๑๒...
พระราชวังที่พระองค์ทรงคุ้นเคยเปลี่ยนไปมากเพียงไม่กี่พริบตา หลังจากที่ข้าศึกยึดเมืองมาได้พระราชวังที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประติมากรรมชั้นเยี่ยม ตอนนี้เหลือเพียงซากและกลายเป็นอดีตของเซนารักไปแล้ว
“ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้ ไอ้พวกบ้า พวกเจ้าไม่ได้ยินที่เราบอกหรือ ว่าให้ปล่อยเราออกไป” เจ้าหญิงแอนนาริตาตะโกนใส่หน้าผู้ที่ทำหน้าที่คุมขังนาง ตอนนี้ไม่มีอีกแล้วประสาทที่สวยงามแม้กระทั่งชาวเมืองที่หลงเหลือก็หามีไม่ มีเพียงเชลยศึกสงครามที่ถูกบันนาตุกะจับตัวไป
บันนาตุกะเป็นเมืองทางตอนเหนือส่วนเซนารักเป็นเมืองทางตอนใต้ มีแม่น้ำสายใหญ่เป็นแม่น้ำไหลผ่านทั้งสองเมือง แต่ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าบันนาตุกะจะรอถือจังหวะทำสงครามกับเซนารัก
“กระหม่อมไม่สามารถทำตามที่พระองค์รับสั่งได้ ทางที่ดีเจ้าหญิงโปรดอยู่ที่นี่ ขออย่าทรงทำอะไรอีกเลยเพราะไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ หากไม่ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท” ยัซซินเอ่ย
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งเรา นี่มันเมืองของเรา ราชวังของเรา เรามีสิทธิ์ที่จะไปที่ใดก็ได้”
“แต่พระองค์คงลืมไปแล้วว่าเวลานี้ ที่นี่คือสมบัติชิ้นหนึ่งของบันนาตุกะ”
“เจ้า” เจ้าหญิงแอนนาริตาแทบกระอัก ทั้งที่เป็นบ้านเมืองของนางแต่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากถูกทหารบันนาตุกะคุมตัว หากเปรียบกันแล้วนางก็ไม่ต่างจากเชลยที่รอการพิพากษา จะดีหน่อยก็ตรงที่ไม่ต้องไปอยู่ในห้องคุมขังเหมือนอย่างเชลยคนอื่น
“ท่านนี่กล้าดียังไงถึงได้มาพูดเช่นนั้นกับเจ้าหญิงของข้า” มายาโวยบ้าง เงยหน้ามองยัซซินด้วยแววตาโกรธขึง น่าแปลกที่สายตานักรบหนุ่มไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนกับคำพูดที่เอ่ยออกไป แต่เพียงแค่ไม่นานสายตาคู่นั้นก็เปลี่ยนมามองพระพักตร์ของเจ้าหญิงอีกครั้งด้วยอยากให้พระองค์ทรงตั้งสติ หากใช้อารมณ์ในการตัดสิน ผลสุดท้ายก็หามีประโยชน์ไม่ มีแต่จะเสียเปรียบ
“กระหม่อมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ทรงอย่าได้คิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่อีกเลย ถ้าพระองค์ฉลาดพอ” ยัซซินเอ่ย แม้คำพูดที่ลั่นออกมานั้นจะทำให้พระพักตร์ของเจ้าหญิงแอนนาริตาแดงขึ้นด้วยความโกรธเพราะไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาดูถูกนางเช่นนี้ นักรบท่านนี้อาศัยแค่ว่าเป็นองครักษ์คนสนิทของกษัตริย์อัสมันจึงไม่คิดเกรงใจพระองค์แม้แต่น้อย แทนที่วรกายอรชรจะยอมอ่อนข้อและทำตามคำพูดของยัซซินไม่
“จะเสด็จไปที่ใดอีกพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินถาม สีหน้าบ่งบอกถึงความยุ่งยากใจเป็นที่สุดเมื่อเจ้าหญิงต่างเมืองไม่ยอมทำตามที่บอก
