เก๋งยุโรปคันยาวเลื่อนเข้าจอดหน้าคาสิโนขนาดใหญ่ ชายในชุดซาฟารีสีดำ สวมแว่นดำ ผู้ทำหน้าที่คนขับรถเดินอ้อมไปเปิดประตูให้ ‘นาย’ ได้ย่างก้าวออกมา รอบกายไม่ต่างจากทุกวัน นั่นคือมีผู้คนหลากหลายในฐานะปานกลาง จนถึงระดับไฮโซเดินเข้าออก คนประเภทที่ ‘ไม่มีจะกิน’ คงย่างกรายเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากสถานปลูกสร้างตรงหน้าใหญ่โตราวกับพระราชวัง
ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่า ‘นาย’ แหงน หน้ามองยอดอาคาร สิ่งที่ชัดในรูม่านตาคือลูกเต๋าขนาดปานกลาง เมื่อมองจากข้างล่างขึ้นไป หากแท้จริง ภายในนั้นศิวิไลซ์ราวกับสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เพราะมันคือภัตตาคารสำหรับผู้ที่มองอาหารเป็นมากกว่าสิ่งประทังชีวิต
สองเท้าก้าวไปข้างหน้า โดยมีชายในชุดซาฟารีคนเดิมเดินตามจนถึงประตูทางเข้า ชายสองคนที่ยืนอยู่สองฝั่งประตูโค้งคำนับ ‘นาย’ ก่อนจะเปิดประตูให้
“โอ๊ย!” แต่พอประตูถูกเปิด ใครคนหนึ่งจากข้างในวิ่งเข้าปะทะอย่างจัง ร่างเสียหลักลงไปนั่งกองกับพื้น โดยที่มีน่านนทียืนนิ่ง มองคนที่ส่งสายตาหวาดกลัวราวกับสัตว์หนีตายมายังเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ไร้คำปราศรัยใดๆ กับชายผู้นั้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าตามเข้ามาติดๆ หากหยุดชะงักทันทีที่พบน่านนที
“ไอ้นี่เด็กเฮียย้ง!” น้ำเสียงคนพูดแข็งกร้าว คาดชีวิตเอากับคนที่นั่งตัวสั่นบนพื้น คนพูดก็เกือบทำงานพลาดไปแล้วเช่นกัน ถ้า ‘เด็กเฮียย้ง’ ไม่มาพบน่านนทีซะก่อน
“จับตัวมันไป” น่านนทีสั่งเพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ไม่หันหลังกลับมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่ไม่ ‘เคยชิน’ หาก ‘ไม่อยากเห็น’ ต่างหาก อะไรก็ตามแต่ที่ ‘คน’ พึงกระทำกับฝ่ายตรงข้ามได้ มันคงไม่ต่างจากสัตว์สักเท่าไร เพราะคนก็คือ ‘สัตว์’ เพียงแต่แต่งตั้งตัวเองให้เป็น ‘สัตว์ประเสริฐ’ เท่านั้น
‘เฮียย้ง’ คือผู้มีอิทธิพลพอๆ กับเสี่ยอานนท์ เจ้าของคาสิโนแห่งนี้ และเป็นบิดาของน่านนที เฮียย้งเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเสี่ยอานนท์ ‘คู่แข่ง’ มีค่าเท่ากับ ‘ศัตรู’
นานมาแล้วที่ไม่มีพวกหนอนบ่อนไส้ เขาทราบดีว่าเฮียย้งสั่งคนมาทำไม ก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ดินนอกเมือง ซึ่งทั้งพ่อของน่านนที และเฮียย้งต่างแย่งกันเสนอราคาสูงลิ่วให้เจ้าของที่ เพราะมองออกว่าบริเวณนั้นกำลังจะเจริญ แต่เจ้าของก็ยังไม่ยอมขาย ถ้าไม่มีคู่แข่งผู้เป็นบิดาก็คงจ้างลูกน้องไปกดดันแล้ว แต่นี่ดันมีคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเฮียย้ง ยากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว หากมันแปลกตรงที่ว่า ที่ผ่านมาคนที่จะเข้ามาเป็น ‘หนอน’ ได้ ต้องเป็นพวกที่มีปัญญาสู้กับพวกลูกน้องของน่านนทีได้ แต่ไอ้คนที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่มืออาชีพ น่าแปลกใจ...
