รู้ชัดว่า ........ เม็ดมะขาม บิดเบือนพุทธพจน์(กรณี ศีลเบื้องต้น) !

ด้วยเหตุที่ นายคันโตนาซี "อวดฉลาด" กล่าวตู่บิดเบือนพุทธพจน์ว่า อริยสาวก จาก สมุทยสูตร หมายถึง พระอริยบุคคล(ซึ่งไม่จริง!)



ทั้งนี้ ผมก็ได้แสดงหลักฐานไปแล้วว่า อรรถกถาจารย์ อธิบายถึงคำๆ นี้ว่า มีความหมายได้หลายประการ เช่น


(๑) พระอริยะ ที่ไม่เป็นสาวก
(๒) สาวก ที่ไม่เป็นพระอริยะ
(๓) ไม่เป็นทั้ง สาวก และ พระอริยะ
(๔) เป็นทั้งพระอริยะ และ สาวก



นั่นจึงหมายความว่า "อริยสาวก" ในพระสูตรต่างๆ หากพระบาลีมิได้ระบุความหมาย(อย่างจำเพาะเจาะจง)เอาไว้
ย่อมเป็นหน้าที่ ที่ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา จะต้องพิจารณาจากบริบทแวดล้อมต่างๆ ในพระสูตรนั้นๆ เอาเอง

แต่ไอ้หมอนี่ กลับไม่นำพา !

ล่าสุด คันโตนาซี ก็ยังอุตส่าห์เข้ามาแสดงความโง่ "ประจาน" ตนเอง ซ้ำซากเข้าไปอีก ดังนี้ว่า



ต่อคำถามที่ว่า ผมรู้จักคำว่า "รู้ชัด" หรือไม่ ?

ขอตอบว่า รู้จักครับ และรู้จักดีมากๆ ด้วย

ส่วนประเด็นที่สงสัยว่า ผมแค้นมาก ฯลฯ อะไรทำนองนั้น

ขอเตือน  คันโตนาซี  ด้วยความปรารถนาดีว่า อย่า "ฟุ้งซ่าน" ให้มากนักเลย
ผมไม่เคย และไม่มีเหตุ หรือ ความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมี "ความแค้น" กับใครเลยนี่ครับ
จำเพาะอย่างยิ่ง ในเว็บบอร์ดสาธารณะ อย่างนี้ ผมก็เพียงแค่ นำเสนอ ข้อมูลหลักฐานไปตามที่เห็นสมควร
ส่วน ใคร จะเชื่อหรือไม่เชื่อ นั่นก็สุดแต่ภูมิปัญญาของเขา ผมไปบังคับบัญชาไม่ได้ และไม่เคยคิดแม้แต่กระทั่ง "การชวนเชื่อ"

ต่อเมื่อมีใครสักคนเข้ามาโต้แย้ง มันก็ย่อมเป็นหน้าที่ของผม ที่จะตรวจสอบ "ข้อเท็จจริง"  และทำการโต้แย้งกลับ
ซึ่งนี่ย่อมเป็น "มาตรฐาน" ตามปกติของการ "โต้แย้ง" ด้วยเหตุผลและหลักฐาน อยู่แล้วนี่ครับ
และด้วยกระบวนการ ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมยังมองไม่เห็นว่า จะต้องมี "ความแค้น" เสียจนทำให้
"ไม่ได้ดูอย่างละเอียด" อย่างที่ แก กล่าวมาเลยสักนิด  ดังนั้น ก็จงอย่า "เพ้อเจ้อ" ให้มากนักเลย  มันน่าทุเรศน่ะ !

ประเดี๋ยว เราจะได้มาดูกันว่า แท้ที่จริงแล้ว คนที่มี "ความแค้น" เสียจนทำให้  "ไม่ได้ดูอย่างละเอียด"
แม้แต่กระทั่ง "พระสูตร" ที่ตนนำมาเป็น "หลักฐาน" ในการโต้แย้งนั้น แท้ที่จริง ควรหมายถึงใครกันแน่ ?

กรุณาอ่านกระทู้นี้ อย่าง "ละเอียด" มากๆ หน่อยนะครับ
มิเช่นนั้นแล้ว ท่านอาจถูกกล่าวหาว่า "แค้น" มากเสียจน อ่านไม่ละเอียด ก็ได้

(คริคริ)

***************************************************************************************

ทีนี้ เราลองมาพิจารณา หลักฐานที่ไอ้หน้าโง่ตนนี้ ยกขึ้นมาแย้งดูบ้างว่า มีความถูกต้อง สมเหตุสมผลบ้างหรือไม่ อย่างไร ?

ในอันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ มิได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพราะเมื่อพิจารณา ข้อความจาก โสตาปันนสูตร เทียบกับ สมุทยสูตร
ด้วย สติ และ ปัญญา ในแบบของ ชาวพุทธ ผู้ได้สดับคำสอน(จากพระอริยะ) ก็จะทราบได้โดยไม่ยากว่า อะไรเป็นอะไร ดังต่อไปนี้

๑) ข้อความจาก สมุทยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกผู้ได้สดับนั้นย่อม "รู้ชัด" ตามความเป็นจริงซึ่ง
ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่ง "ขันธ์ ๕"



๒) ส่วนข้อความจาก โสตาปันนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกผู้ได้สดับนั้นย่อม "รู้ชัด" ตามความเป็นจริงซึ่ง
ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่ง "อุปาทานขันธ์ ๕"



สรุป ก็คือ สมุทยสูตร กล่าวถึง ขันธ์ ๕ แต่ โสตาปันนสูตร กล่าวถึง อุปาทานขันธ์ ๕
การที่ คันโตนาซี ไม่สามารถแยกแยะความหมายที่แตกต่างระหว่าง ขันธ์ ๕ กับ อุปาทานขันธ์ ๕ ออกจากกันได้
โดยคิดเห็นไปอย่างโง่ๆ ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน หรือ มีความหมายอย่างเดียวกัน นั่นย่อมเป็น "ความผิดพลาด" ของคันโตนาซีเอง

หรือมิใช่ ?

ทั้งนี้ ท่านปยุตโต ได้อธิบายว่า ขันธ์ ๕ หมายถึง หมวดหนึ่งๆ ของรูปนาม



อุปาทานขันธ์ ๕ หมายถึง ขันธ์ ที่ประกอบด้วย อุปาทาน



ความแตกต่างระหว่าง สมุทยสูตร กับ โสตาปันนสูตร ก็คือ

โสตาปันนสูตร ระบุถึง โยคาวจร ผู้รู้ชัดถึง ความเกิด ฯลฯ และอุบายเครื่องสลัดออกของ อุปาทาน ใน ขันธ์ ๕
หรือก็คือ การละสังโยชน์(สักกายทิฐิ) นั่นเอง หมายความว่า ด้วยเหตุที่ละความยึดติดถือมั่น(อุปาทาน) ในขันธ์ ๕
ว่าเป็นตน หรือ ของๆ ตนได้ โยคาวจรนั้นจึงบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน

ดังนั้น การที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยสาวกใน โสตาปันนสูตร หมายถึง พระโสดาบัน จึงย่อมเป็นการถูกต้อง อย่างที่สุดอยู่แล้ว

ส่วนกรณี สมุทยสูตร

(๑) พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสถึง อริยบุคคล ชั้นใดๆ เลย
(๒) เนื้อความในพระสูตร กล่าวถึงการพิจารณา ขันธ์ (มิใช่อุปาทานขันธ์)  ขอย้ำนะครับว่า ข้อความในสมุทยสูตร กล่าวถึง ขันธ์ ๕ มิใช่ อุปาทานขันธ์ ๕ !
(๓) เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ศึกษา ที่จะต้องพิจารณา ข้อความเหล่านั้นเอาเองว่า อริยสาวก ในพระสูตรดังกล่าว หมายถึงผู้ใด

โดยใจความของ สมุทยสูตร ระบุถึง วิปัสสนาญาณที่ ๑ - ๗ (จากวิปัสสนาญาณ ๙)
จึงทำให้สามารถสรุปความได้ว่า อริยสาวกในที่นี้ ต้องหมายถึง สาวกของพระอริยะ โดย สาวก หมายถึง กัลยาณปุถุชน
ทั้งนี้ก็เพราะ โยคาวจร ผู้ลุถึงวิปัสสนาญาณที่ ๗ นี้ยังไม่พ้น โคตรภูญาณ เราจึงมิอาจกล่าวได้ว่าเป็น พระอริยบุคคล !

ชัดเจนแล้วนะครับ !

ด้วยเหตุผล และ หลักฐาน ทั้งหมด ตามที่แสดงมานี้ จึงทำให้เห็นได้ว่า ไอ้ที่แสดงอาการ "ลิงโลด" ร้องหมอลำ เพ้อเจ้อ อยู่นั่น
จึงเป็นเพียงแค่ การละเล่น ของกระบือหน้าโง่ ที่แยกแยะไม่ได้ แม้กระทั่งความแตกต่างระหว่าง ขันธ์ ๕ กับ อุปาทานขันธ์ ๕ !

อันนี้ ควรเรียกว่า เงิบ หรือ โง่ ดีครับ ?

