สังคมจะอยู่ร่วมกันไม่ได้หากใช้ความเชื่อมากกว่าเหตุผล ก่อนปี2549 คนไทยเราอยู่กันอย่างมีความสุขในระดับหนึ่ง ภาพการรวมตัวของประชาชนที่ใส่เสื้อสีเดียวคือสีเหลืองเต็มไปทั่วประเทศ เกิดปรากฎการขาดเเคลนเสื้อสีเหลือง ซึ่งทำให้คนต่างชาติ ทึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มันช่างเป็นภาพที่งดงามเกินจะบรรยาย โลกต้องบัณทึก ความงดงามของสังคมไทย ที่กลมเกลียว มันเป็นความทรงจำของผมที่รู้สึกดีจนบางครั้งน้ำตามันไหล ออกมาเอง
เเต่ในช่วงที่คนไทยกำลังมีความสุข คนใส่เสื้อเหลืองเดินกันเต็มบ้านเมืองในทุกๆวันจันทร์ เหมือนนัดเเนะกันเป็นวาระเเห่งชาติ ในซอกมุมหนึ่งของประทศไทย กลับมีความขัดเเย้งเเอบซ่อนอยู่ การขัดกันของผู้ที่ครองผลประโยชน์เดิม ผู้ที่เคยถือดุลอำนาจประเทศ เเบบเงียบๆ เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในกลุ่มพวกพ้องตัวเอง จัดสรรผลประโยชน์ร่วมกัน เกิดความรู้สึก ถ้าขืนปล่อยให้เกิดดุลอำนาจใหม่ที่มาจากระบอบประชาธิปไตยผู้ที่ถืออยู่เดิมกลุ่มนั้น จะขาดผลประโยชน์ที่เคยได้รับ
ความเปลี่ยนเเปลงในช่วงก่อนหน้านั้นได้เกิดขึ้นหลายอย่างมุมมองของข้าราชการที่กระทำตนเป็นนายประชาชนถูกหักมุม ประชาชนเป็นนายผู้เสียภาษี รัฐวิสาหกิจที่ผู้มีอำนาจส่งบุตรหลานคนของตัวเองเข้าไปนั่งกินเงินเดือน จนคนล้นเกินงานที่มี การเเต่งตั้งข้าราชการที่มีคนกลุ่มหนึ่งควบคุมจัดสรรให้ลงตัว เด็กใคร ลูกใครหลานใคร ที่เคยเข้าเเถวต่อคิวตามที่กลุ่มผู้ถือดุลอำนาจประเทศจัดสรรเเบ่งปันกันในกลุ่มเริ่มมีการถูกเบียดด้วยระบบ หรือที่เรียกระบอบประชาธิปไตย มีการพิจารณากันด้วยกฎเกณฑ์ตามตัวบทกฎหมาย
การเสียประโยชน์ต่างๆในการเข้าถึงการประมูลงาน การครอบครองกิจการค้าใหญ่ๆของของคนกลุ่มหนึ่ง รวมถึงอำนาจในการต่อรอง หรือเเต่งตั้งข้าราชการที่เคยกระทำกันมายาวนาน นานเสียจนคนไทยคิดว่ามันเป็นประเพณีประจำชาติไทยไปเสียเเล้ว ประชาชน ก้มหน้ายอมรับเเบบหมดทางสู้
เเต่การพลิกฟื้นของประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เกิดให้มี รัฐธรรมนูญปี2540 นั่นคือที่มาของการเรียกอำนาจประชาชนมาอยู่ในมือประชาชน การที่กลัวจะสูญเสียอำนาจไปจากมือคือการเริ่มต้น ระยะเวลาเก้าปีในช่วงเปลี่ยนผ่านสร้างความเสียหายกับกลุ่มผู้ได้ประโยชน์เดิม ที่สั่งสมกันมา เริ่มมีกลุ่มที่ไ้ด้ประโยชน์กับกลุ่มที่เกิดใหม่เข้ามาถืออำนาจเเทนโดยผ่านการคัดเลือกของประชาชน