ที่จริงแล้ว เรื่องนี้เป็นการ "ถกเถียง" กันในประเด็นที่ว่า "อริยสาวก" ในพระสูตร มีความหมายว่าอย่างไร
โดยในเบื้องแรก นายคันโตนาซี ได้กล่าวออกมาว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร หมายถึง พระอริยบุคคล
ซึ่งผมคัดค้านว่า ไม่จริง ......... ด้วยเหตุผลที่ว่า
(๑) ข้อความในพระสูตร(สมุทยสูตร) กล่าวถึง ญาณ ที่ ๑ - ๗ จากวิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งยังไม่ข้ามพ้นความเป็น "ปุถุชน"
(๒) เนื้อความในพระสูตรเอง มิได้ระบุว่า อริยสาวก นี้หมายถึง อริยบุคคล ขั้นใดขั้นหนึ่ง อีกทั้งยังไม่มีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมในชั้นอรรถกถา
ต่อมา จะด้วยความโง่ หรือ ความหน้าด้าน อะไรก็แล้วแต่ นายคันโตนาซี ได้ยกพระบาลีจาก โสตาปันนสูตร ขึ้นอ้าง
ด้วยความเข้าใจผิดไปว่า เนื้อหาในพระสูตรนั้น มีความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พระบาลีจาก สมุทยสูตร
จนอาจมีผลทำให้ เขาสามารถสรุปความได้ว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร ต้องหมายถึง พระโสดาบัน ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงอยู่ดี
เนื่องจากโดย "ข้อเท็จจริง" กลับกลายเป็นว่า เนื้อหาของ โสตาปันนสูตร กับ สมุทยสูตร มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ
(๑) ข้อความจาก สมุทยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกผู้ได้สดับนั้นย่อม "รู้ชัด" ตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ
และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่ง "ขันธ์ ๕" เป็นการกล่าวถึง ญาณ ที่ ๑ - ๗ จากวิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งยังไม่ข้ามพ้นความเป็น "ปุถุชน"
๒) ส่วนข้อความจาก โสตาปันนสูตร ระบุถึง โยคาวจร ผู้รู้ชัดถึง ความเกิด ฯลฯ และอุบายเครื่องสลัดออกของ อุปาทาน ใน ขันธ์ ๕
หรือก็คือ การละสังโยชน์(สักกายทิฐิ) นั่นเอง หมายความว่า ด้วยเหตุที่ละความยึดติดถือมั่น(อุปาทาน) ในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน
หรือ ของๆ ตนได้ โยคาวจรนั้นจึงบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน !
สรุป ก็คือ แม้ข้อความจาก สมุทยสูตร และ โสตาปันนสูตร อาจดูคล้ายคลึงกัน(หากอ่านแบบลวกๆ) แต่ในความจริงแล้ว
กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ สมุทยสูตร ระบุถึง ขันธ์ ๕ แต่ โสตาปันนสูตร กล่าวถึง อุปาทาน(ใน)ขันธ์ ๕ !
เมื่อ "ข้อเท็จจริง" ได้ปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัดถึงเพียงนี้แล้ว แทนที่ นายคันโตนาซี จะเกิดความสลดสังเวช ในความผิดชั่วของตน
ที่ได้ทำการ "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" และ "บิดเบือนพระธรรมวินัย" ด้วยการ "ยอมรับ" ในความผิดบาปของตนแต่โดยดี มันกลับพยายาม
ที่จะดิ้นรนแถกแถ ด้วยความหน้าด้านหน้าทน เพื่อจะเอาชนะคะคาน โดยไม่ใยดีต่อพระธรรมวินัย ที่มันและพวก เคยอวดอ้างสวมรอย
และทำประหนึ่ง เป็นผู้ผูกขาดความถูกต้อง ไว้แต่เพียงผู้เดียว ว่าจะปกป้องรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ด้วยความเคารพยิ่ง !
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า นายคันโตนาซี จะแถกแถ อย่างหน้าด้านๆ ด้วยการอ้างว่า ผมอธิบายความโดย อ้างพระสูตรและอรรถกถา ไม่ตรงกัน
เป็นคนละส่วน คนละเรื่องกัน ซึ่งผมก็ได้อธิบายความไปบ้างแล้ว ตามสมควร ดังนี้ว่า ........
