ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 58-59
http://ppantip.com/topic/30892003
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 60
พินทุมณีเทวีทรงผุดขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ดวงเนตรเป็นประกายแวววาวนักเมื่อเรื่องสมดังฤทัย มีนางเอื้องนั่งหมอบอยู่หน้าพระแท่นเล่าถวายว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“นางน้องหน้าโง่ หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้น! กล้าทำขนาดนี้มิเกรงอาญา”
“นั่นสิเพคะ นึกไม่ถึงเลยว่าพระขนิษฐาจะกล้าทำเยี่ยงนี้ ถ้าท่านภูวิษะรู้เข้าจะว่ากระไรบ้าง ท่าจะพิโรธมากนะเพคะ” บัวลออเริ่มเห็นช่องทางใหม่ๆ
“ยังก่อนบัวลออ อย่าให้ภูวิษะรู้เด็ดขาด ปล่อยให้นำทัพไปทั้งอย่างนั้นแล ข้าก็อยากรู้ว่าอาคมของพ่อหมอจะขมังแค่ไหน?”
“ไม่น่าจะพลาดนะเพคะ เรื่องสมุนไพรพ่อหมอก็เป็นเอก มิเช่นนั้นแม่กุสุมาลย์จะถึงขั้นเสียโฉมกันรึเพคะ” เครื่องประทินโฉมเป็นหนึ่งในพิษความริษยาที่มักจะประทานให้หญิงอื่น แต่มิได้มีผลร้ายแรงเท่าที่เกิดกับกุสมาลย์ ผงพิษเหล่านั้นก็ได้รับมาจากหมอผีชาวกะลอผู้นี้นั่นเอง
ผงพิษนั้นถูกผสมลงในเครื่องประทินโฉมอย่างง่ายดาย เพราะเครื่องสำอางโบราณนั้นเป็นผงสีสำหรับผัดหน้าอยู่แล้ว การที่จะผงอื่นผสมเพิ่มลงไปจึงมิมีผู้ใดผิดสังเกต ในกาลสมัยนั้นมีแม่หญิงหลายนางที่เสียชีวิตด้วยเหตุแพ้เครื่องประทินโฉม เนื่องด้วยสมุนไพร หรือไม้ที่นำมาทำนั้นให้ผลเพียงแค่เกิดสีชนิดเดียวกัน แต่ไม่ได้มีสรรพคุณบำรุงรักษาหน้าเหมือนกับสมุนไพรที่ใช้ทำเครื่องสำอางนั่นเอง
“บัวลออเจ้าอย่าได้พูดถึงกุสุมาลย์หรือกล่องประทินโฉมนั่นอีก” สีพระพักตร์สลดลงทันที นางคนสนิทจึงค่อยหุบปากลง
“พระเทวีอย่าคิดมากเพคะ ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าแม่กุสุมาลย์จะแพ้ผงคันถึงขั้นนั้น ผู้อื่นอย่างมากก็ผื่นขึ้นไม่กี่วันก็หาย”
“พอที! บอกให้หุบปาก!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดนัก จนนางกำนัลเข้าหน้าไม่ติด
“ข้ามิได้ตั้งใจ เรื่องนี้เป็นบาปติดในใจของข้า ไม่รู้จะชดใช้ให้นางอย่างไร พระนมกรรณิการ์ก็ไปอยู่เสียไกล อยู่ๆ จะเข้าไปชดเชยให้ก็ทำมิได้เรื่องคงแดง ข้ามิอยากให้ผู้ใดล่วงรู้เข้า...เจ้าก็ดูเอาเสียสิ แค่ข่าวลือที่เกิดแก่มหิตาผู้คนก็นินทาว่าร้ายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอยู่แล้ว หากมีใครรู้เข้าว่าข้ามีส่วนร่วมเป็นผู้มอบกล่องประทินโฉมให้แก่มหิตาเข้าละก็....ข้าจะอยู่ได้อย่างไร เสด็จพี่คงเห็นข้าเป็นหญิงชั่วช้า” ความทุกข์อันเกิดแต่บาปกรรมทำให้พระนางหวาดกลัวทุกครั้งที่ชื่อของกุสุมาลย์ถูกเอ่ยขึ้นมา
