เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 63-64

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 61-62 http://ppantip.com/topic/31021518

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl


ตอนที่ 63



                   ดวงตะวันสาดแสงลงมายังผืนพสุธาจุมภะปุระสว่างไปทั่วหล้า แต่ยังมิมีพระองค์ใดเสด็จออกมาจากห้องบรรทม  ภูวิษะเจ้ายังกกกอดอรชรมิหน่ายแหนง  เจ้าโฉมยงก็พร่ำครวญพระนาม ในขณะที่กอดรัดวรองค์แข็งแกร่งนั้น  ปลายนิ้วหัตถ์กรีดลึกลงแผ่นปฤษฎางค์ จนเป็นริ้วแดงไปด้วยรอยนขา*1 [1*เล็บ] แต่เจ้านาคราชหาได้คำนึงถึงร่องรอยที่เกิดขึ้นไม่  ตรงกันข้ามความเจ็บปวดกรีดย้ำลึกกลับสร้างความกระสันซ่านมากขึ้น  ยิ่งทรมานยิ่งสุขยิ่งสม


                หนึ่งเสียงร้องครวญอีกหนึ่งเสียงครางรับ  ร้อยรัดประสานเป็นท่วงทำนองแห่งรัก  เกิดเป็นจังหวะแห่งสุนทรีรมย์อันซับซ้อน  ซอกซอนดุจคลื่นเสน่ห์หาซัดสาดชายฝั่ง กัดเซาะจนหาดหินแกร่งนั้นทลายกลายเป็นธุลี  วายุรัญจวนยังพายพัดซ้ำให้ซ่านสยิว  สองกรโอบรอบวรกายซึ่งกันและกัน แลกจุมพิตเร่าร้อนแผดเผาจนไฟโลกีย์โหมลุกช่วงโชติ  จักรวาลยามนั้นกลายเป็นสิ่งเล็กจ้อยด้อยความสำคัญ โลกและสวรรค์เปิดทางให้แลเห็นกันและกัน จนมวลมารพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วโถมโจมลงห้วงสมุทรแห่งตัณหา พิภพทั้งมวลปั่นป่วนไปด้วยพายุกามา พื้นธรณีกัมปนาทสะท้านสะเทือน ภูผาพิโรธกระทั่งเปลวปล่องบนยอดสิงขรยังพ่นลาวาอันเกรี้ยวกราด


                 กว่าไฟรักเพลิงเสน่หาจะคลายตัวลงตะวันก็เคลื่อนคล้อยไปยามบ่าย  เคียงฟ้านั่งหน้าตึงเหมือนจะรอจนเบื่อ อย่าว่าแต่สาวจากอนาคตเลยแม้นางกำนัลในตำหนักก็เช่นกัน  พวกนางจับกลุ่มซุบซิบนินทาไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ไฉนภูวิษะเจ้าซึ่งจับทัพไปรบไม่ทันไรก็เร่งร้อนกลับมา สู่อ้อมกอดพระชายา แล้วพากันปิดประตูเข้าห้องบรรทม ปิดเงียบแม้บานบัญชรหรือบานทวารก็มิได้แง้มไว้  แต่เสียงบรรเลงรักแม้แอบซ่อนเท่าใดก็หามิดไม่  เสียงครวญอย่างสุขสมดังติดต่อกันมา 3 วันแล้ว!!!!


                 “คู่นั้นจะทำอะไรกันนักกันหนาคะ?  ปาเข้าไป 3 วันแล้วนะ ข้าวปาไม่กินกันบ้างหรือไง?” เคียงฟ้าอดรนทนไม่ได้ หล่อนหงุดหงิดจนต้องบ่นออกมาดังๆ


                  “แม่ศรีดาราก็นำเข้าไปถวายนะ”


                  “วันละมื้อนี่นะคะ? ” หล่อนอยากถามนักว่าเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนนักหนาไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง แม้ไม่เห็นภาพข้างในหล่อนก็พอจะเดาออก


                  “เจ้าภูเขาเป็นพญานาคคงไม่เป็นไร  แต่ยัยมหิตานี่มนุษย์นะคะ  เดี๋ยวก็ตายหรอก!?” คำวิจารณ์ของหล่อนเรียกเสียงหัวเราะจากบุรุษข้างตัวได้เป็นอย่างดี