***************************************************************************************

ส่วน กรณี "รู้ชัด" นั้นขออนุญาต อธิบายโดยย่อ ดังนี้ว่า

ถ้อยคำที่ระบุว่า "รู้ชัด(ปชานาติ)" นั้นมิได้สื่อความหมายอย่างตายตัว
จนสามารถนำมาใช้จำแนกแยกแยะ ปุถุชน กับ อริยบุคคล ออกจากกันได้สักหน่อย
การที่ คันโตนาซี เข้าใจเอาเองอย่างนั้น ต้องถือว่าเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของตนเองนะครับ คงไปโทษใครอื่น มิได้ !

ท่านปยุตโต ได้อธิบายว่า ปัญญา นั้นหมายถึง ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด ฯลฯ



ตัวอย่างเช่น วิปัสสนาญาณ หมายถึง ความเห็นแจ้ง "รู้ชัด" สิ่งทั้งหลายตรงต่อสภาวะของมัน



แต่ถ้ากล่าวโดยปริยายแล้ว ปัญญาความรู้ ไม่ว่าจะในระดับ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา หรือ ภาวนามยปัญญา
ล้วนแล้วแต่สามารถกล่าวได้ว่าเป็น "ความรู้ชัด" ด้วยกันทั้งหมด ในเงื่อนไขที่ว่า นั่นเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
และตรงตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงอนัตตา เป็นต้น



ดังในกรณี วิปัสสนาญาณ ความรู้ชัดใน อุบายเครื่องสลัดออกแห่งขันธ์ ๕ โดยพิจารณา สังขาร
เพื่อหาทางเป็นเครื่องพ้นไปเสีย(ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ)นั้น ถึงอย่างไรๆ ก็ต้องกล่าวว่า เป็น "ความรู้ชัด"
เพราะ ถ้า รู้ไม่ชัด มันคงเรียกว่า วิปัสสนาญาณ ไม่ได้ แต่การรู้ชัดนี้ ก็มิได้หมายความว่า ต้องหมายถึง อริยบุคคล เสมอไป
เพราะตราบเท่าที่วิปัสสนาญาณนั้นยังไม่พ้น โคตรภูญาณ  ก็ยังคงนับว่าเป็น ปุถุชนอยู่ดี แม้จะเรียกว่า อริยสาวก ก็ตาม



สรุป ก็คือ สิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างจริงจัง จึงมิใช่แค่คำว่า "รู้ชัด" แต่จะต้องพิจารณาต่อไปอีกด้วยว่า "รู้ชัด" ในอะไร เช่น ..........

(๑) หาก "รู้ชัด" ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ฯลฯ กรณีอย่างนี้ ย่อมหมายถึง พระอรหันต์ อย่างแน่นอน
(๒) "รู้ชัด" ตามความเป็นจริงซึ่ง ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่ง "อุปาทานขันธ์ ๕" อย่างนี้หมายถึง พระโสดาบัน
(๓) "รู้ชัด" ตามความเป็นจริงซึ่ง ความเกิด ความดับ คุณ โทษ และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่ง "ขันธ์ ๕" กรณีนี้ ยังเป็น "กัลยาณปุถุชน" อยู่นะครับ



ดังนั้น การที่ คันโตนาซี เข้าใจ(ผิด)ไปเองว่า หากมีคำว่า "รู้ชัด" ที่ใด ต้องหมายถึง อริยบุคคล เสมอนั้น
ย่อมเป็นการ คิดเองเออเอง อย่างคนโง่ ไร้สติปัญญา ที่มักใช้ "อัตตโนมัติ" ของตนเอง "บิดเบือนพุทธพจน์" อยู่ร่ำไป

ช่างไม่ละอายชั่วกลัวบาป บ้างเลยหรือหนอ ?



สุดท้ายนี้ ต่อคำถามที่ว่า (ผม)รู้หรือยังว่าใครที่ "แถกแถ" ?

ขออนุญาตตอบว่า ........ รู้แล้วครับ !

ก็ แก นายคันโตนาซี นั่นไง ที่ แถกแถ ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
และได้ ประจาน ความโง่ของตนเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างปราศจาก ยางอาย

ถึงตรงนี้ คันโตนาซี ยอมรับความจริงได้หรือยังว่า แก ได้กล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย ?

แต่หากว่า ยังไม่ยอมรับผิด

คันโตนาซี ก็จง "แถกแถ" สำแดงความโง่ ความหน้าด้าน และ ความชั่วของตน ให้แพร่หลายต่อไปเถิด

แล้วผมจะรอดู(ในทุกๆ ๗ วัน)



หึหึ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่