ลางสังหรณ์บางอย่างวาบขึ้นมาในใจ น่านนทีหันหลังกลับ เดินเข้าไปยังจุดเดิมที่บัดนี้มีชายชุดดำสองสามคนกำลังรุมสกรำคนที่นอนตัวงอกับพื้น เลือดโชกกาย น่าอนาถ...
“พอ!” น่านนทีสั่งเสียงเข้ม
“ครับ” ลูกน้องหยุดกะทันหัน ปล่อยให้คนของเฮียย้งนอนฟุบกับพื้น ทว่ายังคงมีลมหายใจ ท่าทางใจเสาะใช่น้อย แค่นี้ก็สลบแล้ว
“พาไปรักษาให้หายดี อย่าปล่อยให้หนีไปง่ายๆ” น่านนทีสั่งเพียงแค่นั้น ในขณะที่พวกลูกน้องยังคงแปลกใจว่าทำไมไม่ปล่อยให้ ‘ยำ’ ฝ่ายตรงข้ามจนเละ แต่ถ้าในเมื่อนายสั่ง ต้องมีเหตุผลอันใหญ่หลวงเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างใน วันนี้ไม่น่าจะมีอะไรให้จัดการมาก หากอะไรที่ทำให้ผู้เป็นบิดากำชับนักหนาว่า ‘ต้อง’ ขึ้นไปพบให้ได้
ชายชุดดำที่ยืนอยู่หน้าประตูไม้สัก สลักลวดลายวิจิตรอย่างไทยโค้งคำนับให้น่านนที ก่อนจะเปิดประตูกว้าง เผยให้เห็นโต๊ะทำงานเป็นภาพแรก หากไม่พบผู้ใดอยู่ตรงจุดนั้น ชายหนุ่มก้าวเข้าไปข้างใน โดยไม่คิดว่าจะพบชายสูงวัยรูปร่างท้วม กำลังทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย สายฝนกำลังโปรยปรายแผ่วเบา ชายหนุ่มเข้าไปนั่งยังเก้าอี้เงียบๆ ราวกับว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ไม่...แม้แต่จะหันมามอง
และในนาทีเดียวกันนั่นเอง ที่สายตาของเขาค้างอยู่ที่กรอบรูปเล็กๆ ซึ่งวางอยู่กลางโต๊ะ น่านนทีถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดู ทารกตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ โดยที่มีชายวัยอายุอานามพอๆ กันโอบเอว แนบชิด ถึงแม้ดูท่าทางแล้วเขาจะรักภรรยามากมาย หากสายตาคู่นั้นยังจับจ้องอยู่ที่จุดเดียวกัน นั่นคือทารกที่นอนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ในผ้าขนหนู น่านนทีส่งยิ้มให้กับภาพที่มองเห็น ถึงแม้ว่าบิดาของเขาจะโหดเหี้ยมในสายตาของคนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้น่านนทียอมน้อมศีรษะแนบเท้า นั่นคือหัวใจที่มั่นคง ยืนยงตลอดชั่วเวลา ถึงแม้มารดาของเขาจะจากไปแสนนาน ผู้เป็นบิดาไม่เคยมีหญิงที่ไหนเลย ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงน่านนทีจนเติบใหญ่ ความรักของพ่อนั้น เขาได้รับเต็มๆ ในขณะที่บรรดา ‘เจ้าพ่อ’ ทั้ง หลาย ไม่ใคร่มีใครมีเมียเพียงคนเดียว เหตุนี้เองที่น่านนทียอมผู้เป็นบิดาทุกเรื่อง ไม่มีข้อแม้ งานที่ทำทุกวันนี้ เขาไม่ได้ถูกบังคับ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่เขาทำอย่างเต็มใจ เนื่องจากผู้เป็นบิดา ‘ต้องการ’
“เมื่อคืนแกหายไปไหนมาทั้งคืน¬” เสี่ยอานนท์หยิบซิก้าขึ้นมาจุด
“ฝนตกหนักทั้งคืน เลยเปิดโรงแรมแถวนั้นนอนครับ”
“เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อลินอีกแล้วหละสิ” ผู้เป็นบิดาไม่อ้อมค้อม
“ใช่ครับ”
“แกกำลังตีท้ายครัวชาวบ้านอยู่นะ รู้ตัวบ้างไหม¬”