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อความกระจ่างชัดแห่งพระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
ผมจึงเห็นสมควรว่า จะต้องมีการอธิบายแจกแจง ให้ชัดแจ้งอย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ ข้อเท็จจริง ไปในตัวด้วยว่า คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ตามข้อกล่าวหา หรือไม่ ?
ชัดเจนนะครับ !
***********************************************************************************************
***********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๑
จากข้อเท็จจริงทางพระคัมภีร์ ปรากฏว่า พระบาลีจาก สมุทยสูตร พระพุทธเจ้ามิได้ระบุเอาไว้ว่า อริยสาวก หมายถึง ผู้ใด
อีกทั้งยังเป็นที่น่าเสียดายว่า อรรถกถาจารย์ ก็มิได้ให้คำอธิบายขยายความในเรื่องนี้เอาไว้เลยแม้สักคำเดียว สำหรับ สมุทยสูตร
สิ่งที่ผมจำเป็นต้องถาม คันโตนาซี ก็คือ ในเมื่อพระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ อรรถกถาจารย์ ก็มิได้อธิบายไว้ แล้วคันโตนาซี ทราบได้อย่างไรว่า
อริยสาวก จาก สมุทยสูตร หมายถึง พระอริยบุคคล ในขณะที่ อรรถกถาจารย์ ได้กล่าวเอาไว้ใน คัมภีร์อรรถกถา แห่ง อังคุตตรนิกาย ว่า
คำๆ นี้มีความหมายได้หลายอย่าง เช่น สาวกผู้เป็นอริยะ หรือ สาวกของพระอริยะ เป็นต้น
ขออนุญาต ถามย้ำอีกครั้งว่า คันโตนาซี อาศัยหลักฐานใด ในการสรุปความว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร
ต้องหมายถึง อริยบุคคล มิได้หมายถึง สาวกของพระอริยะ(ซึ่งยังเป็น ปุถุชนอยู่) กรุณา อธิบายความพร้อมแสดงหลักฐานด้วยครับ
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อสรุปดังกล่าวของ คันโตนาซี จะมิได้เป็นเพียงแค่ อัตตโนมัติ โง่ๆ ของตัวคุณเอง นะครับ
***********************************************************************************************
***********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๒
การที่ คันโตนาซี พยายามแถกแถ โต้แย้ง ในประเด็นการอ้างอรรถกถา ว่าไม่ตรงกับพระสูตรนั้น
ผมก็เห็นว่ามันเป็นปัญหาเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ปัญหาของผมนะครับ เนื่องจาก มันน่าจะเป็นปัญหาของ คันโตนาซี
และอาจหมายรวมไปถึง อาจเป็นปัญหาสำหรับ ข้อความบางส่วน ในตำราของท่านปยุตโต นั้นต่างหาก !
