ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 61-62
http://ppantip.com/topic/31021518
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 63
ดวงตะวันสาดแสงลงมายังผืนพสุธาจุมภะปุระสว่างไปทั่วหล้า แต่ยังมิมีพระองค์ใดเสด็จออกมาจากห้องบรรทม ภูวิษะเจ้ายังกกกอดอรชรมิหน่ายแหนง เจ้าโฉมยงก็พร่ำครวญพระนาม ในขณะที่กอดรัดวรองค์แข็งแกร่งนั้น ปลายนิ้วหัตถ์กรีดลึกลงแผ่นปฤษฎางค์ จนเป็นริ้วแดงไปด้วยรอยนขา*1 [1*เล็บ] แต่เจ้านาคราชหาได้คำนึงถึงร่องรอยที่เกิดขึ้นไม่ ตรงกันข้ามความเจ็บปวดกรีดย้ำลึกกลับสร้างความกระสันซ่านมากขึ้น ยิ่งทรมานยิ่งสุขยิ่งสม
หนึ่งเสียงร้องครวญอีกหนึ่งเสียงครางรับ ร้อยรัดประสานเป็นท่วงทำนองแห่งรัก เกิดเป็นจังหวะแห่งสุนทรีรมย์อันซับซ้อน ซอกซอนดุจคลื่นเสน่ห์หาซัดสาดชายฝั่ง กัดเซาะจนหาดหินแกร่งนั้นทลายกลายเป็นธุลี วายุรัญจวนยังพายพัดซ้ำให้ซ่านสยิว สองกรโอบรอบวรกายซึ่งกันและกัน แลกจุมพิตเร่าร้อนแผดเผาจนไฟโลกีย์โหมลุกช่วงโชติ จักรวาลยามนั้นกลายเป็นสิ่งเล็กจ้อยด้อยความสำคัญ โลกและสวรรค์เปิดทางให้แลเห็นกันและกัน จนมวลมารพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วโถมโจมลงห้วงสมุทรแห่งตัณหา พิภพทั้งมวลปั่นป่วนไปด้วยพายุกามา พื้นธรณีกัมปนาทสะท้านสะเทือน ภูผาพิโรธกระทั่งเปลวปล่องบนยอดสิงขรยังพ่นลาวาอันเกรี้ยวกราด
กว่าไฟรักเพลิงเสน่หาจะคลายตัวลงตะวันก็เคลื่อนคล้อยไปยามบ่าย เคียงฟ้านั่งหน้าตึงเหมือนจะรอจนเบื่อ อย่าว่าแต่สาวจากอนาคตเลยแม้นางกำนัลในตำหนักก็เช่นกัน พวกนางจับกลุ่มซุบซิบนินทาไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ไฉนภูวิษะเจ้าซึ่งจับทัพไปรบไม่ทันไรก็เร่งร้อนกลับมา สู่อ้อมกอดพระชายา แล้วพากันปิดประตูเข้าห้องบรรทม ปิดเงียบแม้บานบัญชรหรือบานทวารก็มิได้แง้มไว้ แต่เสียงบรรเลงรักแม้แอบซ่อนเท่าใดก็หามิดไม่ เสียงครวญอย่างสุขสมดังติดต่อกันมา 3 วันแล้ว!!!!
