ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 46
http://ppantip.com/topic/30453983
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 47
ในราตรีนั้นดวงจันทร์หลบซ่อนกายอยู่หลังม่านเมฆ ผืนนภาสลัวมัวไปด้วยเมฆฝน น้ำฟ้าพรำไปทั่วจุมภะ ราวกับจะหลั่งน้ำตาให้กับกุสุมาลย์หญิงงามผู้อาภัพ ผู้คนในตำหนักล้วนพากันโศกเศร้า ภูวิษะเจ้ากับมหิตาผู้เป็นชายาสิ้นไร้คำพูดต่อกัน แม้สักครึ่งคำก็มิได้ตรัสต่อกัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเก็บงำความในใจเอาไว้ จนในที่สุดนาคเจ้าเป็นฝ่ายสิ้นความอดทนเสียเอง
“มหิตา..เจ้ามีอะไรจะบอกพี่ไหม?”
เจ้าหญิงแห่งจุมภะเหลียวมาสบเนตรพระสวามีแล้วยิ่งเงียบงัน ในพระทัยกริ่งเกรงไปสารพัด เจ้านาคราชรู้สิ่งใดบ้าง แล้วจะพิโรธเพียงใด หากพิโรธแล้วจะสิ้นรักพระนางหรือไม่ ดำริได้เพียงนี้วรกายอันแช่มช้อยก็แข็งทื่อเหมือนถูกสาป ในขณะที่ภูวิษะเจ้านิ่งรอฟังคำสารภาพจากพระชายาเมื่อเห็นพระนางยังคงนิ่งเงียบมิประสงค์จะแถลงไข ก็ทรงถอนหทัยด้วยความผิดหวัง
“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะบอกพี่ งั้นก็นอนเสียเถิด” ตรัสจบก็ลุกขึ้นตระเตรียมเสด็จออกห้องบรรทม
“เสด็จพี่จะไปไหนเพคะ?”
ภูวิษะเจ้ามิได้ตรัสตอบ แต่ทรงดำเนินออกไปเงียบๆ แล้วจึงร้องสั่งให้นางกำนัลจัดห้องบรรทมให้พระองค์ใหม่ยังปีกด้านตะวันออกของตำหนัก ทิ้งความฉงนและขมขื่นพระทัยให้แก่มหิตาเทวี แต่พระนางก็มิได้ตรัสถามหรือเอ่ยห้าม สิ่งที่ทรงทำมีเพียงกรรแสงเงียบๆ กับความห่างเหินที่พระสวามีมีให้ ในฤทัยมีแต่ความอ้างว้างเดียวดาย ราวกับทุกอย่างสลายไปตรงหน้า วันคืนที่เคยสดใสจากไปพร้อมกับความตายของกุสุมาลย์ ซึ่งมีค่าเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อรุณรุ่งแย้มแสงสาดเข้ามาทางบานบัญชร มหิตาเทวีประทับเดียวดายอยู่บนพระแท่น พระพักตร์หมองดวงเนตรแห้งผาก ด้วยพระทัยอันว้าวุ่นจึงมิอาจข่มเนตรให้บรรทมได้ แต่เมื่อภูวิษะเจ้าเสด็จมาร่วมรับพระกายาหารเช้าด้วยกันอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตรพระนางจึงค่อยแย้มสรวลออก
“เสด็จพี่...” พระนางตรัสเรียกด้วยสุรเสียงหวาน แต่พระสวามีเพียงพยักพักตร์รับเท่านั้น มิได้ตรัสตอบอันใด ทำให้พระนางน้อยเก้อเขินไป จึงได้แต่ประทับเงียบๆ ไปตลอดการเสวยนั้น
“ท่านภูวิษะ พระเทวีเพคะ” มหิตาเทวีเงยพักตร์ขึ้นเมื่อเห็นนางกำนัล คลานมาหมอบทูลตรงหน้า
“มีอะไรรึ?”