“อันหญิงเรามีหน้าตาเป็นด่านแรก...แม้มิได้ออกเรือน แต่ใครเล่าจะอยากมีหน้าตาพิกลพิการเช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้น เสด็จไปทำบุญให้กุสุมาลย์ไหมเพคะ”
“บัวลออนางโง่เง่า ทำบุญให้แล้วเป็นอย่างไรเล่า นางคืนกลับมาได้รึ? ถึงข้ามิได้ตั้งใจแต่ข้ามิอาจลบความรู้สึกผิดบาปที่ติดค้างต่อนางได้ ข้ามิได้อยากให้นางอภัยแก่ข้า ข้าแค่ต้องการลืมเลือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น ขืนไปทำบุญก็ยิ่งเท่ากับรับว่าตนเองผิดสิ มันมิใช่ความผิดของข้า แต่เป็นมหิตาต่างหากเล่า!!! ต้องนางสิควรจะไปขอขมากุมาลย์มิใช่ข้าเสียหน่อย” หัตถ์เรียวสั่นเทา ด้วยมิอาจควบคุมความกลัวในพระทัยได้
ตลอดทิวานั้นพินทุมณีเทวีมิอาจเป็นสุขได้ ทรงจมอยู่กับความหวาดหวั่น ความกลัวในความผิดบาป จนปวดเศียร ผู้ใดเข้ามาเอาพระทัยก็เข้าพระพักตร์ไม่ติดจนต้องล่าถอยกันเป็นแถบ เหล่านางกำนัลต่างยกให้เป็นความผิดของบัวลออผู้เดียว นางมิควรเอ่ยนามของผู้ดับสูญ
ไกลออกไปยังอุทยานหลวงนางผู้ไร้ชีวิตนั่งพับเพียบอยู่ริมบึงน้ำใหญ่ นัยน์ตานั้นลุกวาวหลังจากมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกน้ำ หญิงงามกำมือแน่นริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง
“นางหาได้สำนึกไม่!! ที่แท้ก็กลัวว่าตนเองจะแปดเปื้อนไปด้วยเท่านั้น วิทยเทพนางต้องได้รับกรรม! ท่านได้ยินไหมนางสมควรได้รับกรรม!!”
“พินทุมณีเทวีกำลังเสวยกรรมที่องค์เองกระทำต่อแม่และต่อเมืองอยู่...เพียงแต่กรรมนี้ยังดำเนินไปไม่ถึงที่สิ้นสุด เพียงแค่รอเวลาชำระความทั้งมวล สิ่งที่แม่เห็นเป็นเพียงแค่อดีตอันล่วงผ่านมิใช่กาลปัจจุบันของนาง”
“ปัจจุบันนางเป็นเช่นไร? อยู่หนใด ได้รับการตอบแทนด้วยทุกข์เข็ญเพียงใด?” หญิงงามจ้องหน้าเทพบุตรตรงหน้าคาดคั้นเอาความ คำตอบที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ
“ย่อมได้รับสมควรแก่บุญและกรรมที่กระทำ นางได้รับครบถ้วนบริบูรณ์” คู่สนทนาทอดถอนออกมาดังๆ ให้รู้ว่ายังไม่พึงพอใจ
“อย่าเพิ่ง...แม่อย่าเพิ่งได้ไต่สวนเราสิ”
“งั้นก็บอกมาเถิดหนา อย่าช้า”
“ความนี้แม่ต้องได้รู้แน่ แต่ยังมิใช่เวลานี้ ขอให้เราได้ทบทวนกระบวนความเสียก่อน ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้วเราจะพาแม่ไปพบนางดีหรือไม่” หญิงงามไม่ตอบแต่ดวงตาวาวนั้นแสดงว่ารับรู้
“ตอนนี้แม่ช่วยเราสักนิดเถิด บอกเรา...เหตุใดหญิงที่มีวรรณะสูงศักดิ์ ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยม จึงกระทำตัวต่ำทราม มีความคิดอ่านอันมืดบอดเช่นนี้ หนำซ้ำยังเอาความริษยาเป็นที่ตั้ง ดำเนินตามโมหะกิเลส ให้ร้ายได้กระทั่งพี่น้องร่วมอุทรณ์เยี่ยงนี้?”