“คู่นั้นจะทำอะไรกันนักกันหนาคะ? ปาเข้าไป 3 วันแล้วนะ ข้าวปาไม่กินกันบ้างหรือไง?” เคียงฟ้าอดรนทนไม่ได้ หล่อนหงุดหงิดจนต้องบ่นออกมาดังๆ
“แม่ศรีดาราก็นำเข้าไปถวายนะ”
“วันละมื้อนี่นะคะ? ” หล่อนอยากถามนักว่าเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนนักหนาไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง แม้ไม่เห็นภาพข้างในหล่อนก็พอจะเดาออก
“เจ้าภูเขาเป็นพญานาคคงไม่เป็นไร แต่ยัยมหิตานี่มนุษย์นะคะ เดี๋ยวก็ตายหรอก!?” คำวิจารณ์ของหล่อนเรียกเสียงหัวเราะจากบุรุษข้างตัวได้เป็นอย่างดี
“อาจารย์อย่าเอาแต่หัวเราะสิคะ” หล่อนขยับเข้าไปใกล้
“คงไม่เป็นไรดอก ศึกในห้องหอหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ แต่ศึกที่เมืองปาลนี่สิลุกลามเป็นแน่แท้” หล่อนค่อยนึกขึ้นมาได้ถึงการสงครามที่กำลังจะเกิด แต่นาคเจ้าหนีทัพมาด้วยแรงเสน่หานี่สิจะทำฉันใดดี
“ตายแล้ว!! ฟ้าลืมไปเลย จะเป็นเรื่องใหญ่ไหมคะ ต้องแย่แน่ๆ เลย”
“ก็มัวแต่สนใจคู่นั้น...หึ หึ” นักศึกษาได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกไปเลย ยังดีที่อาจารย์ของหล่อนย่นระยะเวลาให้เรื่องราวดำเนินเร็วขึ้น หาไม่แล้วหล่อนต้องทนฟังเสียงครวญครางไปอีกสามวันแน่ๆ
“ก็คงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต แม้จะเป็นศึกเล็กแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น มิใช่โทษที่ภูวิษะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้แน่”
ความตึงเครียดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนหล่อนต้องยกมือขึ้นกดขมับตนเอง หญิงสาวนึกสงสารเจ้านาคราชยิ่งนัก แต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรดี ส่วนมหิตาเทวีนั้นไม่พูดถึงหากตัดชาติภพกันได้ เคียงฟ้าจะทำลืมเป็นเสียว่านั่นเป็นอดีตชาติของหล่อน
“นั่นสิคะ...เหตุผลที่จะอ้างก็ฟังไม่ขึ้นเสียด้วย ลำพังมหิตาเธอก็...ไม่น่ารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ ทำไปได้...แล้วได้คิดทางแก้เอาไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“หญิงที่ไม่มีสติจะคิดอ่านรอบครอบได้อย่างไร?” หล่อนได้แต่พยักหน้าแล้วนั่งนิ่ง ไม่กล้าคาดคะเนถึงเรื่องร้ายที่มาถึง จึงได้แต่ภาวนาไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างที่คาดไว้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตะวันยังอยู่กลางฟ้าหากร่างสองร่างยังกอดก่ายกันมิได้สนใจวันเวลา มากไปกว่าไออุ่นและกลิ่นนวลเนื้อของกันและกัน เสน่หามนตรายังทำงานไม่บกพร่อง เพลงพิศวาสจึงดำเนินไปมิมีหน่ายแหนง จวบจนแทบสิ้นแรงมหิตาเทวีจึงผล็อยหลับไป ดวงพักตร์พริ้มแนบอยู่บนพระอุระกว้างของเจ้านาคราช ในพระทัยปรารถนาให้เวลาแห่งรักนี้หยุดลงมิหมุนผ่านไป
ทุกสิ่งเกือบจะเป็นไปสมดังความหมายมาดในหฤทัย ในเพลานั้นภูวิษะเจ้าขยับวรกายเล็กน้อย ก่อนจะแย้มสรวลให้นางที่นอนแนบอุรา ดวงหทัยยังจดจ่อกับนางตรงหน้ามิเคลื่อนคล้อยไป แต่ครูต่อมาความอปกติบางอย่างก็พลันบังเกิดขึ้นหยาดเสโทผุดขึ้นทั่ววรกาย สีพระพักตร์ซีดเผือดลงอย่างน่าใจหาย วาโยในทรวงเริ่มติดขัดหายใจไม่สะดวก พลันรู้สึกว่าในวรกายคล้ายมีเหล็กแหลมทิ่มแทงไปทั่วร่าง จนสะดุ้งลุกพรวดพราดขึ้นมา ยังผลให้ร่างอรชรที่บรรทมอยู่เคียงกันพลอยลุกขึ้นมาด้วย
“เสด็จพี่? เป็นกระไรไปเพคะ?!!”
นางเทวีผุดลุกขึ้นประทับนั่งตามพระสวามี นาคเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทั้งวรกายแข็งเกร็งไปหมด ริมโอษฐ์เม้นเข้าหากันจนสนิท ความเจ็บปวดบางประการปะทุขึ้นมาทั่วร่าง วรกายสั่นเทิ้มคล้ายคนหนาวเหน็บจนสั่นเทา นิ้วหัตถ์จิกลงบนแพรปูแท่นบรรทม ดวงพักตร์ก้มนิ่งพระวาโยติดราวกับจะขาดพระทัย ชั่วลัดตาพระฉวีที่เคยผ่องกลับแปรเปลี่ยนสีจนคร้ามเขียวขึ้นมาทั่วร่าง บางแห่งปรากฏเกล็ดนูนขึ้นมา มหิตาเทวีเห็นเข้าก็ตกพระทัย ภูวิษะเจ้ารู้องค์ว่ากำลังจะทรงร่างมนุษย์เอาไว้ได้มิได้ ไฉนจึงเป็นเช่นนี้!!!