ทั้งนี้ก็เพราะ ถ้าหาก เราเชื่อตามวิธีคิดของ คันโตนาซี ที่ว่า เราไม่สามารถอ้างคำอธิบายในชั้นอรรถกถา ที่ไม่ตรงกับ พระสูตรได้
นั่นย่อมหมายความว่า การอธิบายความของท่านปยุตโต ในตำรา กรณีธรรมกาย ก็ย่อมไม่สามารถใช้การได้เช่นกัน
หากท่านทั้งหลาย พิจารณาตามหลักฐานที่ปรากฏ ก็ย่อมทราบได้ไม่ยากว่า ในการอธิบายว่า นิพพาน อนัตตา ในข้อที่ ๔ นั้น
ท่านปยุตโต ได้อ้างพระบาลีพุทธพจน์ จาก สังยุตตนิกาย ขึ้นอ้างว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ (ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา)
ซึ่งอรรถกถาของพระสูตรดังกล่าว อธิบายความว่า สัพเพ ธัมมา หมายถึง ธรรมในภูมิ ๔ โดยมิได้ ออกชื่อ นิพพาน โดยตรง
ด้วยเหตุดังนี้ ท่านปยุตโต จึงได้ยก อรรถกถาของ นิทเทส และ ปฏิสัมภิทามรรค ขึ้นอ้างว่า ธรรมทั้งปวง หมายรวมพระนิพพานด้วย
กรณีเช่นนี้ ก็เท่ากับ ท่านปยุตโต ต้องการสรุปความว่า นิพพาน อนัตตา โดยการยกอรรถกถา ที่ไม่ตรงกับพระสูตร ขึ้นมาอ้างเช่นกัน
ซึ่งถ้าพิจารณาตาม "แนวคิด" ของนายคันโตนาซี ก็ต้องสรุปว่า การอ้างอิงของท่านปยุตโต ในกรณีนี้ ย่อมไม่ถูกต้อง และใช้การไม่ได้
ถ้าหาก คันโตนาซี ยังคงยืนยัน "แนวคิด" โง่ๆ ดังกล่าวของตน เพื่อแถกแถ "แก้ตัว" ให้พ้นความรับผิดชอบ ในบาปกรรมที่ก่อไว้
ก็เท่ากับว่า ไอ้หมอนี้ กำลังกล่าวว่า แนวทางการอธิบาย และอ้างอิงหลักฐาน ของท่านปยุตโต ไม่มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ
เมื่อคำอธิบายดังกล่าวนี้ ไม่ถูกต้อง ก็แปลว่า ชาวพุทธทั้งหลายไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิง หรือ "โต้แย้ง" ฝ่ายธรรมกาย ได้เลย
หรือมิใช่ ?
ดังนั้น เพื่อความถูกต้อง ชัดเจน และเป็นธรรม กับทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะ ต่อพระธรรมวินัย และ ท่านปยุตโต
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่นายคันโตนาซี จะต้องออกมาอธิบายความ ในประเด็นนี้ ให้ชัดแจ้งด้วย
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้มีโอกาสเห็น คำอธิบาย อย่างที่ ลูกผู้ชายชาวพุทธ พึงกระทำ นะครับ !
สวัสดี
กรณีธรรมโกย กับ เหตุผลแบบเม็ดมะขาม !
โดยในเบื้องแรก นายคันโตนาซี ได้กล่าวออกมาว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร หมายถึง พระอริยบุคคล
ซึ่งผมคัดค้านว่า ไม่จริง ......... ด้วยเหตุผลที่ว่า
(๑) ข้อความในพระสูตร(สมุทยสูตร) กล่าวถึง ญาณ ที่ ๑ - ๗ จากวิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งยังไม่ข้ามพ้นความเป็น "ปุถุชน"
(๒) เนื้อความในพระสูตรเอง มิได้ระบุว่า อริยสาวก นี้หมายถึง อริยบุคคล ขั้นใดขั้นหนึ่ง อีกทั้งยังไม่มีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมในชั้นอรรถกถา
ต่อมา จะด้วยความโง่ หรือ ความหน้าด้าน อะไรก็แล้วแต่ นายคันโตนาซี ได้ยกพระบาลีจาก โสตาปันนสูตร ขึ้นอ้าง
ด้วยความเข้าใจผิดไปว่า เนื้อหาในพระสูตรนั้น มีความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พระบาลีจาก สมุทยสูตร
จนอาจมีผลทำให้ เขาสามารถสรุปความได้ว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร ต้องหมายถึง พระโสดาบัน ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงอยู่ดี
เนื่องจากโดย "ข้อเท็จจริง" กลับกลายเป็นว่า เนื้อหาของ โสตาปันนสูตร กับ สมุทยสูตร มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ
(๑) ข้อความจาก สมุทยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกผู้ได้สดับนั้นย่อม "รู้ชัด" ตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษ
และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่ง "ขันธ์ ๕" เป็นการกล่าวถึง ญาณ ที่ ๑ - ๗ จากวิปัสสนาญาณ ๙ ซึ่งยังไม่ข้ามพ้นความเป็น "ปุถุชน"
๒) ส่วนข้อความจาก โสตาปันนสูตร ระบุถึง โยคาวจร ผู้รู้ชัดถึง ความเกิด ฯลฯ และอุบายเครื่องสลัดออกของ อุปาทาน ใน ขันธ์ ๕
หรือก็คือ การละสังโยชน์(สักกายทิฐิ) นั่นเอง หมายความว่า ด้วยเหตุที่ละความยึดติดถือมั่น(อุปาทาน) ในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน
หรือ ของๆ ตนได้ โยคาวจรนั้นจึงบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน !
สรุป ก็คือ แม้ข้อความจาก สมุทยสูตร และ โสตาปันนสูตร อาจดูคล้ายคลึงกัน(หากอ่านแบบลวกๆ) แต่ในความจริงแล้ว
กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ สมุทยสูตร ระบุถึง ขันธ์ ๕ แต่ โสตาปันนสูตร กล่าวถึง อุปาทาน(ใน)ขันธ์ ๕ !
เมื่อ "ข้อเท็จจริง" ได้ปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัดถึงเพียงนี้แล้ว แทนที่ นายคันโตนาซี จะเกิดความสลดสังเวช ในความผิดชั่วของตน
ที่ได้ทำการ "กล่าวตู่พระพุทธเจ้า" และ "บิดเบือนพระธรรมวินัย" ด้วยการ "ยอมรับ" ในความผิดบาปของตนแต่โดยดี มันกลับพยายาม
ที่จะดิ้นรนแถกแถ ด้วยความหน้าด้านหน้าทน เพื่อจะเอาชนะคะคาน โดยไม่ใยดีต่อพระธรรมวินัย ที่มันและพวก เคยอวดอ้างสวมรอย
และทำประหนึ่ง เป็นผู้ผูกขาดความถูกต้อง ไว้แต่เพียงผู้เดียว ว่าจะปกป้องรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ด้วยความเคารพยิ่ง !
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า นายคันโตนาซี จะแถกแถ อย่างหน้าด้านๆ ด้วยการอ้างว่า ผมอธิบายความโดย อ้างพระสูตรและอรรถกถา ไม่ตรงกัน
เป็นคนละส่วน คนละเรื่องกัน ซึ่งผมก็ได้อธิบายความไปบ้างแล้ว ตามสมควร ดังนี้ว่า ........
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อความกระจ่างชัดแห่งพระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
ผมจึงเห็นสมควรว่า จะต้องมีการอธิบายแจกแจง ให้ชัดแจ้งอย่างปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ ข้อเท็จจริง ไปในตัวด้วยว่า คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ตามข้อกล่าวหา หรือไม่ ?
ชัดเจนนะครับ !
***********************************************************************************************
***********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๑
จากข้อเท็จจริงทางพระคัมภีร์ ปรากฏว่า พระบาลีจาก สมุทยสูตร พระพุทธเจ้ามิได้ระบุเอาไว้ว่า อริยสาวก หมายถึง ผู้ใด
อีกทั้งยังเป็นที่น่าเสียดายว่า อรรถกถาจารย์ ก็มิได้ให้คำอธิบายขยายความในเรื่องนี้เอาไว้เลยแม้สักคำเดียว สำหรับ สมุทยสูตร
สิ่งที่ผมจำเป็นต้องถาม คันโตนาซี ก็คือ ในเมื่อพระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ อรรถกถาจารย์ ก็มิได้อธิบายไว้ แล้วคันโตนาซี ทราบได้อย่างไรว่า
อริยสาวก จาก สมุทยสูตร หมายถึง พระอริยบุคคล ในขณะที่ อรรถกถาจารย์ ได้กล่าวเอาไว้ใน คัมภีร์อรรถกถา แห่ง อังคุตตรนิกาย ว่า
คำๆ นี้มีความหมายได้หลายอย่าง เช่น สาวกผู้เป็นอริยะ หรือ สาวกของพระอริยะ เป็นต้น
ขออนุญาต ถามย้ำอีกครั้งว่า คันโตนาซี อาศัยหลักฐานใด ในการสรุปความว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร
ต้องหมายถึง อริยบุคคล มิได้หมายถึง สาวกของพระอริยะ(ซึ่งยังเป็น ปุถุชนอยู่) กรุณา อธิบายความพร้อมแสดงหลักฐานด้วยครับ
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อสรุปดังกล่าวของ คันโตนาซี จะมิได้เป็นเพียงแค่ อัตตโนมัติ โง่ๆ ของตัวคุณเอง นะครับ
***********************************************************************************************
***********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๒
การที่ คันโตนาซี พยายามแถกแถ โต้แย้ง ในประเด็นการอ้างอรรถกถา ว่าไม่ตรงกับพระสูตรนั้น
ผมก็เห็นว่ามันเป็นปัญหาเช่นกัน แต่มันไม่ใช่ปัญหาของผมนะครับ เนื่องจาก มันน่าจะเป็นปัญหาของ คันโตนาซี
และอาจหมายรวมไปถึง อาจเป็นปัญหาสำหรับ ข้อความบางส่วน ในตำราของท่านปยุตโต นั้นต่างหาก !