“หลีกไป อย่าให้เราต้องใช้กำลังทำร้ายเจ้า” มายาเดินตามมาด้วย เห็นอีกฝ่ายนิ่งงันเดาใจไม่ถูกว่าองค์รักษ์แห่งกษัตริย์บันนาตุกะจะทำยังไง
“กระหม่อมจนปัญญา ไม่อาจทำตามคำสั่งของเจ้าหญิงได้” ยัซซินพูด พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้อยู่นิ่ง ไม่ให้เคลื่อนไหวไปกับอารมณ์โกรธของเจ้าหญิงและบ่าวน้อยผู้นั้น
“หากเราคิดจะไป ใครหน้าไหนมันจะมาห้ามเราได้” เจ้าหญิงแอนนาริตาเสียงแข็ง จ้องหน้าทุกคนด้วยความโกรธแค้น มายาถูกเจ้าหญิงของนางจูงไว้ส่วนยัซซินทำท่าจะเดินตามหากต้องชะงักเมื่อเห็นคนในร่างกำลังยืนขวางประตู
กษัตริย์อัสมันยืนนิ่งมองพระพักตร์ขรึมของเจ้าหญิงแอนนาริตา แววตาที่ทรงหันมองพระองค์ชัดแจ้งด้วยความโกรธแค้นพระองค์คงเป็นบุรุษหนุ่มที่แอนนาริตานึกอยากจะฆ่าให้ตายคามือ
“แต่ตอนนี้น้องทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว แอนนาริตา” สายพระเนตรดุดันที่มองมาทางคนพูด ใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตมองมาด้วยประกายตาดุดัน นางเป็นหญิงแต่ใจอาจหาญเกินชาย เรื่องนี้พระองค์รู้ดี นางไม่เพียงแต่เป็นธิดาของเซนารักแต่ยังเป็นสตรีที่พระองค์ทั้งรักและชื่นชม นางเปรียบเสมือนดอกบัวกลางใจของพระองค์ แต่เพราะหน้าที่ของกษัตริย์ที่ต้องเห็นบ้านเมืองสำคัญกว่าและหน้าที่ของผู้เป็นลูกที่ต้องพิพากษาคนชั่วที่ทำร้ายบุพพาการี กษัตริย์อัสมันจึงต้องเลือกสงครามมากกว่าความรัก
กษัตริย์หนุ่มนึกน้อยพระทัย พระองค์เฝ้ารอที่จะได้พบกับบัวแรกแย้มเพียงแค่อยากให้นางทรงเข้าพระทัยในสิ่งที่พระองค์ทำลงไป อยากอธิบายให้เข้าใจแต่เพียงแค่มองดวงพระเนตรสีน้ำตาลเข้มก็แทบทำให้ดวงหทัยสลายสิ้น
ใบหน้าคมใช้สายตาไล่มองดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีความโกรธเกลียด มองจมูกโด่งที่กำลังแดงช้ำและมองริมฝีปากอิ่มที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลของพระองค์ แต่ไม่ทันที่จะมองต่ำลงไปอีก เสียงแหบแห้งของนางก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ใช่สิ ตอนนี้ หม่อมฉันก็ไม่ต่างจากเชลยศึกทั่วไป เกียรติยศ ศักดิ์ศรีถูกบันนาตุกะทำลายหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่หม่อมฉันมีเหลืออยู่ก็คงเป็นเพียงหญิงเชลยผู้ไร้ยศเท่านั้น” เจ้าหญิงแอนนาริตาพูดอย่างเจ็บแค้น เมื่อนาทีนี้เซนารักเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น น้อยคนนักที่จะจดจำผู้แพ้ ความพ่ายแพ้และความอดสูของชาวเซนารักได้ตายไปพร้อมกับพวกเขาแล้วแต่คนที่ยังเหลืออยู่ก็กลายมาเป็นเชลยบันนาตุกะหมดแล้ว
“ยัซซิน เจ้าช่วยพาทหารและบ่าวผู้นี้ออกไปจากห้องของเรา แล้วถ้ายังไม่ได้มีคำสั่งจากเราก็ห้ามเข้ามาเด็ดขาด” แอนนาริตาเจ็บแค้น พูดมาได้เต็มปากว่านี่คือห้องของพระองค์ทั้งที่ห้องนี้เป็นห้องของนาง ยัซซินรับทราบหันไปออกคำสั่งกับทหารผู้คุมก่อนจะดึงร่างของบ่าวสาวต่างเมืองออกมาด้วย
