เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 60

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 58-59 http://ppantip.com/topic/30892003

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl



ตอนที่ 60




                   พินทุมณีเทวีทรงผุดขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ดวงเนตรเป็นประกายแวววาวนักเมื่อเรื่องสมดังฤทัย มีนางเอื้องนั่งหมอบอยู่หน้าพระแท่นเล่าถวายว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน


                   “นางน้องหน้าโง่ หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้น! กล้าทำขนาดนี้มิเกรงอาญา”


                   “นั่นสิเพคะ นึกไม่ถึงเลยว่าพระขนิษฐาจะกล้าทำเยี่ยงนี้ ถ้าท่านภูวิษะรู้เข้าจะว่ากระไรบ้าง ท่าจะพิโรธมากนะเพคะ” บัวลออเริ่มเห็นช่องทางใหม่ๆ


                  “ยังก่อนบัวลออ อย่าให้ภูวิษะรู้เด็ดขาด  ปล่อยให้นำทัพไปทั้งอย่างนั้นแล  ข้าก็อยากรู้ว่าอาคมของพ่อหมอจะขมังแค่ไหน?”


                  “ไม่น่าจะพลาดนะเพคะ  เรื่องสมุนไพรพ่อหมอก็เป็นเอก  มิเช่นนั้นแม่กุสุมาลย์จะถึงขั้นเสียโฉมกันรึเพคะ” เครื่องประทินโฉมเป็นหนึ่งในพิษความริษยาที่มักจะประทานให้หญิงอื่น แต่มิได้มีผลร้ายแรงเท่าที่เกิดกับกุสมาลย์  ผงพิษเหล่านั้นก็ได้รับมาจากหมอผีชาวกะลอผู้นี้นั่นเอง  


               ผงพิษนั้นถูกผสมลงในเครื่องประทินโฉมอย่างง่ายดาย  เพราะเครื่องสำอางโบราณนั้นเป็นผงสีสำหรับผัดหน้าอยู่แล้ว การที่จะผงอื่นผสมเพิ่มลงไปจึงมิมีผู้ใดผิดสังเกต ในกาลสมัยนั้นมีแม่หญิงหลายนางที่เสียชีวิตด้วยเหตุแพ้เครื่องประทินโฉม  เนื่องด้วยสมุนไพร หรือไม้ที่นำมาทำนั้นให้ผลเพียงแค่เกิดสีชนิดเดียวกัน แต่ไม่ได้มีสรรพคุณบำรุงรักษาหน้าเหมือนกับสมุนไพรที่ใช้ทำเครื่องสำอางนั่นเอง


                  “บัวลออเจ้าอย่าได้พูดถึงกุสุมาลย์หรือกล่องประทินโฉมนั่นอีก” สีพระพักตร์สลดลงทันที นางคนสนิทจึงค่อยหุบปากลง


                  “พระเทวีอย่าคิดมากเพคะ  ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าแม่กุสุมาลย์จะแพ้ผงคันถึงขั้นนั้น  ผู้อื่นอย่างมากก็ผื่นขึ้นไม่กี่วันก็หาย”


                  “พอที! บอกให้หุบปาก!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดนัก จนนางกำนัลเข้าหน้าไม่ติด


                  “ข้ามิได้ตั้งใจ เรื่องนี้เป็นบาปติดในใจของข้า ไม่รู้จะชดใช้ให้นางอย่างไร พระนมกรรณิการ์ก็ไปอยู่เสียไกล อยู่ๆ จะเข้าไปชดเชยให้ก็ทำมิได้เรื่องคงแดง  ข้ามิอยากให้ผู้ใดล่วงรู้เข้า...เจ้าก็ดูเอาเสียสิ  แค่ข่าวลือที่เกิดแก่มหิตาผู้คนก็นินทาว่าร้ายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอยู่แล้ว  หากมีใครรู้เข้าว่าข้ามีส่วนร่วมเป็นผู้มอบกล่องประทินโฉมให้แก่มหิตาเข้าละก็....ข้าจะอยู่ได้อย่างไร  เสด็จพี่คงเห็นข้าเป็นหญิงชั่วช้า” ความทุกข์อันเกิดแต่บาปกรรมทำให้พระนางหวาดกลัวทุกครั้งที่ชื่อของกุสุมาลย์ถูกเอ่ยขึ้นมา


