เรื่องในซีรียส์เดียวกัน บ่มไวน์ใส่รัก
http://ppantip.com/topic/30777946
บทก่อนหน้า
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/30935459
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/30940219
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/30942490
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/30944733
“คุณราฟกับลิลลี่ตัดสินใจปลูกชิราซเป็นรุ่นแรก” มาร์โคบอกกับผู้จัดการไร่สาวขณะรับประทานอาหารเย็นอยู่ด้วยกัน หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ลิลลี่บอกเธอว่ามาร์โคจะเป็นคนจัดการองุ่น ส่วนเธอจัดการธุรกิจ เพราะฉะนั้นเรื่องการปลูกองุ่นจึงอยู่ในมือมาร์โค โดยที่เธอเพียงแต่อำนวยความสะดวกให้เขาเท่านั้น
“ทางนู้นจะจัดการเตรียมกิ่งพันธุ์องุ่น ตอนนี้เราต้องเตรียมดิน ค้าง และระบบน้ำ” ชายหนุ่มกล่าวต่อเมื่อไม่เห็นหญิงสาวออกความเห็นใดๆ
“คุณจะให้ฉันทำอะไรก็สั่งมาก็แล้วกันค่ะ”
“ก่อนอื่นต้องเตรียมแปลงองุ่นก่อน ลิลลี่บอกว่าส่วนที่เป็นแปลงสตรอเบอรี่ทั้งหมดสามาถเปลี่ยนเป็นแปลงองุ่นได้เลย เราต้องเริ่มขุดหลุมสำหรับปลูกองุ่น ส่วนหลักไม้และค้างเราจะทำหลังจากปลูกองุ่นแล้ว”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คนงานเตรียมแปลงตามที่คุณสั่ง ค้างเราคงต้องให้คนงานทำเอง คุณจะใช้วัสดุอะไรบ้างและต้องการให้ทำอย่างไรคงต้องบอกรายละเอียดมา เพราะคนงานเราไม่เคยทำ ส่วนระบบน้ำ มีบริษัทรับทำ เดี๋ยวฉันจะติดต่อให้เขามาโควตราคาให้”
“งั้นผมให้คุณจัดการกับระบบน้ำไปเลย ผมจะจัดการเรื่องค้างเอง เดี๋ยวจะส่งรายงานการจัดซื้อวัสดุไปให้”
“ได้ค่ะ งั้นฉันจะให้โจอี้เป็นผู้ช่วยคุณละกัน” หญิงสาวบอก โจอี้กำลังเรียนประกาศนียบัตรทางด้านการเกษตรที่เทฟ[1] และตอนนี้เขาก็เป็นเด็กฝึกงานปีหนึ่ง ที่จะรับใช้ในไร่แล้วแต่จะได้รับคำสั่ง ซึ่งตอนนี้หน้าที่หลักคือดูแลม้าที่คอกเพราะงานในไร่ยังไม่ได้เริ่มต้น แต่เมื่อเริ่มปลูกองุ่น เธอคิดว่าให้โจอี้เป็นผู้ช่วยมาร์โคจะเป็นผลดีต่อเด็กหนุ่มมากกว่า
“งั้นให้โจอี้ไปพบผมในไร่ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอก และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรวบส้อมกับมีดแล้วจึงลุกขึ้น หยิบจานของตัวเองและยื่นมือไปเก็บจานของหญิงสาวไปใส่เครื่องล้างจานให้พร้อมกัน ก่อนที่จะหันมาถามคนที่กำลังเก็บขวดเกลือและพริกไทยบนโต๊ะ
“ผมจะไปนั่งดื่มที่ห้องนั่งเล่น จะดื่มด้วยกันไหม” ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ไลลาเห็นว่านัยน์ตาสีเขียวมรกตของเขามีประกายระยิบระยับที่คราวนี้เธอมั่นใจว่า เขากำลังคิดถึงครั้งที่เธอดื่มกับเขาเพียงครั้งเดียวนั้นอย่างแน่นอน
“ฉันจะไม่แตะแอลกอฮอล์อีกในชีวิต!” หญิงสาวพูดก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากครัว หูแว่วเสียงคนที่ปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์หัวเราะราวกับขบขันเสียเต็มประดา
“หัวเราะอะไร อีตาบ้า” ไลลาพึมพำเบาๆ อย่างแน่ใจว่าคนที่กำลังหัวเราะคงจะไม่ได้ยิน ขณะเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ซึ่งอยู่คนละฟากห้องนั่งเล่นกับห้องนอนของอีกคน