“ปล่อยคนของหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะ ทรงทำเช่นนั้นไม่ได้ หม่อมฉันไม่ยอม ปล่อยมายาเดี๋ยวนี้นะเพคะ” แอนนาริตามองหน้ามายาที่หน้าซีดเผือด เห็นใจและสงสารมายาที่ต้องถูกลากออกไปกลัวว่าบ่าวผู้จงรักผู้นี้จะเป็นอะไรไป
ยัซซินไม่รอให้ฝ่าบาททรงตรัสคำใดออกมาอีกลากมายาให้ออกจากที่ประทับของสองพระองค์ มายาโวยวายกระทั่งยัซซินปล่อยนางเมื่อออกมานอกห้อง
“มาจับตัวข้าทำไม จะบ้าหรืออย่างไร”
“ถ้าข้าบ้า งั้นเจ้าก็บ้าเหมือนกัน”
“ท่าน” มายาจะพูดต่อแต่เปลี่ยนใจไม่พูดกำมือตัวเองแน่น เป็นห่วงเจ้าหญิงสุดหัวใจแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อสักครู่ก็ได้ยินแล้วว่าฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามา
“ในฐานะที่เจ้าเป็นเชลยศึก เจ้าไม่คิดจะทำตัวดีบ้างหรือ ถ้าเจ้าทำให้ข้าพอใจ บางทีข้าจะไถ่ตัวเจ้าออกจากความเป็นเชลย” ยัซซินหยอก แกล้งเอาหน้าเข้าไปใกล้จนมายาต้องถอยหลังนี้แต่เมื่อไปปะทะกับกลุ่มทหารอื่นก็ต้องถอยกลับเข้ามาจนเกือบจะชนตัวองค์รักหนุ่มแห่งนักรบ ยัซซินมองใบหน้าบ่าวผู้จงรัก นางไม่ใช่คนสวยแต่นางสะดุดใจเขาตรงที่ความจงรักภักดี ความกตัญญูที่มีต่อเจ้านาย นางถือเป็นคนที่น่ายกย่องสรรเสริญ
ดวงยหวาแห่งราชันย์ ตอนที่ 12
พระราชวังที่พระองค์ทรงคุ้นเคยเปลี่ยนไปมากเพียงไม่กี่พริบตา หลังจากที่ข้าศึกยึดเมืองมาได้พระราชวังที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประติมากรรมชั้นเยี่ยม ตอนนี้เหลือเพียงซากและกลายเป็นอดีตของเซนารักไปแล้ว
“ปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้ ไอ้พวกบ้า พวกเจ้าไม่ได้ยินที่เราบอกหรือ ว่าให้ปล่อยเราออกไป” เจ้าหญิงแอนนาริตาตะโกนใส่หน้าผู้ที่ทำหน้าที่คุมขังนาง ตอนนี้ไม่มีอีกแล้วประสาทที่สวยงามแม้กระทั่งชาวเมืองที่หลงเหลือก็หามีไม่ มีเพียงเชลยศึกสงครามที่ถูกบันนาตุกะจับตัวไป
บันนาตุกะเป็นเมืองทางตอนเหนือส่วนเซนารักเป็นเมืองทางตอนใต้ มีแม่น้ำสายใหญ่เป็นแม่น้ำไหลผ่านทั้งสองเมือง แต่ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าบันนาตุกะจะรอถือจังหวะทำสงครามกับเซนารัก
“กระหม่อมไม่สามารถทำตามที่พระองค์รับสั่งได้ ทางที่ดีเจ้าหญิงโปรดอยู่ที่นี่ ขออย่าทรงทำอะไรอีกเลยเพราะไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ หากไม่ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท” ยัซซินเอ่ย
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งเรา นี่มันเมืองของเรา ราชวังของเรา เรามีสิทธิ์ที่จะไปที่ใดก็ได้”
“แต่พระองค์คงลืมไปแล้วว่าเวลานี้ ที่นี่คือสมบัติชิ้นหนึ่งของบันนาตุกะ”
