๑๓...
“เจ้าชายฟาล์วเล็มส่งทหารมากราบทูลถามฝ่าบาทว่าจะเสด็จกลับไปพร้อมกับพระองค์หรือไม่”
ยัซซินถาม เช้านี้ดูฝ่าบาทของตนไม่สดใสเหมือนอย่างเคย แม้จะมีแสงแดดออกมาทักทายอยู่บ้างหากแต่พระพักตร์บึ้งตึงนั้นกลับไม่ยินดียินร้ายกับสภาพแวดล้อมที่กำลังทักทายพระองค์อยู่
“เรายังไม่อยากกลับ ตราบใดที่แอนนาริตายังไม่หายโกรธเรา ตราบใดที่นางยังไม่เข้าใจเรา เราคงไม่อาจไปไหนได้”
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมจะบอกให้ทหารนำคำทูลของฝ่าบาทไปกราบทูลเจ้าชายฟาล์วเล็ม” ยัซซินกล่าวก่อนขอตัวไปทำงานต่อ มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางและในฐานะองครักษ์แห่งฝ่าบาทก็ต้องทำตามนโยบายของฝ่าบาทที่ต้องการฟื้นฟูเซนารักให้กลับมาเหมือนเดิม
“ข้าไม่เข้าใจฝ่าบาทจริงๆ” มัสอาเดินมาคุยกับยัซซินโดยนั่งครุ่นคิดอยู่หลายราตรีก็ยังไม่หายข้องใจในเรื่องเกี่ยวกับฝ่าบาท
“เป็นเพราะเจ้าไม่เคยมีความรักถึงได้เข้าใจยากนัก”
“ความรักอย่างนั้นหรือแต่นางเป็นเชลยศึก” มัสอาไม่วายเถียง
“เชลยผู้สูงศักดิ์มากกว่า เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงเป็นที่หมายตาของเจ้าชายทุกพระองค์ไม่เว้นแม้แต่ฝ่าบาทของเรา ความหอมหวานในตัวนางประทับใจฝ่าบาทไม่รู้ลืม อาจเป็นเพราะข้าอยู่ถวายการรับใช้ฝ่าบาทมาเนินนานจึงได้รู้ว่าฝ่าบาททรงไม่สนพระทัยสตรีนางใดนอกจากเจ้าหญิงแอนนาริตาเพียงพระองค์เดียว”
“แล้วเรื่องจะไม่วุ่นวายหรือ ยัซซิน ตอนนี้เจ้าหญิงก็เป็นเพียงเชลย” ยัซซินยิ้ม
“จะไปยากอะไรเล่า ขั้นแรกก็เอาเชลยมาเป็นนางสนม ต่อมาค่อยขยับมาเป็นชายาก็ไม่ถือว่าเสียหาย”
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร พูดเหมือนส่งเสริมให้ฝ่าบาททรงยกย่องนางเชลยผู้นั้น” ยัซซินยิ้ม เอามือขึ้นกอดอกตัวเองนึกถึงโฉมงามที่เขาเองก็ติดใจ ขนาดมายาเขายังอยากครอบครองแล้วเจ้าหญิงแอนนาริตาเล่าจะไม่ทรงทำให้ฝ่าบาทหวั่นไหวได้อย่างไรกัน
“เจ้านี่ก็แปลก ข้าพูดเรื่องน่าเครียดอยู่แต่เจ้ากลับยิ้มออก”
“ข้าถึงได้บอกเจ้ายังไงละ มัสอา หากเจ้ามีความรัก เจ้าจะไม่พูดเช่นนั้นออกมา หากเจ้าเกิดมีใจผูกจิตคิดสิเน่หาสตรีนางใด เจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำ”
“พูดอะไรนะ ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย” มัสอามองตามหลังสหายที่เดินจากไป ทิ้งคำถามแปลกๆ ไว้ให้คิด ต่อให้เข้าใจก็สุดรู้แน่แท้ว่าจะมีผู้อื่นเห็นชอบกับการกระทำของฝ่าบาท
“มายา ข้าคิดว่าข้าจะหนีอีกสักหน”
“ทรงคิดดีแล้วหรือเพคะ อีกอย่างฝ่าบาทบันนาตุกะ พระองค์ต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าหญิงให้เสด็จตามลำพังแน่” มายาออกความคิด เวลานี้แม้แต่จะกระดิกตัวออกจากพระตำหนักยังไม่อาจกระทำได้เลย