                 “อันหญิงเรามีหน้าตาเป็นด่านแรก...แม้มิได้ออกเรือน แต่ใครเล่าจะอยากมีหน้าตาพิกลพิการเช่นนั้น”


                 “ถ้าเช่นนั้น เสด็จไปทำบุญให้กุสุมาลย์ไหมเพคะ”


                  “บัวลออนางโง่เง่า ทำบุญให้แล้วเป็นอย่างไรเล่า นางคืนกลับมาได้รึ? ถึงข้ามิได้ตั้งใจแต่ข้ามิอาจลบความรู้สึกผิดบาปที่ติดค้างต่อนางได้  ข้ามิได้อยากให้นางอภัยแก่ข้า  ข้าแค่ต้องการลืมเลือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น  ขืนไปทำบุญก็ยิ่งเท่ากับรับว่าตนเองผิดสิ  มันมิใช่ความผิดของข้า  แต่เป็นมหิตาต่างหากเล่า!!! ต้องนางสิควรจะไปขอขมากุมาลย์มิใช่ข้าเสียหน่อย” หัตถ์เรียวสั่นเทา ด้วยมิอาจควบคุมความกลัวในพระทัยได้  


                  ตลอดทิวานั้นพินทุมณีเทวีมิอาจเป็นสุขได้ ทรงจมอยู่กับความหวาดหวั่น ความกลัวในความผิดบาป จนปวดเศียร  ผู้ใดเข้ามาเอาพระทัยก็เข้าพระพักตร์ไม่ติดจนต้องล่าถอยกันเป็นแถบ  เหล่านางกำนัลต่างยกให้เป็นความผิดของบัวลออผู้เดียว นางมิควรเอ่ยนามของผู้ดับสูญ


                 ไกลออกไปยังอุทยานหลวงนางผู้ไร้ชีวิตนั่งพับเพียบอยู่ริมบึงน้ำใหญ่  นัยน์ตานั้นลุกวาวหลังจากมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกน้ำ หญิงงามกำมือแน่นริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง


                 “นางหาได้สำนึกไม่!! ที่แท้ก็กลัวว่าตนเองจะแปดเปื้อนไปด้วยเท่านั้น  วิทยเทพนางต้องได้รับกรรม! ท่านได้ยินไหมนางสมควรได้รับกรรม!!”


                 “พินทุมณีเทวีกำลังเสวยกรรมที่องค์เองกระทำต่อแม่และต่อเมืองอยู่...เพียงแต่กรรมนี้ยังดำเนินไปไม่ถึงที่สิ้นสุด  เพียงแค่รอเวลาชำระความทั้งมวล  สิ่งที่แม่เห็นเป็นเพียงแค่อดีตอันล่วงผ่านมิใช่กาลปัจจุบันของนาง”


                 “ปัจจุบันนางเป็นเช่นไร? อยู่หนใด ได้รับการตอบแทนด้วยทุกข์เข็ญเพียงใด?” หญิงงามจ้องหน้าเทพบุตรตรงหน้าคาดคั้นเอาความ  คำตอบที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ


                 “ย่อมได้รับสมควรแก่บุญและกรรมที่กระทำ  นางได้รับครบถ้วนบริบูรณ์” คู่สนทนาทอดถอนออกมาดังๆ ให้รู้ว่ายังไม่พึงพอใจ


                 “อย่าเพิ่ง...แม่อย่าเพิ่งได้ไต่สวนเราสิ”


                 “งั้นก็บอกมาเถิดหนา อย่าช้า”


                 “ความนี้แม่ต้องได้รู้แน่ แต่ยังมิใช่เวลานี้  ขอให้เราได้ทบทวนกระบวนความเสียก่อน  ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้วเราจะพาแม่ไปพบนางดีหรือไม่” หญิงงามไม่ตอบแต่ดวงตาวาวนั้นแสดงว่ารับรู้


                 “ตอนนี้แม่ช่วยเราสักนิดเถิด  บอกเรา...เหตุใดหญิงที่มีวรรณะสูงศักดิ์ ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยม จึงกระทำตัวต่ำทราม มีความคิดอ่านอันมืดบอดเช่นนี้   หนำซ้ำยังเอาความริษยาเป็นที่ตั้ง  ดำเนินตามโมหะกิเลส  ให้ร้ายได้กระทั่งพี่น้องร่วมอุทรณ์เยี่ยงนี้?”