                “อาจารย์อย่าเอาแต่หัวเราะสิคะ” หล่อนขยับเข้าไปใกล้


                “คงไม่เป็นไรดอก  ศึกในห้องหอหาใช่เรื่องใหญ่ไม่  แต่ศึกที่เมืองปาลนี่สิลุกลามเป็นแน่แท้” หล่อนค่อยนึกขึ้นมาได้ถึงการสงครามที่กำลังจะเกิด แต่นาคเจ้าหนีทัพมาด้วยแรงเสน่หานี่สิจะทำฉันใดดี


                 “ตายแล้ว!! ฟ้าลืมไปเลย จะเป็นเรื่องใหญ่ไหมคะ ต้องแย่แน่ๆ เลย”


                 “ก็มัวแต่สนใจคู่นั้น...หึ หึ” นักศึกษาได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกไปเลย ยังดีที่อาจารย์ของหล่อนย่นระยะเวลาให้เรื่องราวดำเนินเร็วขึ้น หาไม่แล้วหล่อนต้องทนฟังเสียงครวญครางไปอีกสามวันแน่ๆ


                 “ก็คงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต  แม้จะเป็นศึกเล็กแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น  มิใช่โทษที่ภูวิษะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้แน่”


                  ความตึงเครียดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ จนหล่อนต้องยกมือขึ้นกดขมับตนเอง  หญิงสาวนึกสงสารเจ้านาคราชยิ่งนัก แต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรดี  ส่วนมหิตาเทวีนั้นไม่พูดถึงหากตัดชาติภพกันได้ เคียงฟ้าจะทำลืมเป็นเสียว่านั่นเป็นอดีตชาติของหล่อน


                 “นั่นสิคะ...เหตุผลที่จะอ้างก็ฟังไม่ขึ้นเสียด้วย  ลำพังมหิตาเธอก็...ไม่น่ารับผิดชอบเรื่องนี้ได้  ทำไปได้...แล้วได้คิดทางแก้เอาไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”


                  “หญิงที่ไม่มีสติจะคิดอ่านรอบครอบได้อย่างไร?” หล่อนได้แต่พยักหน้าแล้วนั่งนิ่ง ไม่กล้าคาดคะเนถึงเรื่องร้ายที่มาถึง  จึงได้แต่ภาวนาไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างที่คาดไว้


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                   ตะวันยังอยู่กลางฟ้าหากร่างสองร่างยังกอดก่ายกันมิได้สนใจวันเวลา มากไปกว่าไออุ่นและกลิ่นนวลเนื้อของกันและกัน  เสน่หามนตรายังทำงานไม่บกพร่อง  เพลงพิศวาสจึงดำเนินไปมิมีหน่ายแหนง  จวบจนแทบสิ้นแรงมหิตาเทวีจึงผล็อยหลับไป  ดวงพักตร์พริ้มแนบอยู่บนพระอุระกว้างของเจ้านาคราช  ในพระทัยปรารถนาให้เวลาแห่งรักนี้หยุดลงมิหมุนผ่านไป  


                   ทุกสิ่งเกือบจะเป็นไปสมดังความหมายมาดในหฤทัย  ในเพลานั้นภูวิษะเจ้าขยับวรกายเล็กน้อย ก่อนจะแย้มสรวลให้นางที่นอนแนบอุรา ดวงหทัยยังจดจ่อกับนางตรงหน้ามิเคลื่อนคล้อยไป  แต่ครูต่อมาความอปกติบางอย่างก็พลันบังเกิดขึ้นหยาดเสโทผุดขึ้นทั่ววรกาย สีพระพักตร์ซีดเผือดลงอย่างน่าใจหาย  วาโยในทรวงเริ่มติดขัดหายใจไม่สะดวก  พลันรู้สึกว่าในวรกายคล้ายมีเหล็กแหลมทิ่มแทงไปทั่วร่าง จนสะดุ้งลุกพรวดพราดขึ้นมา ยังผลให้ร่างอรชรที่บรรทมอยู่เคียงกันพลอยลุกขึ้นมาด้วย


                   “เสด็จพี่? เป็นกระไรไปเพคะ?!!”  


                     นางเทวีผุดลุกขึ้นประทับนั่งตามพระสวามี นาคเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทั้งวรกายแข็งเกร็งไปหมด  ริมโอษฐ์เม้นเข้าหากันจนสนิท ความเจ็บปวดบางประการปะทุขึ้นมาทั่วร่าง  วรกายสั่นเทิ้มคล้ายคนหนาวเหน็บจนสั่นเทา  นิ้วหัตถ์จิกลงบนแพรปูแท่นบรรทม ดวงพักตร์ก้มนิ่งพระวาโยติดราวกับจะขาดพระทัย  ชั่วลัดตาพระฉวีที่เคยผ่องกลับแปรเปลี่ยนสีจนคร้ามเขียวขึ้นมาทั่วร่าง บางแห่งปรากฏเกล็ดนูนขึ้นมา  มหิตาเทวีเห็นเข้าก็ตกพระทัย ภูวิษะเจ้ารู้องค์ว่ากำลังจะทรงร่างมนุษย์เอาไว้ได้มิได้  ไฉนจึงเป็นเช่นนี้!!!