“ไม่...ผมเพียงแค่สงสารลิน ถ้าลินได้พบกับคนที่ดีเท่านั้น ผมถึงจะมีความสุข ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่ผมก็ตาม แต่นี่...” นัยน์ตาของน่านนทีวาวโรจน์ เมื่อนึกถึงชายอันเป็นที่รักของอลิน ในขณะที่บิดาเข้ามานั่งยังฝั่งตรงข้าม เพื่อฟังรอคำพูดต่อไป ‘แต่นี่...’ อะไร
“ผมไปเจอมันที่เลาจ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าลินไม่สบาย มันคงคิดว่าลินไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ที่ไหนได้ ลินคงไข้ขึ้นกะทันหัน นอนหมดสติกับพื้น ดีนะที่ประตูไม่ได้ล็อค!” น่านนทีเงียบลงทันใด เมื่อรู้สึกตัวว่าร้อนเป็นไฟต่อหน้าผู้เป็นบิดา จนไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ ส่วนเสี่ยอานนท์จ้องบุตรชายไม่คลาด
“ลินไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่ผมแค่อยากให้ลินเลิกกับไอ้วัฒน์ แล้ววันนั้น ผมจะไปตามทางของผมเอง”
“มั่นใจหรือว่านี่คือความรัก¬” เสี่ยอานนท์พ่นควันสีขาว กระจายไปรอบบริเวณ ก่อนจะว่าต่อ
“รัก...หรือสงสาร!”
“ผม...” น่านนทีคิดหาคำพูดใดไม่ออก คำตอบนั้นมากเกินกว่าคำว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เข้าต้องไปโอบอุ้มอลินถึงเพียงนั้น¬
“เอาน่า...ไม่ต้องตอบพ่อ ตอบใจตัวเองให้ได้ก่อน” น่านนทีเงียบ และไม่ถึงนาทีที่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย เนื่องจากการเข้ามาพบผู้เป็นบิดา ซึ่งถือว่าเป็น ‘นายใหญ่’ ไม่ควรนำเครื่องมือสื่อสารเข้ามาด้วย เขาต้องให้เกียรติบิดาในฐานะหัวหน้าเฉกเช่นคนอื่นๆ ไม่มีใครอภิสิทธิ์เหนือกว่าใครในเวลางาน
“ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มไม่สนใจจะหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาดู
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับแกแค่นี้แหละ ไม่มีอะไรแล้ว”
“พ่อครับ...พ่อไม่คิดจะมีเมียใหม่เลยหรอ¬” เสี่ยอานนท์ขมวดคิ้วกับคำถามของบุตรชาย หากก็ตอบตรงไปตรงมา
“ไม่...”
“ทำไมหละครับ¬”
“เพราะพ่อรักแม่พริ้ง”
“ทำไมพ่อถึงรักแม่ขนาดนั้น¬” คนถูกถามหัวเราะในลำคอ นึกขำในคำถามของบุตรชาย
“ก็แม่ พริ้งเป็นเมียของพ่อ แต่ผู้หญิงที่ชื่อลินไม่ใช่เมียของแกนะ” เอาไปเอามาก็วกมาที่เรื่องของคนตรงหน้า เสี่ยอานนท์อยากจะเตือนสติน่านนที แววตาของบุตรชายดูแปลกๆ ยามที่กล่าวถึงอลิน จากการที่พบเจอผู้คนมากมาย เสี่ยอานนท์มองแทบไม่เห็นความรักในแววตาของบุตรชาย ยามที่บุตรชายพูดว่า ‘ผมรักลิน’ ส่วนใหญ่จะค่อนไปทาง โกรธ เกลียด ผู้ชายคนที่เป็นแฟนของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า อันที่จริงเสี่ยอานนท์ก็พอรู้จักอลินอยู่บ้าง ในฐานะลูกสาวของคุณวรัชยา เพื่อนของคุณพริ้งเพรา สมัยที่คุณพริ้งเพรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองครอบครัวนัดกันทานข้าวตอนสุดสัปดาห์กันบ่อยครั้ง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของน่านนทีและอลิน หากมันก็ไม่มากเกินกว่าพี่ชายน้องสาว เด็ก...ที่เติบโตมาด้วยกันเท่านั้น
“ผมทราบดีครับ” บุตรชายรับคำสั้นๆ