“พระนม ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“พระนม? แม่กรรณิการ์?” เทวีน้อยอุทานออกมา
“ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าไหมเพคะ? พระนมมาคอยแต่รุ่งสางแล้ว แต่หม่อมฉันให้พระนมรอจนกว่าจะเสวยเสร็จเพคะ” มหิตาเทวีอยากปฏิเสธ ด้วยยังมิพร้อมจะเผชิญหน้ากับมารดาของกุสุมาลย์ผู้ซึ่งเป็นพระนมขององค์เองอีกด้วย
“ให้เข้ามา” เป็นภูวิษะเจ้าที่ประทานอนุญาต ก่อนที่พระเทวีจะทันได้ปฏิเสธ เมื่อไม่อาจทัดทานพระสวามีได้จึงได้แต่วิตกกังวลในพระทัย
ไม่นานนักนางกำนัลวัยกลางคนผู้เป็นพระนมก็ก้าวเข้ามา ใบหน้าตลอดจนท่วงท่านางกรรณิการ์คลับคล้ายกุสุมาลย์อยู่ไม่น้อย เพียงแต่ใบหน้านั้นมิได้หวานแช่มช้อยเท่าบุตรสาว ดวงหน้านางคมเข้มกว่าหญิงในจุมภะปุระเนื่องจากพราหมณ์จารย์ผู้เป็นบิดาได้หญิงจากแดนใต้มาเป็นภริยาเมื่อครั้งไปจาริกบุญยังแดนไกล เชื้อสายนี้ส่งไปถึงกุสุมาลย์นางจึงมีโฉมสะคราญแตกต่างจากผู้อื่นในนคร แล้วความงามอันแตกต่างนี้เองเป็นที่มาของเภทภัย
เมื่อมารดาของกุสุมาลย์มาเข้าเฝ้าองค์เทวีจึงประหวั่นในพระทัยยิ่งนัก ทว่าท่าทางของพระนมกลับนิ่งสงบปราศจากสีหน้าและแววตาแห่งความเคียดแค้นอย่างที่มหิตาเทวีคาดไว้ จึงได้แต่ละอายพระทัยจนต้องก้มพักตร์หลบนางนม ปล่อยให้พระสวามีเป็นผู้ตรัสถาม
“ถวายพระพรเพคะ ท่านภูวิษะ พระเทวี”
“พระนมอย่ามากพิธี ท่านมีความใด จึงมาเข้าเฝ้าแต่เช้า?”
“คือว่า...” พระนมมีทีท่าลำบากใจที่จะทูล นาคเจ้าเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเสียเอง
“พระนมหรือมีเรื่องต้องการทูลเทวีเพียงลำพังก็จงบอกกล่าวแก่เรา อย่าได้กริ่งเกรง”
“มิได้เพคะ...มิได้ หม่อมฉันเพียงแต่...ลำบากใจที่จะทูล” นางกรรณิการ์รีบหมอบกราบ
“พระนม...มีเรื่องอันใด หากมีสิ่งใดอยากได้เราช่วยเหลืออย่าได้ลังเลบอกมาเถิด” มหิตาเทวีค่อยคลายพระทัยว่ามารดาของกุสุมาลย์มิได้มากล่าวโทษพระองค์ จึงตั้งพระทัยว่าหากนางต้องการสิ่งใดพระนางจะประทานให้ จะดูแลนางให้ดีเพื่อเป็นการขมาแก่กุสุมาลย์
“หม่อมฉัน...” นางนมเงยหน้าสบพระเนตร แววตานั้นทอประกายอันล้ำลึกส่งมอบให้ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูล
“หม่อมฉันจะมาทูลลาเพคะ”
“ทูลลา? หมายความว่ายังไง?”
“หม่อมฉันเองก็อายุมากแล้ว ตอนนี้กุสุมาลย์ก็ไปดีแล้ว พระเทวีของหม่อมฉันก็ทรงมีพระสวามีที่ดีงาม หม่อมฉันไม่มีห่วงอันใดที่จุมภะอีกแล้วเพคะ...ในชีวิตหม่อมฉันก็จะเหลือคนที่ห่วงอีกเพียงผู้เดียว คือบิดาผู้เป็นพราหมณ์อยู่ที่เมือง ตารตรึงษา [1] เท่านั้น..ท่านก็อายุมากแล้ว หม่อมฉันอยากจะไปปรนนิบัติรับใช้ท่าน” บิดาของนางเคยเป็นพราหมณ์หลวง แต่เมื่อถึงวัยชราก็ปลดระวางจากงานต่างๆ แล้วหลีกลี้ไปอยู่ยังหัวเมือง
“ทำไมกะทันหันเยี่ยงนี้?”