                      ร่างมนุษย์ที่จำแลงมากำลังกลายกลับคืนสู่สภาพเดิม!


                     “เสด็จพี่เป็นอะไรไปเพคะ?!” เจ้านาคราชไม่ตอบ มีแต่ความทุรนทุรายปรากฏออกมาให้เห็น


                     “ทำไม? ทำไมเป็นแบบนี้?!” มหิตาเทวีลนลานเข้าดูอาการแต่มิอาจช่วยเหลืออันได้ จึงได้แต่กรรแสงด้วยความตกพระทัย


                     “มหิตา..เจ้า...เป็นเจ้า!” ในห้วงความเจ็บปวดนั้น มนต์เสน่หาก็คลายตัวลงจนปลาสนาการในทันที ดวงเนตรแดงก่ำจ้องมองมายังพระชายาด้วยความพิโรธ


                     “ทำของใส่ของสกปรกใส่พี่!!” ทรงสบถได้เพียงแค่นั้น ในญาณสติทราบแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์ ทว่าไฟร้อนผลาญจากภายในจนไม่อาจควบคุมร่างได้  


                      “เสด็จพี่...น้องๆๆ..!!!” ริมโอษฐ์สั่นได้แต่ตรัสตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่มิกล้ายอมรับหรือทูลความเท็จได้


                     “โอ้วววววววววววววว...ววว...ว!!!!!!”


                  สุรเสียงแห่งความเจ็บปวดกู่ก้องไปทั่วตำหนัก สะกดให้ทุกผู้หันยังต้นเสียงในห้องบรรทม เคียงฟ้าสะดุ้งจนสุดร่าง นัยน์ตาหล่อนเบิกโพงรู้ชัดว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว หญิงสาวเหลียวมองไปยังอาจารย์ของตน พบว่าเขาเพ่งมองไปยังประตูห้องบรรทมเช่นกัน ทั้งคู่ไม่มีความใดกล่าวต่อกัน จิตสมาธิล้วนจ้องมองไปยังทิศเดียวกันไป  


                   ปังง...ง !!! ประตูห้องบรรทมเปิดผาง


                   ภูวิษะเจ้าพาวรกายวิกลนั้นถลาออกมาแล้ววิ่งตะบึงไป ก่อนจะมีผู้ใดทันสังเกตเห็นความผิดปกติบนร่าง ก็ทรงโผนโจนลงสระบัวหน้าตำหนักไปเสียก่อน ตามด้วยเสียงของความโกลาหล มหิตาเทวีฉวยผ้าคลุมบรรทมห่มวรกายแล้ววิ่งตามออกมา ในสภาพกึ่งเปลือยแต่มิได้ใส่พระทัยนัก  ทั้งนางเทวีทั้งนางกำนัลรวมทั้งเคียงฟ้าต่างพากันวิ่งไปยังสระบัว


                  “เสด็จพี่!!!” ทรงร้องเรียกสลับกรรแสงด้วยความตกพระทัย หาได้มีเสียงใดตอบรับกลับมา  ร่างในบึงบัวนิ่งเงียบมีเพียงพรายน้ำผุดขึ้นมาประปราย


                   ความอลม่านยังดำเนินต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง  ทุกอย่างสับสนวุ่นวายมหิตาเทวีถูกนางกำนัลพาเข้าไปนุ่งฉลองพระองค์ให้เรียบร้อย ข้างฝ่ายคุณท้าวก็ไปเกณฑ์ทหารมา ให้ดำลงไปกอบกู้ราชบุตรเขย แต่ผู้เป็นชายาแห่งนาคเจ้าไม่อนุญาตให้ทหารลงงมหาพระสวามี เพียงแต่สั่งการให้ถือภูษาทรงรอเสด็จเมื่อขึ้นจากน้ำเท่านั้น สร้างความไม่เข้าใจแก่ข้าราชบริพาร แต่มิข้าขัดรับสั่งจึงได้แต่รีรอเฝ้าอยู่รอบบึงเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่