ไลลาเดินเข้ามาในครัวหลังตื่นนอนในตอนเช้าเพื่อหาอาหารเช้าให้ตัวเอง รู้สึกผิดหวังนิดๆที่วันนี้ในครัวเงียบกริบ ไร้ร่องรอยของผู้จัดการไร่หนุ่มดังเช่นทุกวัน หญิงสาวเดินตรงไปยังหม้อต้มกาแฟที่ดูเหมือนจะถูกใช้งานไปแล้วรอบหนึ่ง ขณะกำลังตวงกาแฟบดใส่ลงไปในกรวยนั้นเอง หญิงสาวสังเกตเห็นจานอะไรบางอย่างซึ่งถูกปิดไว้ด้วยกระดาษฟอยล์เพื่อเก็บกักความร้อน พร้อมกับโน้ตเล็กๆอ่านได้ความว่า
‘ผมทำแพนเค้กมากไปหน่อย เลยเหลือเผื่อคุณด้วย มันมีประโยชน์กว่าขนมปังแค่สองแผ่นนะ’
ไลลาอดยิ้มให้กับลายมือเป็นระเบียบบนโน้ตแผ่นเล็กๆนั้นไม่ได้ นึกถึงผู้ชายที่มีใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์แทบจะตลอดเวลา แต่ก็มีน้ำใจมากพอที่จะทำแพนเค้กไว้ให้เธอ แม้เขาจะบอกว่าทำมากเกินความต้องการจนเหลือก็ตาม ผู้จัดการไร่สาวจัดการแกะกระดาษฟอยล์ออก เปิดตู้เก็บอาหารแห้งเพื่อค้นหาเมเปิลไซรัป และเมื่อพบสิ่งที่ต้องการก็หยิบมาราดลงบนแพนเค้ก รินกาแฟใส่ถ้วย และยกอาหารเช้าที่หนักกว่าทุกวันไปนั่งกินบนเคาน์เตอร์ครัว ตามปกติเธอจะไม่มีวันกินแพนเค้กชิ้นยักษ์ขนาดนี้เป็นอาหารเช้าแน่ แต่เพราะมีคนทำไว้ให้ จะให้เธอใจดำไม่แตะต้องเลยก็กระไรอยู่
หลังจัดการกับอาหารเช้าและเก็บจานชามเรียบร้อย หญิงสาวรินกาแฟใส่กระบอกเก็บความร้อนและเดินตรงไปยังห้องทำงาน วันนี้ท่าทางจะเป็นวันที่มีอะไรให้ทำมาก และเธอก็ไม่สามารถทำงานโดยปราศจากกาแฟซะด้วยสิ
“เอาล่ะ ขุดหลุมลึกประมาณฟุตครึ่ง ห่างกันหลุมละ 8 นิ้ว แต่ละแถวห่างกัน 9 นิ้ว ให้แต่ละแถวหันไปทางนี้” ชายหนุ่มบอกคนงานที่พร้อมลงมือขุดหลุมสำหรับปลูกองุ่น พร้อมชี้ไม้ชี้มือประกอบคำสั่ง โดยมีโจอี้ เด็กฝึกงานยืนอยู่ใกล้ๆอย่างสนใจ สีหน้ากระตือรือร้น
“ทำไมต้องหันแถวไปทางนี้ล่ะครับนาย” โจอี้ถาม
“เพื่อให้แถวองุ่นขนานไปกับทิศทางลม เพื่อที่ลมจะได้ช่วยทำให้ใบแห้งเร็วขึ้นหลังฝนตก จะได้ลดความชื้นและความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อรา” ผู้จัดการไร่หนุ่มอธิบายยืดยาว พร้อมทั้งมองเด็กหนุ่มที่ถามคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างพอใจ ชายหนุ่มมองเห็นความตั้งอกตั้งใจในแววตาของโจอี้ ทำให้นึกถึงตนเองเมื่อสมัยที่มีอายุเท่าๆกัน ในตอนนั้นเขาก็อยากจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการปลูกองุ่น และตั้งอกตั้งใจหาความรู้จนมายืนที่จุดนี้ จุดที่นอกจากราฟาเอลแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่จะรู้ดีไปกว่าเขาในเรื่องการปลูกองุ่น ทั้งนี้ไม่นับบิดาและคุณฟาบิโอ เพราะสองคนนั้นเรียกว่าเป็นระดับตำนานเลยทีเดียว
“ด้วยระยะห่างเท่านี้ ในหนึ่งเอเคอร์จะมีทั้งหมด 605 หลุม เราจะปลูกทั้งหมด 20 เอเคอร์ คำนวณเอาว่าจะต้องใช้หลักไม้ทั้งหมดเท่าไหร่” ชายหนุ่มบอกเด็กหนุ่มซึ่งกำลังจดลงไปบนสมุดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาได้รับมอบหมายให้ทำรายงานการจัดซื้อวัสดุสำหรับหลักไม้และค้างเพื่อส่งให้กับผู้จัดการไร่สาว และต้องการที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องแม่นยำที่สุด