“หม่อมฉันคิดไว้นานแล้วเพคะ เพียงแต่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วหม่อมฉันก็หมดห่วง”
“พระนม!!!” มหิตาเทวีถลาจากพระแท่นลงไปนั่งเสมอนางนมแล้วเกาะกุมมือนางเอาไว้ ในขณะที่สองพระเนตรเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“พระเทวีอย่ากรรแสงไปเลยเพคะ” นางกรรณิการ์ยกมือขึ้นป้ายน้ำพระเนตรให้องค์เทวี
========================================================================
[1] เมื่อเทียบเวลาในเรื่องแล้ว เมืองนี้ ณ เวลานั้นยังเป็นเมืองเล็กๆ ที่เป็นแหล่งผ่านทางการค้า สำหรับเดินทางขึ้นภาคเหนือด้วยทางเกวียน มีเพียงวัดและชุมชนเล็กๆ ก่อนจะกลายเป็นเมืองที่มีไชยภูมิสมบูรณ์แก่การสร้างเมืองและสถาปนาขึ้นเป็นนครแห่งใหม่ในอีกเกือบร้อยปีต่อมา ในฐานะที่บทประพันธ์นี้จัดเป็นนวนิยาย ผู้เขียนจึงไม่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ที่พบในเวลาต่อมาของเมืองนี้ ซึ่งจะมีตำนานเมืองเป็นของตนเอง กลายเป็นนครโบราณอีกแห่งที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ค้นหา จึงขอเปลี่ยนชื่อเมืองทั้งนี้เพื่อความบันเทิงในฐานะนวนิยาย
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 47
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 47
ในราตรีนั้นดวงจันทร์หลบซ่อนกายอยู่หลังม่านเมฆ ผืนนภาสลัวมัวไปด้วยเมฆฝน น้ำฟ้าพรำไปทั่วจุมภะ ราวกับจะหลั่งน้ำตาให้กับกุสุมาลย์หญิงงามผู้อาภัพ ผู้คนในตำหนักล้วนพากันโศกเศร้า ภูวิษะเจ้ากับมหิตาผู้เป็นชายาสิ้นไร้คำพูดต่อกัน แม้สักครึ่งคำก็มิได้ตรัสต่อกัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเก็บงำความในใจเอาไว้ จนในที่สุดนาคเจ้าเป็นฝ่ายสิ้นความอดทนเสียเอง
“มหิตา..เจ้ามีอะไรจะบอกพี่ไหม?”
เจ้าหญิงแห่งจุมภะเหลียวมาสบเนตรพระสวามีแล้วยิ่งเงียบงัน ในพระทัยกริ่งเกรงไปสารพัด เจ้านาคราชรู้สิ่งใดบ้าง แล้วจะพิโรธเพียงใด หากพิโรธแล้วจะสิ้นรักพระนางหรือไม่ ดำริได้เพียงนี้วรกายอันแช่มช้อยก็แข็งทื่อเหมือนถูกสาป ในขณะที่ภูวิษะเจ้านิ่งรอฟังคำสารภาพจากพระชายาเมื่อเห็นพระนางยังคงนิ่งเงียบมิประสงค์จะแถลงไข ก็ทรงถอนหทัยด้วยความผิดหวัง
“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะบอกพี่ งั้นก็นอนเสียเถิด” ตรัสจบก็ลุกขึ้นตระเตรียมเสด็จออกห้องบรรทม
“เสด็จพี่จะไปไหนเพคะ?”