“ความรักที่มีต่อแม่คือความกตัญญู ส่วนความรักที่มีต่อเมียคือความซื่อสัตย์ เพราะเมียคือแม่ของลูก เพราะฉะนั้นเมียสำคัญน้อยกว่าแม่ไปแค่ 1 ก้าวเท่านั้น พ่อยึดถือเสมอมา ถึงแม้ตอนนี้แม่พริ้งจะเสียไปแล้ว แต่พ่อขอซื่อสัตย์แค่แม่พริ้งคนเดียว ลูกผู้ชายจริงๆ ต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ มีความสัตย์ซื่อต่อเมีย ถ้าใครทำไม่ได้อย่าหวังว่าชาตินี้จะเจริญ” เสี่ยอานนท์เดินไปที่หน้าต่าง ทอดมองออกไปด้านนอก ในขณะที่หัวใจลอยละล่องไปไกลแสนไกล รำพึงหาคุณพริ้งเพรา ที่ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมอันใดพรากนางไปตั้งแต่น่านนทีอายุแค่ 10 ขวบ
“ผมขอบคุณพ่อมากครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นบิดา ก่อนจะเดินออกจากห้อง ก้าวออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ดึงเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ไม่ทราบว่าใคร อุตริโทร. มาในเวลาที่ไม่ควร
‘นา’ บนหน้าปัดชื่อหราว่าสายไม่ได้รับ น่านนทียิ้มให้กับวัตถุในมือ ก่อนจะกดปุ่มโทร. ออก ไม่นานเสียงสดใสดังจากปลายสาย
“อยู่ไหนเนี่ย¬”
“กินอะไรดีวันนี้¬” น่านนทีถามกลับ โดยที่ไม่ต้องตอบคำถามว่า ‘อยู่ไหน’ ก็ได้ ทราบดีว่าถ้าฝ่ายนั้นโทร. มา ต้องเป็นเวลาราวเที่ยงวันแน่นอน
“ทำกินเองที่ร้าน วันนี้มีอารมณ์อยากทำกับข้าว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนในลำคอ ก่อนจะกดปุ่มวาง แล้วหันมาคุยกับคุณวรุต
“เดี๋ยวผมจะไปที่ร้านชีคคา คุณไม่ต้องไปส่งผมก็ได้”
“ครับ” คนที่ทำหน้าที่ขับรถรับคำสั้นๆ ทราบดีว่าเมื่อใดที่น่านนทีไปเจอศศินา เขาจำต้องได้อู้งานเป็นกลายๆ
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 2)
ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่า ‘นาย’ แหงน หน้ามองยอดอาคาร สิ่งที่ชัดในรูม่านตาคือลูกเต๋าขนาดปานกลาง เมื่อมองจากข้างล่างขึ้นไป หากแท้จริง ภายในนั้นศิวิไลซ์ราวกับสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เพราะมันคือภัตตาคารสำหรับผู้ที่มองอาหารเป็นมากกว่าสิ่งประทังชีวิต
สองเท้าก้าวไปข้างหน้า โดยมีชายในชุดซาฟารีคนเดิมเดินตามจนถึงประตูทางเข้า ชายสองคนที่ยืนอยู่สองฝั่งประตูโค้งคำนับ ‘นาย’ ก่อนจะเปิดประตูให้
“โอ๊ย!” แต่พอประตูถูกเปิด ใครคนหนึ่งจากข้างในวิ่งเข้าปะทะอย่างจัง ร่างเสียหลักลงไปนั่งกองกับพื้น โดยที่มีน่านนทียืนนิ่ง มองคนที่ส่งสายตาหวาดกลัวราวกับสัตว์หนีตายมายังเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ไร้คำปราศรัยใดๆ กับชายผู้นั้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าตามเข้ามาติดๆ หากหยุดชะงักทันทีที่พบน่านนที
“ไอ้นี่เด็กเฮียย้ง!” น้ำเสียงคนพูดแข็งกร้าว คาดชีวิตเอากับคนที่นั่งตัวสั่นบนพื้น คนพูดก็เกือบทำงานพลาดไปแล้วเช่นกัน ถ้า ‘เด็กเฮียย้ง’ ไม่มาพบน่านนทีซะก่อน