มาร์โคใช้เวลาทั้งวันทำงานในไร่ โดยหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันช่วงสั้นๆเท่านั้น ซึ่งเป็นแซนด์วิชที่เขาเตรียมมาจากบ้านเมื่อเช้านี้ เพราะไม่อยากเสียเวลากลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านอีก เนื่องจากบริเวณที่จะลงองุ่นรุ่นแรกนี้อยู่ห่างจากตัวบ้านพอสมควร และเมื่อได้ลงมือทำงาน เขาก็จะทำงานอย่างจริงจังเสมอ
ชายหนุ่มอยู่บริเวณแปลงองุ่นจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานของคนงาน เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับแล้วชายหนุ่มจึงเตรียมตัวกลับบ้าง และขณะที่เดินไปบนทางเดินโรยกรวดในไร่นั้นเอง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่เงียบเสียงทั้งวันก็ดังขึ้น
โทรศัพท์สายนั้น ทำให้ผู้จัดการไร่หนุ่มขับรถออกจากไร่ในเวลาที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า โดยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน
“อ้าว โจอี้ มีอะไรจ๊ะ” ไลลาเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาในห้องทำงาน และพบว่าเป็นโจอี้ เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานที่เธอส่งไปช่วยงานผู้จัดการไร่หนุ่มเมื่อเช้านี้ ในมือของเขามีแฟ้มเอกสารบางอย่างอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่คุ้นตานัก
“ผมเอารายงานการจัดซื้อมาให้ครับ” เด็กหนุ่มกล่าวนอบน้อม
“จากมาร์โคเหรอจ๊ะ” หญิงสาวถาม ท่าทางมาร์โคคงจะให้โจอี้ช่วยทำงานเอกสารกระมัง
“ครับ ในนี้จะเป็นรายการหลักไม้ และลวดสำหรับทำค้าง” เด็กหนุ่มอธิบาย พลางยื่นแฟ้มให้หญิงสาว ไลลารับแฟ้มมาวางบนโต๊ะก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะจ๊ะโจอี้ ไม่มีอะไรแล้ว ไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ” บอกอย่างใจดี เด็กหนุ่มจึงส่งยิ้มให้ผู้จัดการไร่สาว ก่อนจะแจ้งข่าวที่มาร์โคฝากบอกเธอ
“มาร์โคฝากบอกว่าวันนี้ไม่อยู่ทานข้าวเย็นนะครับ”
“อ้าว เหรอจ๊ะ บอกมั้ยว่าจะไปไหน” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ เขาไม่ได้มีท่าทางว่าจะไปไหนนี่นา หรือว่ามีธุระกะทันหัน
“ไม่ได้บอกครับ”
“อ่อ จ้ะ ขอบใจนะ” หญิงสาวพึมพำขอบคุณเด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือและเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้วจึงเก็บงานบนโต๊ะและลุกขึ้น
“ไปกันเถอะจ้ะโจอี้” พูดพลางเดินตามเด็กหนุ่มออกจากห้องทำงาน ก่อนที่จะแยกเดินกลับไปยังที่ตั้งของบ้านหลังใหญ่ ในขณะที่โจอี้เดินกลับไปยังแกรนนี่แฟลตข้างคอกม้าที่อาศัยอยู่
เขาไปไหน หญิงสาวถามตัวเองในใจ ก่อนที่จะรำลึกได้ว่าเขาจะไปหรือจะมามันก็ไม่ใช่ธุระกงการของเธอ บางทีเขาอาจจะไม่อยากกินอาหารฝีมือเธอก็ได้ ก็เลยไปหาอะไรกินในเมืองคนเดียว และเมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสลัดความคิดเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้อาศัยร่วมบ้านออกจากสมอง และเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น ก่อนที่จะเข้าครัวเพื่อทำอาหารเย็น.. กินคนเดียว..