ในชั่วอึดใจสีหน้าเคียดแค้นเมื่อครู่ก็มลายหายไป กุสุมาลย์นั่งนิ่งตรึกตรองโฉมตรูกะพริบตาสองสามครั้งทบทวนความคิด ไม่นานนักคิ้วโก่งงามก็ขมวดมุ่น นางถอนหายใจทั้งที่ไม่มีลมปรานนั้นแล้ว จึงค่อยเอ่ยออกมาช้าๆ
“ข้าคิดว่า....ข้าพอจะรู้ทำไมนางจึงกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้” เมื่อกล่าวแล้วก็สบตาวิทยเทพ
“เพียงแต่นี่เป็นความคิดอ่านของข้าเท่านั้น มิอาจจะกล่าวสรุปความได้ ข้าเป็นเพียงนางกำนัลก็ได้แต่มองอย่างนางกำนัลเท่านั้น อีกทั้งมิใช่นางกำนัลประจำตำหนักนาง บางที..ท่านไปถามพระเทวีอื่นๆ อาจจะได้ความมากกว่าข้าก็เป็นได้” ใบหน้าหล่อเหลาอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อได้ฟังคำตอบ
“แม่หญิงช่างถ่อมตนนัก มีแต่หญิงผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่หลีกเลี่ยงจะวิจารณ์ผู้อื่นได้เช่นแม่”
“ข้ามิได้หลีกเลี่ยง เพียงแต่ข้า...ข้าไม่แน่ใจ ข้าเป็นผู้คุมแค้นคำตอบของข้าอาจจะทำให้วินิจฉัยของท่านไขว้เขวก็เป็นได้ ”
“แม่กังวลว่าพินทุมณีจะได้รับบาปกรรมสาหัสกว่าที่ควรได้กระนั้นรึ?” ผู้ถามอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงที่มีเมตตาเพียงนี้ปล่อยวางกับพินทุมณีเทวีได้ หากแต่จ้องจองเวรมหิตาเทวีไม่เลิกรา
“มิใช่!! นางจะได้รับโทษมากกว่าหรือน้อยกว่าเดิมก็หาใช่เรื่องของข้า มีแต่จะช่วยส่งเสริมท่านให้ซ้ำนางให้จงหนักเสียด้วยซ้ำ แต่ข้ากลัวว่าหากให้ความเอียงเล่กระเท่ไปจากข้อเท็จจริง ข้าสิต้องรับบาปกับสิ่งที่กล่าวออกไป แค่นี้ข้าก็แย่แล้ว ไม่ต้องการก่อวจีกรรม มิใช่เพื่อผู้ใดแต่เพื่อตัวข้าเองต่างหากเล่า อย่าได้คิดว่าข้าเมตตานางนักเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี! คิดดี แม่รู้จักรักตนเอง แม่ก็จะไม่ทำสิ่งใดให้นำตนเองไปสู่ความเลวร้าย” วิมุตติหัวเราะเสียงดังอย่างรื่นเริง รู้สึกทึ่งในความคิดอ่านของนางนัก ในขณะที่หญิงงามไม่เข้าใจว่ากึ่งเทพจะขำสิ่งใดนักหนา
“ผู้ดีย่อมไม่พูดพล่อยๆ จะเจรจาเรื่องใดก็รับรองคำพูดตนเองได้ แม่ได้รับการอบรมมาดีนัก” หญิงงามได้รับคำชมก็ตวัดตามอง ก่อนจะค่อยแย้มยิ้มออกมา
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 60
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 60
พินทุมณีเทวีทรงผุดขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ดวงเนตรเป็นประกายแวววาวนักเมื่อเรื่องสมดังฤทัย มีนางเอื้องนั่งหมอบอยู่หน้าพระแท่นเล่าถวายว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“นางน้องหน้าโง่ หลงผู้ชายจนโงหัวไม่ขึ้น! กล้าทำขนาดนี้มิเกรงอาญา”
“นั่นสิเพคะ นึกไม่ถึงเลยว่าพระขนิษฐาจะกล้าทำเยี่ยงนี้ ถ้าท่านภูวิษะรู้เข้าจะว่ากระไรบ้าง ท่าจะพิโรธมากนะเพคะ” บัวลออเริ่มเห็นช่องทางใหม่ๆ
“ยังก่อนบัวลออ อย่าให้ภูวิษะรู้เด็ดขาด ปล่อยให้นำทัพไปทั้งอย่างนั้นแล ข้าก็อยากรู้ว่าอาคมของพ่อหมอจะขมังแค่ไหน?”