                 ในชั่วอึดใจสีหน้าเคียดแค้นเมื่อครู่ก็มลายหายไป  กุสุมาลย์นั่งนิ่งตรึกตรองโฉมตรูกะพริบตาสองสามครั้งทบทวนความคิด  ไม่นานนักคิ้วโก่งงามก็ขมวดมุ่น  นางถอนหายใจทั้งที่ไม่มีลมปรานนั้นแล้ว จึงค่อยเอ่ยออกมาช้าๆ


                   “ข้าคิดว่า....ข้าพอจะรู้ทำไมนางจึงกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้” เมื่อกล่าวแล้วก็สบตาวิทยเทพ


                  “เพียงแต่นี่เป็นความคิดอ่านของข้าเท่านั้น  มิอาจจะกล่าวสรุปความได้  ข้าเป็นเพียงนางกำนัลก็ได้แต่มองอย่างนางกำนัลเท่านั้น  อีกทั้งมิใช่นางกำนัลประจำตำหนักนาง บางที..ท่านไปถามพระเทวีอื่นๆ อาจจะได้ความมากกว่าข้าก็เป็นได้” ใบหน้าหล่อเหลาอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อได้ฟังคำตอบ


                  “แม่หญิงช่างถ่อมตนนัก  มีแต่หญิงผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่หลีกเลี่ยงจะวิจารณ์ผู้อื่นได้เช่นแม่”


                 “ข้ามิได้หลีกเลี่ยง  เพียงแต่ข้า...ข้าไม่แน่ใจ  ข้าเป็นผู้คุมแค้นคำตอบของข้าอาจจะทำให้วินิจฉัยของท่านไขว้เขวก็เป็นได้ ”


                 “แม่กังวลว่าพินทุมณีจะได้รับบาปกรรมสาหัสกว่าที่ควรได้กระนั้นรึ?” ผู้ถามอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงที่มีเมตตาเพียงนี้ปล่อยวางกับพินทุมณีเทวีได้  หากแต่จ้องจองเวรมหิตาเทวีไม่เลิกรา


                 “มิใช่!! นางจะได้รับโทษมากกว่าหรือน้อยกว่าเดิมก็หาใช่เรื่องของข้า มีแต่จะช่วยส่งเสริมท่านให้ซ้ำนางให้จงหนักเสียด้วยซ้ำ  แต่ข้ากลัวว่าหากให้ความเอียงเล่กระเท่ไปจากข้อเท็จจริง  ข้าสิต้องรับบาปกับสิ่งที่กล่าวออกไป  แค่นี้ข้าก็แย่แล้ว ไม่ต้องการก่อวจีกรรม มิใช่เพื่อผู้ใดแต่เพื่อตัวข้าเองต่างหากเล่า  อย่าได้คิดว่าข้าเมตตานางนักเลย”


                 “ฮ่า ฮ่า ฮ่า  ดี! คิดดี  แม่รู้จักรักตนเอง  แม่ก็จะไม่ทำสิ่งใดให้นำตนเองไปสู่ความเลวร้าย” วิมุตติหัวเราะเสียงดังอย่างรื่นเริง  รู้สึกทึ่งในความคิดอ่านของนางนัก  ในขณะที่หญิงงามไม่เข้าใจว่ากึ่งเทพจะขำสิ่งใดนักหนา


                 “ผู้ดีย่อมไม่พูดพล่อยๆ จะเจรจาเรื่องใดก็รับรองคำพูดตนเองได้  แม่ได้รับการอบรมมาดีนัก” หญิงงามได้รับคำชมก็ตวัดตามอง ก่อนจะค่อยแย้มยิ้มออกมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่