ร่างมนุษย์ที่จำแลงมากำลังกลายกลับคืนสู่สภาพเดิม!
“เสด็จพี่เป็นอะไรไปเพคะ?!” เจ้านาคราชไม่ตอบ มีแต่ความทุรนทุรายปรากฏออกมาให้เห็น
“ทำไม? ทำไมเป็นแบบนี้?!” มหิตาเทวีลนลานเข้าดูอาการแต่มิอาจช่วยเหลืออันได้ จึงได้แต่กรรแสงด้วยความตกพระทัย
“มหิตา..เจ้า...เป็นเจ้า!” ในห้วงความเจ็บปวดนั้น มนต์เสน่หาก็คลายตัวลงจนปลาสนาการในทันที ดวงเนตรแดงก่ำจ้องมองมายังพระชายาด้วยความพิโรธ
“ทำของใส่ของสกปรกใส่พี่!!” ทรงสบถได้เพียงแค่นั้น ในญาณสติทราบแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์ ทว่าไฟร้อนผลาญจากภายในจนไม่อาจควบคุมร่างได้
“เสด็จพี่...น้องๆๆ..!!!” ริมโอษฐ์สั่นได้แต่ตรัสตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่มิกล้ายอมรับหรือทูลความเท็จได้
“โอ้วววววววววววววว...ววว...ว!!!!!!”
สุรเสียงแห่งความเจ็บปวดกู่ก้องไปทั่วตำหนัก สะกดให้ทุกผู้หันยังต้นเสียงในห้องบรรทม เคียงฟ้าสะดุ้งจนสุดร่าง นัยน์ตาหล่อนเบิกโพงรู้ชัดว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว หญิงสาวเหลียวมองไปยังอาจารย์ของตน พบว่าเขาเพ่งมองไปยังประตูห้องบรรทมเช่นกัน ทั้งคู่ไม่มีความใดกล่าวต่อกัน จิตสมาธิล้วนจ้องมองไปยังทิศเดียวกันไป
ปังง...ง !!! ประตูห้องบรรทมเปิดผาง
ภูวิษะเจ้าพาวรกายวิกลนั้นถลาออกมาแล้ววิ่งตะบึงไป ก่อนจะมีผู้ใดทันสังเกตเห็นความผิดปกติบนร่าง ก็ทรงโผนโจนลงสระบัวหน้าตำหนักไปเสียก่อน ตามด้วยเสียงของความโกลาหล มหิตาเทวีฉวยผ้าคลุมบรรทมห่มวรกายแล้ววิ่งตามออกมา ในสภาพกึ่งเปลือยแต่มิได้ใส่พระทัยนัก ทั้งนางเทวีทั้งนางกำนัลรวมทั้งเคียงฟ้าต่างพากันวิ่งไปยังสระบัว
“เสด็จพี่!!!” ทรงร้องเรียกสลับกรรแสงด้วยความตกพระทัย หาได้มีเสียงใดตอบรับกลับมา ร่างในบึงบัวนิ่งเงียบมีเพียงพรายน้ำผุดขึ้นมาประปราย
ความอลม่านยังดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง ทุกอย่างสับสนวุ่นวายมหิตาเทวีถูกนางกำนัลพาเข้าไปนุ่งฉลองพระองค์ให้เรียบร้อย ข้างฝ่ายคุณท้าวก็ไปเกณฑ์ทหารมา ให้ดำลงไปกอบกู้ราชบุตรเขย แต่ผู้เป็นชายาแห่งนาคเจ้าไม่อนุญาตให้ทหารลงงมหาพระสวามี เพียงแต่สั่งการให้ถือภูษาทรงรอเสด็จเมื่อขึ้นจากน้ำเท่านั้น สร้างความไม่เข้าใจแก่ข้าราชบริพาร แต่มิข้าขัดรับสั่งจึงได้แต่รีรอเฝ้าอยู่รอบบึงเท่านั้น