“ไม่น่าจะพลาดนะเพคะ เรื่องสมุนไพรพ่อหมอก็เป็นเอก มิเช่นนั้นแม่กุสุมาลย์จะถึงขั้นเสียโฉมกันรึเพคะ” เครื่องประทินโฉมเป็นหนึ่งในพิษความริษยาที่มักจะประทานให้หญิงอื่น แต่มิได้มีผลร้ายแรงเท่าที่เกิดกับกุสมาลย์ ผงพิษเหล่านั้นก็ได้รับมาจากหมอผีชาวกะลอผู้นี้นั่นเอง
ผงพิษนั้นถูกผสมลงในเครื่องประทินโฉมอย่างง่ายดาย เพราะเครื่องสำอางโบราณนั้นเป็นผงสีสำหรับผัดหน้าอยู่แล้ว การที่จะผงอื่นผสมเพิ่มลงไปจึงมิมีผู้ใดผิดสังเกต ในกาลสมัยนั้นมีแม่หญิงหลายนางที่เสียชีวิตด้วยเหตุแพ้เครื่องประทินโฉม เนื่องด้วยสมุนไพร หรือไม้ที่นำมาทำนั้นให้ผลเพียงแค่เกิดสีชนิดเดียวกัน แต่ไม่ได้มีสรรพคุณบำรุงรักษาหน้าเหมือนกับสมุนไพรที่ใช้ทำเครื่องสำอางนั่นเอง
“บัวลออเจ้าอย่าได้พูดถึงกุสุมาลย์หรือกล่องประทินโฉมนั่นอีก” สีพระพักตร์สลดลงทันที นางคนสนิทจึงค่อยหุบปากลง
“พระเทวีอย่าคิดมากเพคะ ผู้ใดจะไปรู้กันเล่าว่าแม่กุสุมาลย์จะแพ้ผงคันถึงขั้นนั้น ผู้อื่นอย่างมากก็ผื่นขึ้นไม่กี่วันก็หาย”
“พอที! บอกให้หุบปาก!!” สุรเสียงเกรี้ยวกราดนัก จนนางกำนัลเข้าหน้าไม่ติด
“ข้ามิได้ตั้งใจ เรื่องนี้เป็นบาปติดในใจของข้า ไม่รู้จะชดใช้ให้นางอย่างไร พระนมกรรณิการ์ก็ไปอยู่เสียไกล อยู่ๆ จะเข้าไปชดเชยให้ก็ทำมิได้เรื่องคงแดง ข้ามิอยากให้ผู้ใดล่วงรู้เข้า...เจ้าก็ดูเอาเสียสิ แค่ข่าวลือที่เกิดแก่มหิตาผู้คนก็นินทาว่าร้ายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอยู่แล้ว หากมีใครรู้เข้าว่าข้ามีส่วนร่วมเป็นผู้มอบกล่องประทินโฉมให้แก่มหิตาเข้าละก็....ข้าจะอยู่ได้อย่างไร เสด็จพี่คงเห็นข้าเป็นหญิงชั่วช้า” ความทุกข์อันเกิดแต่บาปกรรมทำให้พระนางหวาดกลัวทุกครั้งที่ชื่อของกุสุมาลย์ถูกเอ่ยขึ้นมา
“อันหญิงเรามีหน้าตาเป็นด่านแรก...แม้มิได้ออกเรือน แต่ใครเล่าจะอยากมีหน้าตาพิกลพิการเช่นนั้น”
“ถ้าเช่นนั้น เสด็จไปทำบุญให้กุสุมาลย์ไหมเพคะ”
“บัวลออนางโง่เง่า ทำบุญให้แล้วเป็นอย่างไรเล่า นางคืนกลับมาได้รึ? ถึงข้ามิได้ตั้งใจแต่ข้ามิอาจลบความรู้สึกผิดบาปที่ติดค้างต่อนางได้ ข้ามิได้อยากให้นางอภัยแก่ข้า ข้าแค่ต้องการลืมเลือนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น ขืนไปทำบุญก็ยิ่งเท่ากับรับว่าตนเองผิดสิ มันมิใช่ความผิดของข้า แต่เป็นมหิตาต่างหากเล่า!!! ต้องนางสิควรจะไปขอขมากุมาลย์มิใช่ข้าเสียหน่อย” หัตถ์เรียวสั่นเทา ด้วยมิอาจควบคุมความกลัวในพระทัยได้
