เมื่อปฏิจสมุทปบาทเป็นธรรมที่ไม่พึงกล่าวถึง เราหรือใครหรือผู้ใด จึงเป็นธรรมที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัยได้ทั้งรู้สึกหรือไม่รู้สึกตัวนั้นเอง
จากพระไตรปิฏกเล่มที่ 16
---
๕. อวิชชาปัจจยสูตรที่ ๑
...
...
[๑๓๑] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภพเป็นไฉนและภพนี้เป็น
ของใคร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก ดูกรภิกษุผู้ใดพึงกล่าวว่า ภพเป็นไฉน
และภพนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า ภพเป็นอย่างอื่น และภพนี้เป็นของผู้อื่น คำทั้งสองของ
ผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้นความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง
สรีระอย่างหนึ่ง ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรม
โดยสายกลาง ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ... เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ... เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญ
ญาณ ... ฯ
[๑๓๒] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สังขารเป็นไฉนและสังขาร
นี้เป็นของใคร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก ดูกรภิกษุ ผู้ใดพึงกล่าวว่า
สังขารเป็นไฉน และสังขารนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า สังขารเป็นอย่างอื่น และสังขาร
นี้เป็นของผู้อื่น คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น
ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ
...
---
และเรื่องการรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกต้อวก้าวสู่ครรภ์ ตามคำของพระสารีบุตร ที่กล่าวธรรมของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 11 ดังนี้
ว่าด้วยความเลื่อมใสยิ่งในพระผู้มีพระภาค
...
...
ว่าด้วยการก้าวลงสู่ครรภ์ และวิธีแห่งการดักใจคน
[๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา
ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง เดียว แต่ไม่
รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการ ก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก ตัวอยู่ในครรภ์
มารดา แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๓ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ใน
ครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๔ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์ ฯ
---
อธิบาย >>> การก้าวสู่ครรภ์ นั้นหมายความว่า ปฏิจสมุทปบาท ยังดำเนินเป็นเหตุปัจจัยอยู่ ทั้งที่ในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วจากที่พระสารีบุตรกล่าวคือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา
ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
ดังนั้นแม้แต่สัตว์นั้นจะไม่รู้สึกตัวอยู่ แต่เมื่อยังมีอวิชชาอยู่ ปฏิจสมุทปบาทนั้น ยังดำเนินเป็นเหตุเป็นปัจจัยอยู่นั้นเอง
ก็จะได้ว่า ผู้ใดที่กล่าวว่า เมื่อผู้ที่ยังมีอวิชชานอนหลับ ปฏิจสมุทปบาทไม่มี จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง และ...
ผู้ใดที่กล่าวว่า ปฏิจสมุทปบาทเกิด เมื่อมี นันทิ เท่านั้น จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง นั้นเอง.
เมื่อปฏิจสมุทปบาทเป็นธรรมที่ไม่พึงกล่าวถึง เราหรือใครหรือผู้ใด จึงเป็นธรรมที่ดำเนินได้ทั้งรู้สึกหรือไม่รู้สึกตัวนั้นเอง
จากพระไตรปิฏกเล่มที่ 16
---
๕. อวิชชาปัจจยสูตรที่ ๑
...
...
[๑๓๑] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภพเป็นไฉนและภพนี้เป็น
ของใคร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก ดูกรภิกษุผู้ใดพึงกล่าวว่า ภพเป็นไฉน
และภพนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า ภพเป็นอย่างอื่น และภพนี้เป็นของผู้อื่น คำทั้งสองของ
ผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกันต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้นความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง
สรีระอย่างหนึ่ง ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรม
โดยสายกลาง ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ... เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ... เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญ
ญาณ ... ฯ
[๑๓๒] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สังขารเป็นไฉนและสังขาร
นี้เป็นของใคร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก ดูกรภิกษุ ผู้ใดพึงกล่าวว่า
สังขารเป็นไฉน และสังขารนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า สังขารเป็นอย่างอื่น และสังขาร
นี้เป็นของผู้อื่น คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น
ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ
...
---
และเรื่องการรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกต้อวก้าวสู่ครรภ์ ตามคำของพระสารีบุตร ที่กล่าวธรรมของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 11 ดังนี้
ว่าด้วยความเลื่อมใสยิ่งในพระผู้มีพระภาค
...
...
ว่าด้วยการก้าวลงสู่ครรภ์ และวิธีแห่งการดักใจคน
[๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้ คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา
ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง เดียว แต่ไม่
รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการ ก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๒ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก ตัวอยู่ในครรภ์
มารดา แต่ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๓ ฯ
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ใน
ครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ ข้อที่ ๔ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์ ฯ
---
อธิบาย >>> การก้าวสู่ครรภ์ นั้นหมายความว่า ปฏิจสมุทปบาท ยังดำเนินเป็นเหตุปัจจัยอยู่ ทั้งที่ในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วจากที่พระสารีบุตรกล่าวคือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ครรภ์มารดา
ไม่รู้สึกตัวคลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์ข้อที่ ๑ ฯ
ดังนั้นแม้แต่สัตว์นั้นจะไม่รู้สึกตัวอยู่ แต่เมื่อยังมีอวิชชาอยู่ ปฏิจสมุทปบาทนั้น ยังดำเนินเป็นเหตุเป็นปัจจัยอยู่นั้นเอง
ก็จะได้ว่า ผู้ใดที่กล่าวว่า เมื่อผู้ที่ยังมีอวิชชานอนหลับ ปฏิจสมุทปบาทไม่มี จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง และ...
ผู้ใดที่กล่าวว่า ปฏิจสมุทปบาทเกิด เมื่อมี นันทิ เท่านั้น จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง นั้นเอง.