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทหารมากมายก็จริงแต่จะมีใครรู้ว่าที่นี่มีอุโมงค์ลับ”
“อุโมงค์ จริงด้วยเพคะ ทำไมมายาถึงคิดไม่ถึงนะ” เจ้าหญิงแอนนาริตาแย้มพระสรวลอย่างมีความหวัง อุโมงค์ลับที่ว่าเป็นสุสานฝั่งพระศพของกษัตริย์ในยุดก่อนๆ นางชอบวิ่งเข้ามาเล่นซ่อนหากับพระเชษฐาอยู่บ่อยๆ เพราะความคิดการไกลของกษัตริย์องค์ก่อนที่วางแผนสร้างอุโมงค์ไว้เป็นที่หลบภัย บางทีพระเชษฐาของนางอาจจะกำลังทรงรอนางอยู่ที่นั่นก็เป็นได้
สายธาราไหลผ่านไปตามกระแสทิศทาง จากเบื้องบนที่เป็นนภาสูงลงสู่เบื้องล่างที่เป็นเพียงสายธาราไม่ใหญ่มาก ร่างของคนสองคนกำลังนอนสลบยังพื้นหญ้าใกล้ลำธารด้วยเพราะบาดแผลที่ได้รับจากการทำศึกสงครามทำให้ทั้งสองสลบยังไม่ฟื้น แสงแดดสาดส่องเข้ามาต้อนรับอรุณวันใหม่
“เราอยากไปเดินเล่นในอุทยาน และไม่ต้องมีใครตามเรามา” เจ้าหญิงแอนนี่เชียอยากอยู่เพียงลำพัง หลายวันมานี้ข่าวคราวของพระเชษฐาดูเงียบไปและนางก็รู้ด้วยว่าเหตุที่พระเชษฐายังไม่ยอมเสด็จกลับมาเพราะยังประทับที่เซนารักนั้นกับผู้ใด หากไม่ใช่เพื่อเจ้าหญิงแอนนาริตา สายพระเนตรล่องลอยไปตามพรรณดอกไม้นาๆ ชนิด นึกถึงพระพักตร์ของเจ้าชายอานามานัสที่นางเองก็ไม่ได้รับข่าวคราวเลยหลังจากที่สงครามยุติลง พระองค์จะทรงเป็นเช่นใดบ้างสุดที่ใจจะรู้ได้ เสียงน้ำตกให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำจนอยากเดินไปให้เห็นแม้จะไม่ชอบน้ำเพราะเคยถูกทำร้ายให้จมน้ำ แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นสอนให้นางได้รู้ว่านางไม่ได้อยู่เพียงลำพังยังมีพระเชษฐาคอยอยู่เคียงข้างนาง ฝีพระบาทย่างเดินไปตามเส้นทางที่ล้อมด้วยโขดหินเก่า เห็นน้ำตกไกลๆ ยิ่งอยากเดินไปให้ถึง อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเขตของบันนาตุกะ แม้จะเป็นน้ำตกที่ต่อมาจากเซนารักก็ตามแต่ข้าศึกคงหามีผู้ใดหนีออกมาถึงที่แห่งนี้ได้
“สายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำ อย่างนี้นี่เองที่เจ้าพี่อัสมันทรงรักใคร่และหลงใหลในเจ้าหญิงแอนนาริตาเพราะพระองค์ทรงเย็นยะเยือกราวสายน้ำแต่ให้ความชุ่มฉ่ำทุกครั้งที่ได้ชิดใกล้” เจ้าหญิงแอนนี่เชียทรงพรรณนา สายพระเนตรกว้างมองออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นบางสิ่งที่ผิดปรกติ
“เอ๊ะ นั่นมัน” แอนนี่เชียไม่กล้าคิดว่าศพที่นางเห็นจะใช่ศพของข้าศึกเซนารักหรือหากเป็นศพของทหารบันนาตุกะ แสดงว่าผู้ร้ายยังอยู่แถวนี้ วรกายเล็กลุกขึ้นยืนนิ่งเตรียมพร้อมจะวิ่งหนีแต่แล้วก็กลับนึกอยากเห็นหน้าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั่น
“ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองบริวารของพระองค์ด้วย บ่าวแค่จะช่วยคนเจ็บถ้าหากพวกเขายังมีชีวิต ได้โปรดคุ้มครองและปกป้องบ่าวผู้จงรักของพระองค์ด้วย” เจ้าหญิงแอนนี่เชียอธิฐานในใจก่อนจะทำตัวกล้าหาญเดินเข้าไปยังร่างที่สวมชุดทหารหนาแน่นทั้งสองคน หากตรงนี้คือแม่น้ำลึกป่านนี้สองร่างคงจมอยู่ใต้น้ำไปแล้วไม่ได้มานอนแผ่อยู่บนโขดหินอยู่อย่างนี้แน่ เมื่อเดินมาถึงก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ไม่กล้าจับต้องก่อนจะส่งเสียงเรียกทหารสองนายนั่น ไร้เสียงตอบจากใบหน้าของแอนนี่เชียซีดขึ้นเมื่อทรงมองอาภรณ์ของทหารอีกคนที่นอนหน้าคว่ำอยู่ อาภรณ์เช่นนี้เหมือนนางเคยเห็นที่ใดมาก่อนหากแต่ยังนึกไม่ออกว่ามันคือที่ใด
ทหารที่นอนข้างๆ อีกคนเริ่มรู้สึกตัว แอนนี่เชียทำท่าจะลุกหนีเพราะกลัวว่าจะถูกทหารคนนั้นทำร้ายแต่แล้วก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจที่ได้เห็นหน้า
“เจ้าคือองครักษ์ของเจ้าชายอานามานัสใช่หรือไม่” ชารีฟทำความเคารพก่อนจะเอามือมาแตะที่บาดแผลของตัวเอง เพิ่งรู้สึกเจ็บก็เดี๋ยวนี้เอง
“ตามสบายเถอะ ไม่ต้องมีพิธีการหรอก เจ้าบาดเจ็บแล้วนั่น ใครเล่า เจ้าพาใครมาด้วย” ชารีฟมองไปยังร่างที่นอนหน้าคว่ำก่อนจะรีบดึงร่างนั้นขึ้นมานอนหงาย ทันทีที่ได้เห็นหน้าประจักษ์แก่สายตาของแอนนี่เชีย ดวงพระเนตรกลับเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจเป็นที่สุด
“เจ้าชายอานามานัส”
ดวงยิหวาแห่งราชันย์ ตอนที่ 13
“เจ้าชายฟาล์วเล็มส่งทหารมากราบทูลถามฝ่าบาทว่าจะเสด็จกลับไปพร้อมกับพระองค์หรือไม่”
ยัซซินถาม เช้านี้ดูฝ่าบาทของตนไม่สดใสเหมือนอย่างเคย แม้จะมีแสงแดดออกมาทักทายอยู่บ้างหากแต่พระพักตร์บึ้งตึงนั้นกลับไม่ยินดียินร้ายกับสภาพแวดล้อมที่กำลังทักทายพระองค์อยู่
“เรายังไม่อยากกลับ ตราบใดที่แอนนาริตายังไม่หายโกรธเรา ตราบใดที่นางยังไม่เข้าใจเรา เราคงไม่อาจไปไหนได้”
“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมจะบอกให้ทหารนำคำทูลของฝ่าบาทไปกราบทูลเจ้าชายฟาล์วเล็ม” ยัซซินกล่าวก่อนขอตัวไปทำงานต่อ มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางและในฐานะองครักษ์แห่งฝ่าบาทก็ต้องทำตามนโยบายของฝ่าบาทที่ต้องการฟื้นฟูเซนารักให้กลับมาเหมือนเดิม
“ข้าไม่เข้าใจฝ่าบาทจริงๆ” มัสอาเดินมาคุยกับยัซซินโดยนั่งครุ่นคิดอยู่หลายราตรีก็ยังไม่หายข้องใจในเรื่องเกี่ยวกับฝ่าบาท
“เป็นเพราะเจ้าไม่เคยมีความรักถึงได้เข้าใจยากนัก”
“ความรักอย่างนั้นหรือแต่นางเป็นเชลยศึก” มัสอาไม่วายเถียง
“เชลยผู้สูงศักดิ์มากกว่า เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงเป็นที่หมายตาของเจ้าชายทุกพระองค์ไม่เว้นแม้แต่ฝ่าบาทของเรา ความหอมหวานในตัวนางประทับใจฝ่าบาทไม่รู้ลืม อาจเป็นเพราะข้าอยู่ถวายการรับใช้ฝ่าบาทมาเนินนานจึงได้รู้ว่าฝ่าบาททรงไม่สนพระทัยสตรีนางใดนอกจากเจ้าหญิงแอนนาริตาเพียงพระองค์เดียว”