ตลอดทิวานั้นพินทุมณีเทวีมิอาจเป็นสุขได้ ทรงจมอยู่กับความหวาดหวั่น ความกลัวในความผิดบาป จนปวดเศียร ผู้ใดเข้ามาเอาพระทัยก็เข้าพระพักตร์ไม่ติดจนต้องล่าถอยกันเป็นแถบ เหล่านางกำนัลต่างยกให้เป็นความผิดของบัวลออผู้เดียว นางมิควรเอ่ยนามของผู้ดับสูญ
ไกลออกไปยังอุทยานหลวงนางผู้ไร้ชีวิตนั่งพับเพียบอยู่ริมบึงน้ำใหญ่ นัยน์ตานั้นลุกวาวหลังจากมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกน้ำ หญิงงามกำมือแน่นริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง
“นางหาได้สำนึกไม่!! ที่แท้ก็กลัวว่าตนเองจะแปดเปื้อนไปด้วยเท่านั้น วิทยเทพนางต้องได้รับกรรม! ท่านได้ยินไหมนางสมควรได้รับกรรม!!”
“พินทุมณีเทวีกำลังเสวยกรรมที่องค์เองกระทำต่อแม่และต่อเมืองอยู่...เพียงแต่กรรมนี้ยังดำเนินไปไม่ถึงที่สิ้นสุด เพียงแค่รอเวลาชำระความทั้งมวล สิ่งที่แม่เห็นเป็นเพียงแค่อดีตอันล่วงผ่านมิใช่กาลปัจจุบันของนาง”
“ปัจจุบันนางเป็นเช่นไร? อยู่หนใด ได้รับการตอบแทนด้วยทุกข์เข็ญเพียงใด?” หญิงงามจ้องหน้าเทพบุตรตรงหน้าคาดคั้นเอาความ คำตอบที่ได้รับมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ
“ย่อมได้รับสมควรแก่บุญและกรรมที่กระทำ นางได้รับครบถ้วนบริบูรณ์” คู่สนทนาทอดถอนออกมาดังๆ ให้รู้ว่ายังไม่พึงพอใจ
“อย่าเพิ่ง...แม่อย่าเพิ่งได้ไต่สวนเราสิ”
“งั้นก็บอกมาเถิดหนา อย่าช้า”
“ความนี้แม่ต้องได้รู้แน่ แต่ยังมิใช่เวลานี้ ขอให้เราได้ทบทวนกระบวนความเสียก่อน ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้วเราจะพาแม่ไปพบนางดีหรือไม่” หญิงงามไม่ตอบแต่ดวงตาวาวนั้นแสดงว่ารับรู้
“ตอนนี้แม่ช่วยเราสักนิดเถิด บอกเรา...เหตุใดหญิงที่มีวรรณะสูงศักดิ์ ได้รับการอบรมมาอย่างดีเยี่ยม จึงกระทำตัวต่ำทราม มีความคิดอ่านอันมืดบอดเช่นนี้ หนำซ้ำยังเอาความริษยาเป็นที่ตั้ง ดำเนินตามโมหะกิเลส ให้ร้ายได้กระทั่งพี่น้องร่วมอุทรณ์เยี่ยงนี้?”