“จับตัวมันไป” น่านนทีสั่งเพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ไม่หันหลังกลับมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่ไม่ ‘เคยชิน’ หาก ‘ไม่อยากเห็น’ ต่างหาก อะไรก็ตามแต่ที่ ‘คน’ พึงกระทำกับฝ่ายตรงข้ามได้ มันคงไม่ต่างจากสัตว์สักเท่าไร เพราะคนก็คือ ‘สัตว์’ เพียงแต่แต่งตั้งตัวเองให้เป็น ‘สัตว์ประเสริฐ’ เท่านั้น
‘เฮียย้ง’ คือผู้มีอิทธิพลพอๆ กับเสี่ยอานนท์ เจ้าของคาสิโนแห่งนี้ และเป็นบิดาของน่านนที เฮียย้งเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเสี่ยอานนท์ ‘คู่แข่ง’ มีค่าเท่ากับ ‘ศัตรู’
นานมาแล้วที่ไม่มีพวกหนอนบ่อนไส้ เขาทราบดีว่าเฮียย้งสั่งคนมาทำไม ก็คงจะไม่พ้นเรื่องที่ดินนอกเมือง ซึ่งทั้งพ่อของน่านนที และเฮียย้งต่างแย่งกันเสนอราคาสูงลิ่วให้เจ้าของที่ เพราะมองออกว่าบริเวณนั้นกำลังจะเจริญ แต่เจ้าของก็ยังไม่ยอมขาย ถ้าไม่มีคู่แข่งผู้เป็นบิดาก็คงจ้างลูกน้องไปกดดันแล้ว แต่นี่ดันมีคู่แข่งตัวฉกาจอย่างเฮียย้ง ยากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว หากมันแปลกตรงที่ว่า ที่ผ่านมาคนที่จะเข้ามาเป็น ‘หนอน’ ได้ ต้องเป็นพวกที่มีปัญญาสู้กับพวกลูกน้องของน่านนทีได้ แต่ไอ้คนที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่มืออาชีพ น่าแปลกใจ...
ลางสังหรณ์บางอย่างวาบขึ้นมาในใจ น่านนทีหันหลังกลับ เดินเข้าไปยังจุดเดิมที่บัดนี้มีชายชุดดำสองสามคนกำลังรุมสกรำคนที่นอนตัวงอกับพื้น เลือดโชกกาย น่าอนาถ...
“พอ!” น่านนทีสั่งเสียงเข้ม
“ครับ” ลูกน้องหยุดกะทันหัน ปล่อยให้คนของเฮียย้งนอนฟุบกับพื้น ทว่ายังคงมีลมหายใจ ท่าทางใจเสาะใช่น้อย แค่นี้ก็สลบแล้ว
“พาไปรักษาให้หายดี อย่าปล่อยให้หนีไปง่ายๆ” น่านนทีสั่งเพียงแค่นั้น ในขณะที่พวกลูกน้องยังคงแปลกใจว่าทำไมไม่ปล่อยให้ ‘ยำ’ ฝ่ายตรงข้ามจนเละ แต่ถ้าในเมื่อนายสั่ง ต้องมีเหตุผลอันใหญ่หลวงเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างใน วันนี้ไม่น่าจะมีอะไรให้จัดการมาก หากอะไรที่ทำให้ผู้เป็นบิดากำชับนักหนาว่า ‘ต้อง’ ขึ้นไปพบให้ได้
ชายชุดดำที่ยืนอยู่หน้าประตูไม้สัก สลักลวดลายวิจิตรอย่างไทยโค้งคำนับให้น่านนที ก่อนจะเปิดประตูกว้าง เผยให้เห็นโต๊ะทำงานเป็นภาพแรก หากไม่พบผู้ใดอยู่ตรงจุดนั้น ชายหนุ่มก้าวเข้าไปข้างใน โดยไม่คิดว่าจะพบชายสูงวัยรูปร่างท้วม กำลังทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย สายฝนกำลังโปรยปรายแผ่วเบา ชายหนุ่มเข้าไปนั่งยังเก้าอี้เงียบๆ ราวกับว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ไม่...แม้แต่จะหันมามอง
และในนาทีเดียวกันนั่นเอง ที่สายตาของเขาค้างอยู่ที่กรอบรูปเล็กๆ ซึ่งวางอยู่กลางโต๊ะ น่านนทีถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดู ทารกตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ โดยที่มีชายวัยอายุอานามพอๆ กันโอบเอว แนบชิด ถึงแม้ดูท่าทางแล้วเขาจะรักภรรยามากมาย หากสายตาคู่นั้นยังจับจ้องอยู่ที่จุดเดียวกัน นั่นคือทารกที่นอนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่ในผ้าขนหนู