“เจ้า” เจ้าหญิงแอนนาริตาแทบกระอัก ทั้งที่เป็นบ้านเมืองของนางแต่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากถูกทหารบันนาตุกะคุมตัว หากเปรียบกันแล้วนางก็ไม่ต่างจากเชลยที่รอการพิพากษา จะดีหน่อยก็ตรงที่ไม่ต้องไปอยู่ในห้องคุมขังเหมือนอย่างเชลยคนอื่น
“ท่านนี่กล้าดียังไงถึงได้มาพูดเช่นนั้นกับเจ้าหญิงของข้า” มายาโวยบ้าง เงยหน้ามองยัซซินด้วยแววตาโกรธขึง น่าแปลกที่สายตานักรบหนุ่มไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนกับคำพูดที่เอ่ยออกไป แต่เพียงแค่ไม่นานสายตาคู่นั้นก็เปลี่ยนมามองพระพักตร์ของเจ้าหญิงอีกครั้งด้วยอยากให้พระองค์ทรงตั้งสติ หากใช้อารมณ์ในการตัดสิน ผลสุดท้ายก็หามีประโยชน์ไม่ มีแต่จะเสียเปรียบ
“กระหม่อมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ทรงอย่าได้คิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่อีกเลย ถ้าพระองค์ฉลาดพอ” ยัซซินเอ่ย แม้คำพูดที่ลั่นออกมานั้นจะทำให้พระพักตร์ของเจ้าหญิงแอนนาริตาแดงขึ้นด้วยความโกรธเพราะไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาดูถูกนางเช่นนี้ นักรบท่านนี้อาศัยแค่ว่าเป็นองครักษ์คนสนิทของกษัตริย์อัสมันจึงไม่คิดเกรงใจพระองค์แม้แต่น้อย แทนที่วรกายอรชรจะยอมอ่อนข้อและทำตามคำพูดของยัซซินไม่
“จะเสด็จไปที่ใดอีกพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินถาม สีหน้าบ่งบอกถึงความยุ่งยากใจเป็นที่สุดเมื่อเจ้าหญิงต่างเมืองไม่ยอมทำตามที่บอก
“หลีกไป อย่าให้เราต้องใช้กำลังทำร้ายเจ้า” มายาเดินตามมาด้วย เห็นอีกฝ่ายนิ่งงันเดาใจไม่ถูกว่าองค์รักษ์แห่งกษัตริย์บันนาตุกะจะทำยังไง
“กระหม่อมจนปัญญา ไม่อาจทำตามคำสั่งของเจ้าหญิงได้” ยัซซินพูด พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้อยู่นิ่ง ไม่ให้เคลื่อนไหวไปกับอารมณ์โกรธของเจ้าหญิงและบ่าวน้อยผู้นั้น
“หากเราคิดจะไป ใครหน้าไหนมันจะมาห้ามเราได้” เจ้าหญิงแอนนาริตาเสียงแข็ง จ้องหน้าทุกคนด้วยความโกรธแค้น มายาถูกเจ้าหญิงของนางจูงไว้ส่วนยัซซินทำท่าจะเดินตามหากต้องชะงักเมื่อเห็นคนในร่างกำลังยืนขวางประตู
กษัตริย์อัสมันยืนนิ่งมองพระพักตร์ขรึมของเจ้าหญิงแอนนาริตา แววตาที่ทรงหันมองพระองค์ชัดแจ้งด้วยความโกรธแค้นพระองค์คงเป็นบุรุษหนุ่มที่แอนนาริตานึกอยากจะฆ่าให้ตายคามือ
“แต่ตอนนี้น้องทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว แอนนาริตา” สายพระเนตรดุดันที่มองมาทางคนพูด ใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตากลมโตมองมาด้วยประกายตาดุดัน นางเป็นหญิงแต่ใจอาจหาญเกินชาย เรื่องนี้พระองค์รู้ดี นางไม่เพียงแต่เป็นธิดาของเซนารักแต่ยังเป็นสตรีที่พระองค์ทั้งรักและชื่นชม นางเปรียบเสมือนดอกบัวกลางใจของพระองค์ แต่เพราะหน้าที่ของกษัตริย์ที่ต้องเห็นบ้านเมืองสำคัญกว่าและหน้าที่ของผู้เป็นลูกที่ต้องพิพากษาคนชั่วที่ทำร้ายบุพพาการี กษัตริย์อัสมันจึงต้องเลือกสงครามมากกว่าความรัก