ภูวิษะเจ้ามิได้ตรัสตอบ แต่ทรงดำเนินออกไปเงียบๆ แล้วจึงร้องสั่งให้นางกำนัลจัดห้องบรรทมให้พระองค์ใหม่ยังปีกด้านตะวันออกของตำหนัก ทิ้งความฉงนและขมขื่นพระทัยให้แก่มหิตาเทวี แต่พระนางก็มิได้ตรัสถามหรือเอ่ยห้าม สิ่งที่ทรงทำมีเพียงกรรแสงเงียบๆ กับความห่างเหินที่พระสวามีมีให้ ในฤทัยมีแต่ความอ้างว้างเดียวดาย ราวกับทุกอย่างสลายไปตรงหน้า วันคืนที่เคยสดใสจากไปพร้อมกับความตายของกุสุมาลย์ ซึ่งมีค่าเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อรุณรุ่งแย้มแสงสาดเข้ามาทางบานบัญชร มหิตาเทวีประทับเดียวดายอยู่บนพระแท่น พระพักตร์หมองดวงเนตรแห้งผาก ด้วยพระทัยอันว้าวุ่นจึงมิอาจข่มเนตรให้บรรทมได้ แต่เมื่อภูวิษะเจ้าเสด็จมาร่วมรับพระกายาหารเช้าด้วยกันอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตรพระนางจึงค่อยแย้มสรวลออก
“เสด็จพี่...” พระนางตรัสเรียกด้วยสุรเสียงหวาน แต่พระสวามีเพียงพยักพักตร์รับเท่านั้น มิได้ตรัสตอบอันใด ทำให้พระนางน้อยเก้อเขินไป จึงได้แต่ประทับเงียบๆ ไปตลอดการเสวยนั้น
“ท่านภูวิษะ พระเทวีเพคะ” มหิตาเทวีเงยพักตร์ขึ้นเมื่อเห็นนางกำนัล คลานมาหมอบทูลตรงหน้า
“มีอะไรรึ?”
“พระนม ขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“พระนม? แม่กรรณิการ์?” เทวีน้อยอุทานออกมา
“ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าไหมเพคะ? พระนมมาคอยแต่รุ่งสางแล้ว แต่หม่อมฉันให้พระนมรอจนกว่าจะเสวยเสร็จเพคะ” มหิตาเทวีอยากปฏิเสธ ด้วยยังมิพร้อมจะเผชิญหน้ากับมารดาของกุสุมาลย์ผู้ซึ่งเป็นพระนมขององค์เองอีกด้วย
“ให้เข้ามา” เป็นภูวิษะเจ้าที่ประทานอนุญาต ก่อนที่พระเทวีจะทันได้ปฏิเสธ เมื่อไม่อาจทัดทานพระสวามีได้จึงได้แต่วิตกกังวลในพระทัย
ไม่นานนักนางกำนัลวัยกลางคนผู้เป็นพระนมก็ก้าวเข้ามา ใบหน้าตลอดจนท่วงท่านางกรรณิการ์คลับคล้ายกุสุมาลย์อยู่ไม่น้อย เพียงแต่ใบหน้านั้นมิได้หวานแช่มช้อยเท่าบุตรสาว ดวงหน้านางคมเข้มกว่าหญิงในจุมภะปุระเนื่องจากพราหมณ์จารย์ผู้เป็นบิดาได้หญิงจากแดนใต้มาเป็นภริยาเมื่อครั้งไปจาริกบุญยังแดนไกล เชื้อสายนี้ส่งไปถึงกุสุมาลย์นางจึงมีโฉมสะคราญแตกต่างจากผู้อื่นในนคร แล้วความงามอันแตกต่างนี้เองเป็นที่มาของเภทภัย
เมื่อมารดาของกุสุมาลย์มาเข้าเฝ้าองค์เทวีจึงประหวั่นในพระทัยยิ่งนัก ทว่าท่าทางของพระนมกลับนิ่งสงบปราศจากสีหน้าและแววตาแห่งความเคียดแค้นอย่างที่มหิตาเทวีคาดไว้ จึงได้แต่ละอายพระทัยจนต้องก้มพักตร์หลบนางนม ปล่อยให้พระสวามีเป็นผู้ตรัสถาม
“ถวายพระพรเพคะ ท่านภูวิษะ พระเทวี”
“พระนมอย่ามากพิธี ท่านมีความใด จึงมาเข้าเฝ้าแต่เช้า?”