น่านนทีส่งยิ้มให้กับภาพที่มองเห็น ถึงแม้ว่าบิดาของเขาจะโหดเหี้ยมในสายตาของคนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้น่านนทียอมน้อมศีรษะแนบเท้า นั่นคือหัวใจที่มั่นคง ยืนยงตลอดชั่วเวลา ถึงแม้มารดาของเขาจะจากไปแสนนาน ผู้เป็นบิดาไม่เคยมีหญิงที่ไหนเลย ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงน่านนทีจนเติบใหญ่ ความรักของพ่อนั้น เขาได้รับเต็มๆ ในขณะที่บรรดา ‘เจ้าพ่อ’ ทั้ง หลาย ไม่ใคร่มีใครมีเมียเพียงคนเดียว เหตุนี้เองที่น่านนทียอมผู้เป็นบิดาทุกเรื่อง ไม่มีข้อแม้ งานที่ทำทุกวันนี้ เขาไม่ได้ถูกบังคับ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่เขาทำอย่างเต็มใจ เนื่องจากผู้เป็นบิดา ‘ต้องการ’
“เมื่อคืนแกหายไปไหนมาทั้งคืน¬” เสี่ยอานนท์หยิบซิก้าขึ้นมาจุด
“ฝนตกหนักทั้งคืน เลยเปิดโรงแรมแถวนั้นนอนครับ”
“เรื่องของผู้หญิงที่ชื่อลินอีกแล้วหละสิ” ผู้เป็นบิดาไม่อ้อมค้อม
“ใช่ครับ”
“แกกำลังตีท้ายครัวชาวบ้านอยู่นะ รู้ตัวบ้างไหม¬”
“ไม่...ผมเพียงแค่สงสารลิน ถ้าลินได้พบกับคนที่ดีเท่านั้น ผมถึงจะมีความสุข ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่ผมก็ตาม แต่นี่...” นัยน์ตาของน่านนทีวาวโรจน์ เมื่อนึกถึงชายอันเป็นที่รักของอลิน ในขณะที่บิดาเข้ามานั่งยังฝั่งตรงข้าม เพื่อฟังรอคำพูดต่อไป ‘แต่นี่...’ อะไร
“ผมไปเจอมันที่เลาจ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าลินไม่สบาย มันคงคิดว่าลินไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ที่ไหนได้ ลินคงไข้ขึ้นกะทันหัน นอนหมดสติกับพื้น ดีนะที่ประตูไม่ได้ล็อค!” น่านนทีเงียบลงทันใด เมื่อรู้สึกตัวว่าร้อนเป็นไฟต่อหน้าผู้เป็นบิดา จนไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ ส่วนเสี่ยอานนท์จ้องบุตรชายไม่คลาด
“ลินไม่ต้องรักผมก็ได้ แต่ผมแค่อยากให้ลินเลิกกับไอ้วัฒน์ แล้ววันนั้น ผมจะไปตามทางของผมเอง”
“มั่นใจหรือว่านี่คือความรัก¬” เสี่ยอานนท์พ่นควันสีขาว กระจายไปรอบบริเวณ ก่อนจะว่าต่อ
“รัก...หรือสงสาร!”
“ผม...” น่านนทีคิดหาคำพูดใดไม่ออก คำตอบนั้นมากเกินกว่าคำว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เข้าต้องไปโอบอุ้มอลินถึงเพียงนั้น¬
“เอาน่า...ไม่ต้องตอบพ่อ ตอบใจตัวเองให้ได้ก่อน” น่านนทีเงียบ และไม่ถึงนาทีที่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย เนื่องจากการเข้ามาพบผู้เป็นบิดา ซึ่งถือว่าเป็น ‘นายใหญ่’ ไม่ควรนำเครื่องมือสื่อสารเข้ามาด้วย เขาต้องให้เกียรติบิดาในฐานะหัวหน้าเฉกเช่นคนอื่นๆ ไม่มีใครอภิสิทธิ์เหนือกว่าใครในเวลางาน
“ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มไม่สนใจจะหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาดู
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับแกแค่นี้แหละ ไม่มีอะไรแล้ว”
“พ่อครับ...พ่อไม่คิดจะมีเมียใหม่เลยหรอ¬” เสี่ยอานนท์ขมวดคิ้วกับคำถามของบุตรชาย หากก็ตอบตรงไปตรงมา
“ไม่...”