ทั้งนี้ก็เพราะ ถ้าหาก เราเชื่อตามวิธีคิดของ คันโตนาซี ที่ว่า เราไม่สามารถอ้างคำอธิบายในชั้นอรรถกถา ที่ไม่ตรงกับ พระสูตรได้
นั่นย่อมหมายความว่า การอธิบายความของท่านปยุตโต ในตำรา กรณีธรรมกาย ก็ย่อมไม่สามารถใช้การได้เช่นกัน
หากท่านทั้งหลาย พิจารณาตามหลักฐานที่ปรากฏ ก็ย่อมทราบได้ไม่ยากว่า ในการอธิบายว่า นิพพาน อนัตตา ในข้อที่ ๔ นั้น
ท่านปยุตโต ได้อ้างพระบาลีพุทธพจน์ จาก สังยุตตนิกาย ขึ้นอ้างว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ (ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา)
ซึ่งอรรถกถาของพระสูตรดังกล่าว อธิบายความว่า สัพเพ ธัมมา หมายถึง ธรรมในภูมิ ๔ โดยมิได้ ออกชื่อ นิพพาน โดยตรง
ด้วยเหตุดังนี้ ท่านปยุตโต จึงได้ยก อรรถกถาของ นิทเทส และ ปฏิสัมภิทามรรค ขึ้นอ้างว่า ธรรมทั้งปวง หมายรวมพระนิพพานด้วย
กรณีเช่นนี้ ก็เท่ากับ ท่านปยุตโต ต้องการสรุปความว่า นิพพาน อนัตตา โดยการยกอรรถกถา ที่ไม่ตรงกับพระสูตร ขึ้นมาอ้างเช่นกัน
ซึ่งถ้าพิจารณาตาม "แนวคิด" ของนายคันโตนาซี ก็ต้องสรุปว่า การอ้างอิงของท่านปยุตโต ในกรณีนี้ ย่อมไม่ถูกต้อง และใช้การไม่ได้
ถ้าหาก คันโตนาซี ยังคงยืนยัน "แนวคิด" โง่ๆ ดังกล่าวของตน เพื่อแถกแถ "แก้ตัว" ให้พ้นความรับผิดชอบ ในบาปกรรมที่ก่อไว้
ก็เท่ากับว่า ไอ้หมอนี้ กำลังกล่าวว่า แนวทางการอธิบาย และอ้างอิงหลักฐาน ของท่านปยุตโต ไม่มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ
เมื่อคำอธิบายดังกล่าวนี้ ไม่ถูกต้อง ก็แปลว่า ชาวพุทธทั้งหลายไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิง หรือ "โต้แย้ง" ฝ่ายธรรมกาย ได้เลย
หรือมิใช่ ?
ดังนั้น เพื่อความถูกต้อง ชัดเจน และเป็นธรรม กับทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะ ต่อพระธรรมวินัย และ ท่านปยุตโต
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่นายคันโตนาซี จะต้องออกมาอธิบายความ ในประเด็นนี้ ให้ชัดแจ้งด้วย
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้มีโอกาสเห็น คำอธิบาย อย่างที่ ลูกผู้ชายชาวพุทธ พึงกระทำ นะครับ !
สวัสดี