“คือว่า...” พระนมมีทีท่าลำบากใจที่จะทูล นาคเจ้าเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเสียเอง
“พระนมหรือมีเรื่องต้องการทูลเทวีเพียงลำพังก็จงบอกกล่าวแก่เรา อย่าได้กริ่งเกรง”
“มิได้เพคะ...มิได้ หม่อมฉันเพียงแต่...ลำบากใจที่จะทูล” นางกรรณิการ์รีบหมอบกราบ
“พระนม...มีเรื่องอันใด หากมีสิ่งใดอยากได้เราช่วยเหลืออย่าได้ลังเลบอกมาเถิด” มหิตาเทวีค่อยคลายพระทัยว่ามารดาของกุสุมาลย์มิได้มากล่าวโทษพระองค์ จึงตั้งพระทัยว่าหากนางต้องการสิ่งใดพระนางจะประทานให้ จะดูแลนางให้ดีเพื่อเป็นการขมาแก่กุสุมาลย์
“หม่อมฉัน...” นางนมเงยหน้าสบพระเนตร แววตานั้นทอประกายอันล้ำลึกส่งมอบให้ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูล
“หม่อมฉันจะมาทูลลาเพคะ”
“ทูลลา? หมายความว่ายังไง?”
“หม่อมฉันเองก็อายุมากแล้ว ตอนนี้กุสุมาลย์ก็ไปดีแล้ว พระเทวีของหม่อมฉันก็ทรงมีพระสวามีที่ดีงาม หม่อมฉันไม่มีห่วงอันใดที่จุมภะอีกแล้วเพคะ...ในชีวิตหม่อมฉันก็จะเหลือคนที่ห่วงอีกเพียงผู้เดียว คือบิดาผู้เป็นพราหมณ์อยู่ที่เมือง ตารตรึงษา [1] เท่านั้น..ท่านก็อายุมากแล้ว หม่อมฉันอยากจะไปปรนนิบัติรับใช้ท่าน” บิดาของนางเคยเป็นพราหมณ์หลวง แต่เมื่อถึงวัยชราก็ปลดระวางจากงานต่างๆ แล้วหลีกลี้ไปอยู่ยังหัวเมือง
“ทำไมกะทันหันเยี่ยงนี้?”
“หม่อมฉันคิดไว้นานแล้วเพคะ เพียงแต่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วหม่อมฉันก็หมดห่วง”
“พระนม!!!” มหิตาเทวีถลาจากพระแท่นลงไปนั่งเสมอนางนมแล้วเกาะกุมมือนางเอาไว้ ในขณะที่สองพระเนตรเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“พระเทวีอย่ากรรแสงไปเลยเพคะ” นางกรรณิการ์ยกมือขึ้นป้ายน้ำพระเนตรให้องค์เทวี
========================================================================
[1] เมื่อเทียบเวลาในเรื่องแล้ว เมืองนี้ ณ เวลานั้นยังเป็นเมืองเล็กๆ ที่เป็นแหล่งผ่านทางการค้า สำหรับเดินทางขึ้นภาคเหนือด้วยทางเกวียน มีเพียงวัดและชุมชนเล็กๆ ก่อนจะกลายเป็นเมืองที่มีไชยภูมิสมบูรณ์แก่การสร้างเมืองและสถาปนาขึ้นเป็นนครแห่งใหม่ในอีกเกือบร้อยปีต่อมา ในฐานะที่บทประพันธ์นี้จัดเป็นนวนิยาย ผู้เขียนจึงไม่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ที่พบในเวลาต่อมาของเมืองนี้ ซึ่งจะมีตำนานเมืองเป็นของตนเอง กลายเป็นนครโบราณอีกแห่งที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ค้นหา จึงขอเปลี่ยนชื่อเมืองทั้งนี้เพื่อความบันเทิงในฐานะนวนิยาย