถูกทับจนแบนติดไปกับล้อรถก็เป็นได้  คีตภานั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นครู่หนึ่งก่อนที่ป๊อดซึ่งไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนักนอกจากแผลถลอกตามตัวเล็กน้อยจะเข้ามาพยุงเธอ
           “ไหวไหมครีม  เจ็บมากหรือเปล่า”  ป๊อดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง  คีตภาส่ายหน้าด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น  เธอจับมือป๊อดเพื่อยันตัวเองให้ลุกก่อนจะกระเผลกขาไปยังรถยนต์คันหรูที่ดูท่าว่าเจ้าของจะยังไม่รู้ว่าได้ขับรถปาดหน้าคนอื่นมา  ใบหน้าของคีตภาเต็มไปด้วยความโกรธและพร้อมจะอาละวาดให้ร้านอาหารพังได้ทุกเมื่อถ้าไม่ได้รับคำขอโทษจากตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัวได้ขนาดนี้
           “นี่คุณ”  คีตภาตรงเข้าไปกระชากตัวชายหนุ่มให้หันกลับมาทางเธอทันทีที่เขาก้าวลงมาจากรถ  กลิ่นโคโลญจ์ประดุจดอกไม้จากเมืองหนาวฟุ้งออกจากตัวชายหนุ่มผู้นี้จนเธอชะงักไปชั่วครู่ราวกับตกอยู่ในภวังค์ของความฝัน  ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาเจ้าเล่ห์ทรงเสน่ห์ของเขาทำให้เธอค้างกลางอากาศเหมือนคนกำลังฝันกลางวัน  คีตภาแทบจะลืมเหตุผลที่เธอตรงเข้ามากระชากเขาไปจนหมดสิ้น
           “มีอะไรหรือครับ”  ชายหนุ่มถามอย่างมีมารยาท  น้ำเสียงนุ่มนวลทุ้มต่ำของเขาปลุกให้คีตภาตื่นมาจากความฝันได้สำเร็จ  เธอสะบัดศีรษะของตัวเองเพื่อไล่ความรู้วาบหวามในจิตใจให้ออกไป  พยายามรวบรวมสติสัมปัญชัญญะทั้งหมดให้กลับมาอีกครั้ง
           “คือ…เอ่อ  คือฉัน…อ๋อ  ฉันจะมาด่าคุณน่ะ  มาด่าคุณ”
           “ด่าผม?  ด่าผมเรื่องอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มส่งเสียงถามอย่างสงสัยระคนแปลกใจ  เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นท่าทางประกอบคำถาม
           “นี่คุณไม่รู้ตัวจริงๆหรือแกล้งไม่รู้กันแน่  คุณเพิ่งขับรถปาดหน้ามอเตอร์ไซค์ฉันเมื่อกี้นี้เอง  ลืมไปแล้วหรือไง”
           “ผมเหรอ?  ผมเนี่ยนะขับรถปาดหน้ารถคุณ”
           “ใช่  นี่ไงหลักฐาน  เห็นไหมว่าแขนฉันถลอกเต็มไปหมดเลย”  ชายหนุ่มก้มลงมองไปที่แขนของคีตภาเมื่อเธอยื่นแขนที่เต็มไปด้วยแผลถลอกและฟกช้ำให้เขาดู  แต่สิ่งที่ชายหนุ่มตั้งใจจะสังเกตจริงๆไม่ใช้แผลที่เกิดจากการกระทำของเขา  แต่เป็นผิวอันแสนขาวเนียนและกลิ่นตัวหอมๆของเธอต่างหาก  มันส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหลจนเสื้อร้ายอย่างเขาแทบจะอดใจไม่ไหว  อยากจะตะครุบลูกแมวตัวน้อยๆตรงหน้าเสียให้ได้
            “จริงด้วย  ผมเป็นคนทำจริงๆด้วย  ต้องขอโทษจริงๆนะครับ  พอดีผมรีบมากไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง”  ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์  นัยน์ตาที่แฝงความกรุ้มกริ่มของเขาคีตภาพอจะดูออกอยู่บ้าง  เธอรีบเขยิบถอยห่างจากเขา  ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ทำจากหนังจระเข้สีดำสนิทอย่างดีขึ้นมา  เขาหยิบบัตรสีขาวใบหนึ่งส่งให้กับเธอ
            “นี่เป็นนามบัตรของผมครับ  ผมชื่อเกียรติกร  เรียกผมว่ากรเฉยๆก็ได้  ถ้าคุณต้องการค่าเสียหายหรืออยากให้ผมช่วยเหลืออะไรก็ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ  พอดีวันนี้ผมมีธุระต้องรีบไป  น่าเสียดายจังเลยนะครับที่อดทำความรู้จักกับผู้หญิงน่ารักๆแบบคุณ”  คำพูดอย่างตรงไปตรงมาของเกียรติกรทำให้คีตภาเบ้หน้าอย่างขัดใจ  พวกผู้ชายเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเขาคือของแสลงสำหรับเธอ  คีตภาเอียงตัวไปอีกทางเพราะไม่อยากจะรับนามบัตรจากเขา  เธอไม่ต้องการรู้จักหรือสานสัมพันธ์กับชายหนุ่มคนนี้เพิ่ม  พลางคิดในใจว่าอยากจะไปให้พ้นๆจากตรงนี้โดยเร็ว
             “รับไปเถอะครับ  ผมจะรอการติดต่อกลับจากคุณนะ”  เกียรติกรยัดนามบัตรใส่มือเธอพร้อมกับส่งยิ้มหวานละมุนแบบที่หญิงสาวคนใดเห็นเป็นต้องสยบทุกราย  แต่ไม่ใช่กับเธอคนนี้  คีตภาอ้าปากเพื่อจะบอกปฏิเสธ  แต่ชายหนุ่มกลับเดินตรงรี่เข้าไปในร้านอาหารโดยไม่รอให้เธอได้พูดจาอะไร  คีตภากำนามบัตรไว้แน่นมือ  เธอหยิบแบงก์ร้อยในกระเป๋าออกมาส่งให้กับป๊อดที่ยังยืนเหวอไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
             “ไม่ต้องทอนนะพี่ป๊อด  ครีมไปก่อนล่ะ  มีเรื่องต้องชำระ”  คีตภาบอกป๊อดน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวและเต็มไปด้วยโทสะ  เธอขยำนามบัตรของเกียรติกรจนกลายเป็นก้อนกลมๆก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในร้าน  โดยที่เธอลืมไปเสียสนิทว่านัดกับกรวรินทร์เอาไว้  และตอนนี้ก็เลยเวลานัดมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วด้วย ดูท่าว่าเธอจะต้องโดนเพื่อนรักเอ็ดตะโรชุดใหญ่ข้อหาผิดเวลานัดเป็นแน่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่