ในชั่วอึดใจสีหน้าเคียดแค้นเมื่อครู่ก็มลายหายไป กุสุมาลย์นั่งนิ่งตรึกตรองโฉมตรูกะพริบตาสองสามครั้งทบทวนความคิด ไม่นานนักคิ้วโก่งงามก็ขมวดมุ่น นางถอนหายใจทั้งที่ไม่มีลมปรานนั้นแล้ว จึงค่อยเอ่ยออกมาช้าๆ
“ข้าคิดว่า....ข้าพอจะรู้ทำไมนางจึงกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้” เมื่อกล่าวแล้วก็สบตาวิทยเทพ
“เพียงแต่นี่เป็นความคิดอ่านของข้าเท่านั้น มิอาจจะกล่าวสรุปความได้ ข้าเป็นเพียงนางกำนัลก็ได้แต่มองอย่างนางกำนัลเท่านั้น อีกทั้งมิใช่นางกำนัลประจำตำหนักนาง บางที..ท่านไปถามพระเทวีอื่นๆ อาจจะได้ความมากกว่าข้าก็เป็นได้” ใบหน้าหล่อเหลาอดมิได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อได้ฟังคำตอบ
“แม่หญิงช่างถ่อมตนนัก มีแต่หญิงผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่หลีกเลี่ยงจะวิจารณ์ผู้อื่นได้เช่นแม่”
“ข้ามิได้หลีกเลี่ยง เพียงแต่ข้า...ข้าไม่แน่ใจ ข้าเป็นผู้คุมแค้นคำตอบของข้าอาจจะทำให้วินิจฉัยของท่านไขว้เขวก็เป็นได้ ”
“แม่กังวลว่าพินทุมณีจะได้รับบาปกรรมสาหัสกว่าที่ควรได้กระนั้นรึ?” ผู้ถามอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง หญิงที่มีเมตตาเพียงนี้ปล่อยวางกับพินทุมณีเทวีได้ หากแต่จ้องจองเวรมหิตาเทวีไม่เลิกรา
“มิใช่!! นางจะได้รับโทษมากกว่าหรือน้อยกว่าเดิมก็หาใช่เรื่องของข้า มีแต่จะช่วยส่งเสริมท่านให้ซ้ำนางให้จงหนักเสียด้วยซ้ำ แต่ข้ากลัวว่าหากให้ความเอียงเล่กระเท่ไปจากข้อเท็จจริง ข้าสิต้องรับบาปกับสิ่งที่กล่าวออกไป แค่นี้ข้าก็แย่แล้ว ไม่ต้องการก่อวจีกรรม มิใช่เพื่อผู้ใดแต่เพื่อตัวข้าเองต่างหากเล่า อย่าได้คิดว่าข้าเมตตานางนักเลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดี! คิดดี แม่รู้จักรักตนเอง แม่ก็จะไม่ทำสิ่งใดให้นำตนเองไปสู่ความเลวร้าย” วิมุตติหัวเราะเสียงดังอย่างรื่นเริง รู้สึกทึ่งในความคิดอ่านของนางนัก ในขณะที่หญิงงามไม่เข้าใจว่ากึ่งเทพจะขำสิ่งใดนักหนา
“ผู้ดีย่อมไม่พูดพล่อยๆ จะเจรจาเรื่องใดก็รับรองคำพูดตนเองได้ แม่ได้รับการอบรมมาดีนัก” หญิงงามได้รับคำชมก็ตวัดตามอง ก่อนจะค่อยแย้มยิ้มออกมา