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 63-64
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ดวงตะวันสาดแสงลงมายังผืนพสุธาจุมภะปุระสว่างไปทั่วหล้า แต่ยังมิมีพระองค์ใดเสด็จออกมาจากห้องบรรทม ภูวิษะเจ้ายังกกกอดอรชรมิหน่ายแหนง เจ้าโฉมยงก็พร่ำครวญพระนาม ในขณะที่กอดรัดวรองค์แข็งแกร่งนั้น ปลายนิ้วหัตถ์กรีดลึกลงแผ่นปฤษฎางค์ จนเป็นริ้วแดงไปด้วยรอยนขา*1 [1*เล็บ] แต่เจ้านาคราชหาได้คำนึงถึงร่องรอยที่เกิดขึ้นไม่ ตรงกันข้ามความเจ็บปวดกรีดย้ำลึกกลับสร้างความกระสันซ่านมากขึ้น ยิ่งทรมานยิ่งสุขยิ่งสม
หนึ่งเสียงร้องครวญอีกหนึ่งเสียงครางรับ ร้อยรัดประสานเป็นท่วงทำนองแห่งรัก เกิดเป็นจังหวะแห่งสุนทรีรมย์อันซับซ้อน ซอกซอนดุจคลื่นเสน่ห์หาซัดสาดชายฝั่ง กัดเซาะจนหาดหินแกร่งนั้นทลายกลายเป็นธุลี วายุรัญจวนยังพายพัดซ้ำให้ซ่านสยิว สองกรโอบรอบวรกายซึ่งกันและกัน แลกจุมพิตเร่าร้อนแผดเผาจนไฟโลกีย์โหมลุกช่วงโชติ จักรวาลยามนั้นกลายเป็นสิ่งเล็กจ้อยด้อยความสำคัญ โลกและสวรรค์เปิดทางให้แลเห็นกันและกัน จนมวลมารพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วโถมโจมลงห้วงสมุทรแห่งตัณหา พิภพทั้งมวลปั่นป่วนไปด้วยพายุกามา พื้นธรณีกัมปนาทสะท้านสะเทือน ภูผาพิโรธกระทั่งเปลวปล่องบนยอดสิงขรยังพ่นลาวาอันเกรี้ยวกราด
กว่าไฟรักเพลิงเสน่หาจะคลายตัวลงตะวันก็เคลื่อนคล้อยไปยามบ่าย เคียงฟ้านั่งหน้าตึงเหมือนจะรอจนเบื่อ อย่าว่าแต่สาวจากอนาคตเลยแม้นางกำนัลในตำหนักก็เช่นกัน พวกนางจับกลุ่มซุบซิบนินทาไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ไฉนภูวิษะเจ้าซึ่งจับทัพไปรบไม่ทันไรก็เร่งร้อนกลับมา สู่อ้อมกอดพระชายา แล้วพากันปิดประตูเข้าห้องบรรทม ปิดเงียบแม้บานบัญชรหรือบานทวารก็มิได้แง้มไว้ แต่เสียงบรรเลงรักแม้แอบซ่อนเท่าใดก็หามิดไม่ เสียงครวญอย่างสุขสมดังติดต่อกันมา 3 วันแล้ว!!!!