“แล้วเรื่องจะไม่วุ่นวายหรือ ยัซซิน ตอนนี้เจ้าหญิงก็เป็นเพียงเชลย” ยัซซินยิ้ม
“จะไปยากอะไรเล่า ขั้นแรกก็เอาเชลยมาเป็นนางสนม ต่อมาค่อยขยับมาเป็นชายาก็ไม่ถือว่าเสียหาย”
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร พูดเหมือนส่งเสริมให้ฝ่าบาททรงยกย่องนางเชลยผู้นั้น” ยัซซินยิ้ม เอามือขึ้นกอดอกตัวเองนึกถึงโฉมงามที่เขาเองก็ติดใจ ขนาดมายาเขายังอยากครอบครองแล้วเจ้าหญิงแอนนาริตาเล่าจะไม่ทรงทำให้ฝ่าบาทหวั่นไหวได้อย่างไรกัน
“เจ้านี่ก็แปลก ข้าพูดเรื่องน่าเครียดอยู่แต่เจ้ากลับยิ้มออก”
“ข้าถึงได้บอกเจ้ายังไงละ มัสอา หากเจ้ามีความรัก เจ้าจะไม่พูดเช่นนั้นออกมา หากเจ้าเกิดมีใจผูกจิตคิดสิเน่หาสตรีนางใด เจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ฝ่าบาททรงทำ”
“พูดอะไรนะ ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย” มัสอามองตามหลังสหายที่เดินจากไป ทิ้งคำถามแปลกๆ ไว้ให้คิด ต่อให้เข้าใจก็สุดรู้แน่แท้ว่าจะมีผู้อื่นเห็นชอบกับการกระทำของฝ่าบาท
“มายา ข้าคิดว่าข้าจะหนีอีกสักหน”
“ทรงคิดดีแล้วหรือเพคะ อีกอย่างฝ่าบาทบันนาตุกะ พระองค์ต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าหญิงให้เสด็จตามลำพังแน่” มายาออกความคิด เวลานี้แม้แต่จะกระดิกตัวออกจากพระตำหนักยังไม่อาจกระทำได้เลย
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทหารมากมายก็จริงแต่จะมีใครรู้ว่าที่นี่มีอุโมงค์ลับ”
“อุโมงค์ จริงด้วยเพคะ ทำไมมายาถึงคิดไม่ถึงนะ” เจ้าหญิงแอนนาริตาแย้มพระสรวลอย่างมีความหวัง อุโมงค์ลับที่ว่าเป็นสุสานฝั่งพระศพของกษัตริย์ในยุดก่อนๆ นางชอบวิ่งเข้ามาเล่นซ่อนหากับพระเชษฐาอยู่บ่อยๆ เพราะความคิดการไกลของกษัตริย์องค์ก่อนที่วางแผนสร้างอุโมงค์ไว้เป็นที่หลบภัย บางทีพระเชษฐาของนางอาจจะกำลังทรงรอนางอยู่ที่นั่นก็เป็นได้
สายธาราไหลผ่านไปตามกระแสทิศทาง จากเบื้องบนที่เป็นนภาสูงลงสู่เบื้องล่างที่เป็นเพียงสายธาราไม่ใหญ่มาก ร่างของคนสองคนกำลังนอนสลบยังพื้นหญ้าใกล้ลำธารด้วยเพราะบาดแผลที่ได้รับจากการทำศึกสงครามทำให้ทั้งสองสลบยังไม่ฟื้น แสงแดดสาดส่องเข้ามาต้อนรับอรุณวันใหม่
“เราอยากไปเดินเล่นในอุทยาน และไม่ต้องมีใครตามเรามา” เจ้าหญิงแอนนี่เชียอยากอยู่เพียงลำพัง หลายวันมานี้ข่าวคราวของพระเชษฐาดูเงียบไปและนางก็รู้ด้วยว่าเหตุที่พระเชษฐายังไม่ยอมเสด็จกลับมาเพราะยังประทับที่เซนารักนั้นกับผู้ใด หากไม่ใช่เพื่อเจ้าหญิงแอนนาริตา สายพระเนตรล่องลอยไปตามพรรณดอกไม้นาๆ ชนิด นึกถึงพระพักตร์ของเจ้าชายอานามานัสที่นางเองก็ไม่ได้รับข่าวคราวเลยหลังจากที่สงครามยุติลง พระองค์จะทรงเป็นเช่นใดบ้างสุดที่ใจจะรู้ได้ เสียงน้ำตกให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำจนอยากเดินไปให้เห็นแม้จะไม่ชอบน้ำเพราะเคยถูกทำร้ายให้จมน้ำ แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นสอนให้นางได้รู้ว่านางไม่ได้อยู่เพียงลำพังยังมีพระเชษฐาคอยอยู่เคียงข้างนาง ฝีพระบาทย่างเดินไปตามเส้นทางที่ล้อมด้วยโขดหินเก่า เห็นน้ำตกไกลๆ ยิ่งอยากเดินไปให้ถึง อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นเขตของบันนาตุกะ แม้จะเป็นน้ำตกที่ต่อมาจากเซนารักก็ตามแต่ข้าศึกคงหามีผู้ใดหนีออกมาถึงที่แห่งนี้ได้
“สายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำ อย่างนี้นี่เองที่เจ้าพี่อัสมันทรงรักใคร่และหลงใหลในเจ้าหญิงแอนนาริตาเพราะพระองค์ทรงเย็นยะเยือกราวสายน้ำแต่ให้ความชุ่มฉ่ำทุกครั้งที่ได้ชิดใกล้” เจ้าหญิงแอนนี่เชียทรงพรรณนา สายพระเนตรกว้างมองออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นบางสิ่งที่ผิดปรกติ
“เอ๊ะ นั่นมัน” แอนนี่เชียไม่กล้าคิดว่าศพที่นางเห็นจะใช่ศพของข้าศึกเซนารักหรือหากเป็นศพของทหารบันนาตุกะ แสดงว่าผู้ร้ายยังอยู่แถวนี้ วรกายเล็กลุกขึ้นยืนนิ่งเตรียมพร้อมจะวิ่งหนีแต่แล้วก็กลับนึกอยากเห็นหน้าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั่น
“ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองบริวารของพระองค์ด้วย บ่าวแค่จะช่วยคนเจ็บถ้าหากพวกเขายังมีชีวิต ได้โปรดคุ้มครองและปกป้องบ่าวผู้จงรักของพระองค์ด้วย” เจ้าหญิงแอนนี่เชียอธิฐานในใจก่อนจะทำตัวกล้าหาญเดินเข้าไปยังร่างที่สวมชุดทหารหนาแน่นทั้งสองคน หากตรงนี้คือแม่น้ำลึกป่านนี้สองร่างคงจมอยู่ใต้น้ำไปแล้วไม่ได้มานอนแผ่อยู่บนโขดหินอยู่อย่างนี้แน่ เมื่อเดินมาถึงก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมา ไม่กล้าจับต้องก่อนจะส่งเสียงเรียกทหารสองนายนั่น ไร้เสียงตอบจากใบหน้าของแอนนี่เชียซีดขึ้นเมื่อทรงมองอาภรณ์ของทหารอีกคนที่นอนหน้าคว่ำอยู่ อาภรณ์เช่นนี้เหมือนนางเคยเห็นที่ใดมาก่อนหากแต่ยังนึกไม่ออกว่ามันคือที่ใด
ทหารที่นอนข้างๆ อีกคนเริ่มรู้สึกตัว แอนนี่เชียทำท่าจะลุกหนีเพราะกลัวว่าจะถูกทหารคนนั้นทำร้ายแต่แล้วก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจที่ได้เห็นหน้า
“เจ้าคือองครักษ์ของเจ้าชายอานามานัสใช่หรือไม่” ชารีฟทำความเคารพก่อนจะเอามือมาแตะที่บาดแผลของตัวเอง เพิ่งรู้สึกเจ็บก็เดี๋ยวนี้เอง
“ตามสบายเถอะ ไม่ต้องมีพิธีการหรอก เจ้าบาดเจ็บแล้วนั่น ใครเล่า เจ้าพาใครมาด้วย” ชารีฟมองไปยังร่างที่นอนหน้าคว่ำก่อนจะรีบดึงร่างนั้นขึ้นมานอนหงาย ทันทีที่ได้เห็นหน้าประจักษ์แก่สายตาของแอนนี่เชีย ดวงพระเนตรกลับเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งด้วยความตกใจเป็นที่สุด
“เจ้าชายอานามานัส”