สร้างการต่อรองขึ้นมาใหม่ จนในยุคนั้นเกิดวลีในสังคม ที่ว่า ไฮโซ กับ ไฮซ้อ ในสังคมชั้นสูง ไฮโซคือพวกดุลอำนาจเดิมที่ร่ำรวยจากการยึดสัมปทานผลประโยชน์ต่างๆใว้ จนร่ำรวย มีฐานะทางสังคม มีอำนาจ มียศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นชนชั้นสูง หรือคนไทยมักเข้าใจเป็นชนชั้นปกครองซึ่งรวมอยู่ในนั้น
ไฮซ้อคือกลุ่มคนที่ร่ำรวยใหม่ไม่ได้สืบเชื้อสายตระกูลดัง(บางคนอาจมีเเต่บางๆ)อาเจ๊ อาซิ้ม ที่มีสามีเป็นเจ้าของกิจการร่ำรวย การธุระกิจซึ่งเกิดใหม่ การขึ้นชั้นไปเกยอำนาจที่มีอยู่เดิมจึงเกิดการเเบ่งไฮโซกับไฮซ้อ
การเเบ่งเเยกที่ซึมลึกไม่ปรากฎเด่นชัดในช่วงเเรกๆ เนื่องจากกระเเสสังคมค่อนข้างเเรงเเละเห็นด้วย การซุบซิบ นินทาในสังคมชั้นสูงผู้ได้รับผลกระทบ เมื่อมีคู่เเข่งมามีส่วนเเบ่งในอำนาจ ผลประโยชน์ ร่วมการเเย่งกันเข้าถึงผลประโยชน์ใหม่ ที่เกิดขึ้น วงเริ่มกว้างขึ้นขยายขึ้น เริ่มสร้างความเชื่อโดยใช้ ความน่าเชื่อถือที่สังคมให้การยอมรับมานานในภาพคนดี ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ความน่าเชื่อถือจากสื่อมวลชนที่หยิบยื่นให้(พวกเดียวกันงั้นอย่าเเปลกใจถ้าสื่อเอียง) ปรุ่งเเต่งให้เกิดความเชื่อ
การรวมกลุ่มมาถึงจุดที่เเตกหักกันที่หัวขบวรชัดเจนว่าตนเองไม่สามารถควบคุม(control)ในการโยกย้าย เเต่งตั้ง รวมถึงการจัดการผลประโยชน์ร่วมได้อีกต่อไป เมื่อดุลอำนาจไหลไปอีกทาง ที่เกิดขึ้นใหม่ วัฒนธรรมการวิ่งเต้นมีทุกยุคสมัย อำนาจไหลไปที่ใคร เกิดศุนย์รวมอำนาจใหม่ ปรากฎการเด็ก.....๋ากับสาย นายใหญ่ ก็ขบเกลี่ยวกันขึ้น
การวางเเผนเเบบเงียบๆค่อยๆเจรจา สร้างความเชื่อออกมา มีการหยิบยกเรื่องที่คนไทยยอมรับไม่ใ่ได้ออกมาปั่นกระเเส สมทบด้วยข้อกล่าวหาเรื่องโกงต่างๆ สร้างความเชื่อ จนเกิดการเกลียดชั้ง โดยอาศัยตาเเป๊ะเเก่ๆคนหนึ่ง ที่ไม่สมประโยชน์กับธุระกิจที่ตัวเองต้องการ คือทีวี ที่เป็นเเหล่งผลประโยชน์คงไม่ต้องบอกว่ามหาศาลเเค่ไหน
การปั่นกระเเสความเชื่อตอกย้ำกันลึก จนที่สุดสังคมนี้เต็มไปด้วยความเชื่อมากกว่าเหตุผล หลายครั้งที่ความพยายามหยิบความเชื่อมากล่าวอ้างเเต่เมื่อจนด้วยเหตุผล ถ้าเป็นสังคมธรรมดา คงจบไปเเต่สังคมไทยในปัจจุบันมันลงลึกขนาด ไม่ยอมรับเหตุผลกันได้