“คู่นั้นจะทำอะไรกันนักกันหนาคะ? ปาเข้าไป 3 วันแล้วนะ ข้าวปาไม่กินกันบ้างหรือไง?” เคียงฟ้าอดรนทนไม่ได้ หล่อนหงุดหงิดจนต้องบ่นออกมาดังๆ
“แม่ศรีดาราก็นำเข้าไปถวายนะ”
“วันละมื้อนี่นะคะ? ” หล่อนอยากถามนักว่าเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนนักหนาไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง แม้ไม่เห็นภาพข้างในหล่อนก็พอจะเดาออก
“เจ้าภูเขาเป็นพญานาคคงไม่เป็นไร แต่ยัยมหิตานี่มนุษย์นะคะ เดี๋ยวก็ตายหรอก!?” คำวิจารณ์ของหล่อนเรียกเสียงหัวเราะจากบุรุษข้างตัวได้เป็นอย่างดี
“อาจารย์อย่าเอาแต่หัวเราะสิคะ” หล่อนขยับเข้าไปใกล้
“คงไม่เป็นไรดอก ศึกในห้องหอหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ แต่ศึกที่เมืองปาลนี่สิลุกลามเป็นแน่แท้” หล่อนค่อยนึกขึ้นมาได้ถึงการสงครามที่กำลังจะเกิด แต่นาคเจ้าหนีทัพมาด้วยแรงเสน่หานี่สิจะทำฉันใดดี
“ตายแล้ว!! ฟ้าลืมไปเลย จะเป็นเรื่องใหญ่ไหมคะ ต้องแย่แน่ๆ เลย”
“ก็มัวแต่สนใจคู่นั้น...หึ หึ” นักศึกษาได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกไปเลย ยังดีที่อาจารย์ของหล่อนย่นระยะเวลาให้เรื่องราวดำเนินเร็วขึ้น หาไม่แล้วหล่อนต้องทนฟังเสียงครวญครางไปอีกสามวันแน่ๆ
“ก็คงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต แม้จะเป็นศึกเล็กแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น มิใช่โทษที่ภูวิษะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้แน่”
ความตึงเครียดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนหล่อนต้องยกมือขึ้นกดขมับตนเอง หญิงสาวนึกสงสารเจ้านาคราชยิ่งนัก แต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรดี ส่วนมหิตาเทวีนั้นไม่พูดถึงหากตัดชาติภพกันได้ เคียงฟ้าจะทำลืมเป็นเสียว่านั่นเป็นอดีตชาติของหล่อน
“นั่นสิคะ...เหตุผลที่จะอ้างก็ฟังไม่ขึ้นเสียด้วย ลำพังมหิตาเธอก็...ไม่น่ารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ ทำไปได้...แล้วได้คิดทางแก้เอาไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“หญิงที่ไม่มีสติจะคิดอ่านรอบครอบได้อย่างไร?” หล่อนได้แต่พยักหน้าแล้วนั่งนิ่ง ไม่กล้าคาดคะเนถึงเรื่องร้ายที่มาถึง จึงได้แต่ภาวนาไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างที่คาดไว้
ตะวันยังอยู่กลางฟ้าหากร่างสองร่างยังกอดก่ายกันมิได้สนใจวันเวลา มากไปกว่าไออุ่นและกลิ่นนวลเนื้อของกันและกัน เสน่หามนตรายังทำงานไม่บกพร่อง เพลงพิศวาสจึงดำเนินไปมิมีหน่ายแหนง จวบจนแทบสิ้นแรงมหิตาเทวีจึงผล็อยหลับไป ดวงพักตร์พริ้มแนบอยู่บนพระอุระกว้างของเจ้านาคราช ในพระทัยปรารถนาให้เวลาแห่งรักนี้หยุดลงมิหมุนผ่านไป
ทุกสิ่งเกือบจะเป็นไปสมดังความหมายมาดในหฤทัย ในเพลานั้นภูวิษะเจ้าขยับวรกายเล็กน้อย ก่อนจะแย้มสรวลให้นางที่นอนแนบอุรา ดวงหทัยยังจดจ่อกับนางตรงหน้ามิเคลื่อนคล้อยไป แต่ครูต่อมาความอปกติบางอย่างก็พลันบังเกิดขึ้นหยาดเสโทผุดขึ้นทั่ววรกาย สีพระพักตร์ซีดเผือดลงอย่างน่าใจหาย วาโยในทรวงเริ่มติดขัดหายใจไม่สะดวก พลันรู้สึกว่าในวรกายคล้ายมีเหล็กแหลมทิ่มแทงไปทั่วร่าง จนสะดุ้งลุกพรวดพราดขึ้นมา ยังผลให้ร่างอรชรที่บรรทมอยู่เคียงกันพลอยลุกขึ้นมาด้วย
“เสด็จพี่? เป็นกระไรไปเพคะ?!!”
นางเทวีผุดลุกขึ้นประทับนั่งตามพระสวามี นาคเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทั้งวรกายแข็งเกร็งไปหมด ริมโอษฐ์เม้นเข้าหากันจนสนิท ความเจ็บปวดบางประการปะทุขึ้นมาทั่วร่าง วรกายสั่นเทิ้มคล้ายคนหนาวเหน็บจนสั่นเทา นิ้วหัตถ์จิกลงบนแพรปูแท่นบรรทม ดวงพักตร์ก้มนิ่งพระวาโยติดราวกับจะขาดพระทัย ชั่วลัดตาพระฉวีที่เคยผ่องกลับแปรเปลี่ยนสีจนคร้ามเขียวขึ้นมาทั่วร่าง บางแห่งปรากฏเกล็ดนูนขึ้นมา มหิตาเทวีเห็นเข้าก็ตกพระทัย ภูวิษะเจ้ารู้องค์ว่ากำลังจะทรงร่างมนุษย์เอาไว้ได้มิได้ ไฉนจึงเป็นเช่นนี้!!!