กษัตริย์หนุ่มนึกน้อยพระทัย พระองค์เฝ้ารอที่จะได้พบกับบัวแรกแย้มเพียงแค่อยากให้นางทรงเข้าพระทัยในสิ่งที่พระองค์ทำลงไป อยากอธิบายให้เข้าใจแต่เพียงแค่มองดวงพระเนตรสีน้ำตาลเข้มก็แทบทำให้ดวงหทัยสลายสิ้น
ใบหน้าคมใช้สายตาไล่มองดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มีความโกรธเกลียด มองจมูกโด่งที่กำลังแดงช้ำและมองริมฝีปากอิ่มที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลของพระองค์ แต่ไม่ทันที่จะมองต่ำลงไปอีก เสียงแหบแห้งของนางก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ใช่สิ ตอนนี้ หม่อมฉันก็ไม่ต่างจากเชลยศึกทั่วไป เกียรติยศ ศักดิ์ศรีถูกบันนาตุกะทำลายหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่หม่อมฉันมีเหลืออยู่ก็คงเป็นเพียงหญิงเชลยผู้ไร้ยศเท่านั้น” เจ้าหญิงแอนนาริตาพูดอย่างเจ็บแค้น เมื่อนาทีนี้เซนารักเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น น้อยคนนักที่จะจดจำผู้แพ้ ความพ่ายแพ้และความอดสูของชาวเซนารักได้ตายไปพร้อมกับพวกเขาแล้วแต่คนที่ยังเหลืออยู่ก็กลายมาเป็นเชลยบันนาตุกะหมดแล้ว
“ยัซซิน เจ้าช่วยพาทหารและบ่าวผู้นี้ออกไปจากห้องของเรา แล้วถ้ายังไม่ได้มีคำสั่งจากเราก็ห้ามเข้ามาเด็ดขาด” แอนนาริตาเจ็บแค้น พูดมาได้เต็มปากว่านี่คือห้องของพระองค์ทั้งที่ห้องนี้เป็นห้องของนาง ยัซซินรับทราบหันไปออกคำสั่งกับทหารผู้คุมก่อนจะดึงร่างของบ่าวสาวต่างเมืองออกมาด้วย
“ปล่อยคนของหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะ ทรงทำเช่นนั้นไม่ได้ หม่อมฉันไม่ยอม ปล่อยมายาเดี๋ยวนี้นะเพคะ” แอนนาริตามองหน้ามายาที่หน้าซีดเผือด เห็นใจและสงสารมายาที่ต้องถูกลากออกไปกลัวว่าบ่าวผู้จงรักผู้นี้จะเป็นอะไรไป
ยัซซินไม่รอให้ฝ่าบาททรงตรัสคำใดออกมาอีกลากมายาให้ออกจากที่ประทับของสองพระองค์ มายาโวยวายกระทั่งยัซซินปล่อยนางเมื่อออกมานอกห้อง
“มาจับตัวข้าทำไม จะบ้าหรืออย่างไร”
“ถ้าข้าบ้า งั้นเจ้าก็บ้าเหมือนกัน”
“ท่าน” มายาจะพูดต่อแต่เปลี่ยนใจไม่พูดกำมือตัวเองแน่น เป็นห่วงเจ้าหญิงสุดหัวใจแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อสักครู่ก็ได้ยินแล้วว่าฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดเข้ามา
“ในฐานะที่เจ้าเป็นเชลยศึก เจ้าไม่คิดจะทำตัวดีบ้างหรือ ถ้าเจ้าทำให้ข้าพอใจ บางทีข้าจะไถ่ตัวเจ้าออกจากความเป็นเชลย” ยัซซินหยอก แกล้งเอาหน้าเข้าไปใกล้จนมายาต้องถอยหลังนี้แต่เมื่อไปปะทะกับกลุ่มทหารอื่นก็ต้องถอยกลับเข้ามาจนเกือบจะชนตัวองค์รักหนุ่มแห่งนักรบ ยัซซินมองใบหน้าบ่าวผู้จงรัก นางไม่ใช่คนสวยแต่นางสะดุดใจเขาตรงที่ความจงรักภักดี ความกตัญญูที่มีต่อเจ้านาย นางถือเป็นคนที่น่ายกย่องสรรเสริญ