“ทำไมหละครับ¬”
“เพราะพ่อรักแม่พริ้ง”
“ทำไมพ่อถึงรักแม่ขนาดนั้น¬” คนถูกถามหัวเราะในลำคอ นึกขำในคำถามของบุตรชาย
“ก็แม่ พริ้งเป็นเมียของพ่อ แต่ผู้หญิงที่ชื่อลินไม่ใช่เมียของแกนะ” เอาไปเอามาก็วกมาที่เรื่องของคนตรงหน้า เสี่ยอานนท์อยากจะเตือนสติน่านนที แววตาของบุตรชายดูแปลกๆ ยามที่กล่าวถึงอลิน จากการที่พบเจอผู้คนมากมาย เสี่ยอานนท์มองแทบไม่เห็นความรักในแววตาของบุตรชาย ยามที่บุตรชายพูดว่า ‘ผมรักลิน’ ส่วนใหญ่จะค่อนไปทาง โกรธ เกลียด ผู้ชายคนที่เป็นแฟนของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า อันที่จริงเสี่ยอานนท์ก็พอรู้จักอลินอยู่บ้าง ในฐานะลูกสาวของคุณวรัชยา เพื่อนของคุณพริ้งเพรา สมัยที่คุณพริ้งเพรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองครอบครัวนัดกันทานข้าวตอนสุดสัปดาห์กันบ่อยครั้ง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของน่านนทีและอลิน หากมันก็ไม่มากเกินกว่าพี่ชายน้องสาว เด็ก...ที่เติบโตมาด้วยกันเท่านั้น
“ผมทราบดีครับ” บุตรชายรับคำสั้นๆ
“ความรักที่มีต่อแม่คือความกตัญญู ส่วนความรักที่มีต่อเมียคือความซื่อสัตย์ เพราะเมียคือแม่ของลูก เพราะฉะนั้นเมียสำคัญน้อยกว่าแม่ไปแค่ 1 ก้าวเท่านั้น พ่อยึดถือเสมอมา ถึงแม้ตอนนี้แม่พริ้งจะเสียไปแล้ว แต่พ่อขอซื่อสัตย์แค่แม่พริ้งคนเดียว ลูกผู้ชายจริงๆ ต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ มีความสัตย์ซื่อต่อเมีย ถ้าใครทำไม่ได้อย่าหวังว่าชาตินี้จะเจริญ” เสี่ยอานนท์เดินไปที่หน้าต่าง ทอดมองออกไปด้านนอก ในขณะที่หัวใจลอยละล่องไปไกลแสนไกล รำพึงหาคุณพริ้งเพรา ที่ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมอันใดพรากนางไปตั้งแต่น่านนทีอายุแค่ 10 ขวบ
“ผมขอบคุณพ่อมากครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้เป็นบิดา ก่อนจะเดินออกจากห้อง ก้าวออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ดึงเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ไม่ทราบว่าใคร อุตริโทร. มาในเวลาที่ไม่ควร
‘นา’ บนหน้าปัดชื่อหราว่าสายไม่ได้รับ น่านนทียิ้มให้กับวัตถุในมือ ก่อนจะกดปุ่มโทร. ออก ไม่นานเสียงสดใสดังจากปลายสาย
“อยู่ไหนเนี่ย¬”
“กินอะไรดีวันนี้¬” น่านนทีถามกลับ โดยที่ไม่ต้องตอบคำถามว่า ‘อยู่ไหน’ ก็ได้ ทราบดีว่าถ้าฝ่ายนั้นโทร. มา ต้องเป็นเวลาราวเที่ยงวันแน่นอน
“ทำกินเองที่ร้าน วันนี้มีอารมณ์อยากทำกับข้าว” ชายหนุ่มหัวเราะร่วนในลำคอ ก่อนจะกดปุ่มวาง แล้วหันมาคุยกับคุณวรุต
“เดี๋ยวผมจะไปที่ร้านชีคคา คุณไม่ต้องไปส่งผมก็ได้”
“ครับ” คนที่ทำหน้าที่ขับรถรับคำสั้นๆ ทราบดีว่าเมื่อใดที่น่านนทีไปเจอศศินา เขาจำต้องได้อู้งานเป็นกลายๆ