ร่างมนุษย์ที่จำแลงมากำลังกลายกลับคืนสู่สภาพเดิม!
“เสด็จพี่เป็นอะไรไปเพคะ?!” เจ้านาคราชไม่ตอบ มีแต่ความทุรนทุรายปรากฏออกมาให้เห็น
“ทำไม? ทำไมเป็นแบบนี้?!” มหิตาเทวีลนลานเข้าดูอาการแต่มิอาจช่วยเหลืออันได้ จึงได้แต่กรรแสงด้วยความตกพระทัย
“มหิตา..เจ้า...เป็นเจ้า!” ในห้วงความเจ็บปวดนั้น มนต์เสน่หาก็คลายตัวลงจนปลาสนาการในทันที ดวงเนตรแดงก่ำจ้องมองมายังพระชายาด้วยความพิโรธ
“ทำของใส่ของสกปรกใส่พี่!!” ทรงสบถได้เพียงแค่นั้น ในญาณสติทราบแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์ ทว่าไฟร้อนผลาญจากภายในจนไม่อาจควบคุมร่างได้
“เสด็จพี่...น้องๆๆ..!!!” ริมโอษฐ์สั่นได้แต่ตรัสตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่มิกล้ายอมรับหรือทูลความเท็จได้
“โอ้วววววววววววววว...ววว...ว!!!!!!”
สุรเสียงแห่งความเจ็บปวดกู่ก้องไปทั่วตำหนัก สะกดให้ทุกผู้หันยังต้นเสียงในห้องบรรทม เคียงฟ้าสะดุ้งจนสุดร่าง นัยน์ตาหล่อนเบิกโพงรู้ชัดว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว หญิงสาวเหลียวมองไปยังอาจารย์ของตน พบว่าเขาเพ่งมองไปยังประตูห้องบรรทมเช่นกัน ทั้งคู่ไม่มีความใดกล่าวต่อกัน จิตสมาธิล้วนจ้องมองไปยังทิศเดียวกันไป
ปังง...ง !!! ประตูห้องบรรทมเปิดผาง
ภูวิษะเจ้าพาวรกายวิกลนั้นถลาออกมาแล้ววิ่งตะบึงไป ก่อนจะมีผู้ใดทันสังเกตเห็นความผิดปกติบนร่าง ก็ทรงโผนโจนลงสระบัวหน้าตำหนักไปเสียก่อน ตามด้วยเสียงของความโกลาหล มหิตาเทวีฉวยผ้าคลุมบรรทมห่มวรกายแล้ววิ่งตามออกมา ในสภาพกึ่งเปลือยแต่มิได้ใส่พระทัยนัก ทั้งนางเทวีทั้งนางกำนัลรวมทั้งเคียงฟ้าต่างพากันวิ่งไปยังสระบัว
“เสด็จพี่!!!” ทรงร้องเรียกสลับกรรแสงด้วยความตกพระทัย หาได้มีเสียงใดตอบรับกลับมา ร่างในบึงบัวนิ่งเงียบมีเพียงพรายน้ำผุดขึ้นมาประปราย
ความอลม่านยังดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง ทุกอย่างสับสนวุ่นวายมหิตาเทวีถูกนางกำนัลพาเข้าไปนุ่งฉลองพระองค์ให้เรียบร้อย ข้างฝ่ายคุณท้าวก็ไปเกณฑ์ทหารมา ให้ดำลงไปกอบกู้ราชบุตรเขย แต่ผู้เป็นชายาแห่งนาคเจ้าไม่อนุญาตให้ทหารลงงมหาพระสวามี เพียงแต่สั่งการให้ถือภูษาทรงรอเสด็จเมื่อขึ้นจากน้ำเท่านั้น สร้างความไม่เข้าใจแก่ข้าราชบริพาร แต่มิข้าขัดรับสั่งจึงได้แต่รีรอเฝ้าอยู่รอบบึงเท่านั้น