ก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานสัเพียงใดสังคมจะกลับมาเหมือนเดิม เเต่เชื่อเถอะมันต้องกลับมา ถือว่าเป็นวงเวียน รอบวงที่ประเทศต่างๆต้องผ่านจุดๆนี้ในยุคเปลี่ยนผ่าน เมื่อความจริงปรากฎ หรือหมดความอดทนกันไป เเรงกดทับระเบิดออก เเล้วค่อยๆผสานใหม่ สังคมไทยก็จะมีเหตุผลอยู่เหนือความเชื่อกันไปเอง.....................สหายจัน
ความเชื่อที่เหนือเหตุผล
เเต่ในช่วงที่คนไทยกำลังมีความสุข คนใส่เสื้อเหลืองเดินกันเต็มบ้านเมืองในทุกๆวันจันทร์ เหมือนนัดเเนะกันเป็นวาระเเห่งชาติ ในซอกมุมหนึ่งของประทศไทย กลับมีความขัดเเย้งเเอบซ่อนอยู่ การขัดกันของผู้ที่ครองผลประโยชน์เดิม ผู้ที่เคยถือดุลอำนาจประเทศ เเบบเงียบๆ เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในกลุ่มพวกพ้องตัวเอง จัดสรรผลประโยชน์ร่วมกัน เกิดความรู้สึก ถ้าขืนปล่อยให้เกิดดุลอำนาจใหม่ที่มาจากระบอบประชาธิปไตยผู้ที่ถืออยู่เดิมกลุ่มนั้น จะขาดผลประโยชน์ที่เคยได้รับ
ความเปลี่ยนเเปลงในช่วงก่อนหน้านั้นได้เกิดขึ้นหลายอย่างมุมมองของข้าราชการที่กระทำตนเป็นนายประชาชนถูกหักมุม ประชาชนเป็นนายผู้เสียภาษี รัฐวิสาหกิจที่ผู้มีอำนาจส่งบุตรหลานคนของตัวเองเข้าไปนั่งกินเงินเดือน จนคนล้นเกินงานที่มี การเเต่งตั้งข้าราชการที่มีคนกลุ่มหนึ่งควบคุมจัดสรรให้ลงตัว เด็กใคร ลูกใครหลานใคร ที่เคยเข้าเเถวต่อคิวตามที่กลุ่มผู้ถือดุลอำนาจประเทศจัดสรรเเบ่งปันกันในกลุ่มเริ่มมีการถูกเบียดด้วยระบบ หรือที่เรียกระบอบประชาธิปไตย มีการพิจารณากันด้วยกฎเกณฑ์ตามตัวบทกฎหมาย
การเสียประโยชน์ต่างๆในการเข้าถึงการประมูลงาน การครอบครองกิจการค้าใหญ่ๆของของคนกลุ่มหนึ่ง รวมถึงอำนาจในการต่อรอง หรือเเต่งตั้งข้าราชการที่เคยกระทำกันมายาวนาน นานเสียจนคนไทยคิดว่ามันเป็นประเพณีประจำชาติไทยไปเสียเเล้ว ประชาชน ก้มหน้ายอมรับเเบบหมดทางสู้
เเต่การพลิกฟื้นของประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เกิดให้มี รัฐธรรมนูญปี2540 นั่นคือที่มาของการเรียกอำนาจประชาชนมาอยู่ในมือประชาชน การที่กลัวจะสูญเสียอำนาจไปจากมือคือการเริ่มต้น ระยะเวลาเก้าปีในช่วงเปลี่ยนผ่านสร้างความเสียหายกับกลุ่มผู้ได้ประโยชน์เดิม ที่สั่งสมกันมา เริ่มมีกลุ่มที่ไ้ด้ประโยชน์กับกลุ่มที่เกิดใหม่เข้ามาถืออำนาจเเทนโดยผ่านการคัดเลือกของประชาชน สร้างการต่อรองขึ้นมาใหม่ จนในยุคนั้นเกิดวลีในสังคม ที่ว่า ไฮโซ กับ ไฮซ้อ ในสังคมชั้นสูง ไฮโซคือพวกดุลอำนาจเดิมที่ร่ำรวยจากการยึดสัมปทานผลประโยชน์ต่างๆใว้ จนร่ำรวย มีฐานะทางสังคม มีอำนาจ มียศฐาบรรดาศักดิ์ เป็นชนชั้นสูง หรือคนไทยมักเข้าใจเป็นชนชั้นปกครองซึ่งรวมอยู่ในนั้น
ไฮซ้อคือกลุ่มคนที่ร่ำรวยใหม่ไม่ได้สืบเชื้อสายตระกูลดัง(บางคนอาจมีเเต่บางๆ)อาเจ๊ อาซิ้ม ที่มีสามีเป็นเจ้าของกิจการร่ำรวย การธุระกิจซึ่งเกิดใหม่ การขึ้นชั้นไปเกยอำนาจที่มีอยู่เดิมจึงเกิดการเเบ่งไฮโซกับไฮซ้อ
การเเบ่งเเยกที่ซึมลึกไม่ปรากฎเด่นชัดในช่วงเเรกๆ เนื่องจากกระเเสสังคมค่อนข้างเเรงเเละเห็นด้วย การซุบซิบ นินทาในสังคมชั้นสูงผู้ได้รับผลกระทบ เมื่อมีคู่เเข่งมามีส่วนเเบ่งในอำนาจ ผลประโยชน์ ร่วมการเเย่งกันเข้าถึงผลประโยชน์ใหม่ ที่เกิดขึ้น วงเริ่มกว้างขึ้นขยายขึ้น เริ่มสร้างความเชื่อโดยใช้ ความน่าเชื่อถือที่สังคมให้การยอมรับมานานในภาพคนดี ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ความน่าเชื่อถือจากสื่อมวลชนที่หยิบยื่นให้(พวกเดียวกันงั้นอย่าเเปลกใจถ้าสื่อเอียง) ปรุ่งเเต่งให้เกิดความเชื่อ
การรวมกลุ่มมาถึงจุดที่เเตกหักกันที่หัวขบวรชัดเจนว่าตนเองไม่สามารถควบคุม(control)ในการโยกย้าย เเต่งตั้ง รวมถึงการจัดการผลประโยชน์ร่วมได้อีกต่อไป เมื่อดุลอำนาจไหลไปอีกทาง ที่เกิดขึ้นใหม่ วัฒนธรรมการวิ่งเต้นมีทุกยุคสมัย อำนาจไหลไปที่ใคร เกิดศุนย์รวมอำนาจใหม่ ปรากฎการเด็ก.....๋ากับสาย นายใหญ่ ก็ขบเกลี่ยวกันขึ้น
การวางเเผนเเบบเงียบๆค่อยๆเจรจา สร้างความเชื่อออกมา มีการหยิบยกเรื่องที่คนไทยยอมรับไม่ใ่ได้ออกมาปั่นกระเเส สมทบด้วยข้อกล่าวหาเรื่องโกงต่างๆ สร้างความเชื่อ จนเกิดการเกลียดชั้ง โดยอาศัยตาเเป๊ะเเก่ๆคนหนึ่ง ที่ไม่สมประโยชน์กับธุระกิจที่ตัวเองต้องการ คือทีวี ที่เป็นเเหล่งผลประโยชน์คงไม่ต้องบอกว่ามหาศาลเเค่ไหน
การปั่นกระเเสความเชื่อตอกย้ำกันลึก จนที่สุดสังคมนี้เต็มไปด้วยความเชื่อมากกว่าเหตุผล หลายครั้งที่ความพยายามหยิบความเชื่อมากล่าวอ้างเเต่เมื่อจนด้วยเหตุผล ถ้าเป็นสังคมธรรมดา คงจบไปเเต่สังคมไทยในปัจจุบันมันลงลึกขนาด ไม่ยอมรับเหตุผลกันได้
ก็ไม่รู้ว่าจะยาวนานสัเพียงใดสังคมจะกลับมาเหมือนเดิม เเต่เชื่อเถอะมันต้องกลับมา ถือว่าเป็นวงเวียน รอบวงที่ประเทศต่างๆต้องผ่านจุดๆนี้ในยุคเปลี่ยนผ่าน เมื่อความจริงปรากฎ หรือหมดความอดทนกันไป เเรงกดทับระเบิดออก เเล้วค่อยๆผสานใหม่ สังคมไทยก็จะมีเหตุผลอยู่เหนือความเชื่อกันไปเอง.....................สหายจัน