[1] TAFE: (Technical and Further Education) วิทยาลัยวิชาชีพของรัฐบาล
อุ่นไอรัก บทที่ ๕
บทก่อนหน้า
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/30935459
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/30940219
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/30942490
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/30944733
“คุณราฟกับลิลลี่ตัดสินใจปลูกชิราซเป็นรุ่นแรก” มาร์โคบอกกับผู้จัดการไร่สาวขณะรับประทานอาหารเย็นอยู่ด้วยกัน หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ลิลลี่บอกเธอว่ามาร์โคจะเป็นคนจัดการองุ่น ส่วนเธอจัดการธุรกิจ เพราะฉะนั้นเรื่องการปลูกองุ่นจึงอยู่ในมือมาร์โค โดยที่เธอเพียงแต่อำนวยความสะดวกให้เขาเท่านั้น
“ทางนู้นจะจัดการเตรียมกิ่งพันธุ์องุ่น ตอนนี้เราต้องเตรียมดิน ค้าง และระบบน้ำ” ชายหนุ่มกล่าวต่อเมื่อไม่เห็นหญิงสาวออกความเห็นใดๆ
“คุณจะให้ฉันทำอะไรก็สั่งมาก็แล้วกันค่ะ”
“ก่อนอื่นต้องเตรียมแปลงองุ่นก่อน ลิลลี่บอกว่าส่วนที่เป็นแปลงสตรอเบอรี่ทั้งหมดสามาถเปลี่ยนเป็นแปลงองุ่นได้เลย เราต้องเริ่มขุดหลุมสำหรับปลูกองุ่น ส่วนหลักไม้และค้างเราจะทำหลังจากปลูกองุ่นแล้ว”
“ค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คนงานเตรียมแปลงตามที่คุณสั่ง ค้างเราคงต้องให้คนงานทำเอง คุณจะใช้วัสดุอะไรบ้างและต้องการให้ทำอย่างไรคงต้องบอกรายละเอียดมา เพราะคนงานเราไม่เคยทำ ส่วนระบบน้ำ มีบริษัทรับทำ เดี๋ยวฉันจะติดต่อให้เขามาโควตราคาให้”
“งั้นผมให้คุณจัดการกับระบบน้ำไปเลย ผมจะจัดการเรื่องค้างเอง เดี๋ยวจะส่งรายงานการจัดซื้อวัสดุไปให้”
“ได้ค่ะ งั้นฉันจะให้โจอี้เป็นผู้ช่วยคุณละกัน” หญิงสาวบอก โจอี้กำลังเรียนประกาศนียบัตรทางด้านการเกษตรที่เทฟ[1] และตอนนี้เขาก็เป็นเด็กฝึกงานปีหนึ่ง ที่จะรับใช้ในไร่แล้วแต่จะได้รับคำสั่ง ซึ่งตอนนี้หน้าที่หลักคือดูแลม้าที่คอกเพราะงานในไร่ยังไม่ได้เริ่มต้น แต่เมื่อเริ่มปลูกองุ่น เธอคิดว่าให้โจอี้เป็นผู้ช่วยมาร์โคจะเป็นผลดีต่อเด็กหนุ่มมากกว่า
“งั้นให้โจอี้ไปพบผมในไร่ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มบอก และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรวบส้อมกับมีดแล้วจึงลุกขึ้น หยิบจานของตัวเองและยื่นมือไปเก็บจานของหญิงสาวไปใส่เครื่องล้างจานให้พร้อมกัน ก่อนที่จะหันมาถามคนที่กำลังเก็บขวดเกลือและพริกไทยบนโต๊ะ
“ผมจะไปนั่งดื่มที่ห้องนั่งเล่น จะดื่มด้วยกันไหม” ถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ไลลาเห็นว่านัยน์ตาสีเขียวมรกตของเขามีประกายระยิบระยับที่คราวนี้เธอมั่นใจว่า เขากำลังคิดถึงครั้งที่เธอดื่มกับเขาเพียงครั้งเดียวนั้นอย่างแน่นอน
“ฉันจะไม่แตะแอลกอฮอล์อีกในชีวิต!” หญิงสาวพูดก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากครัว หูแว่วเสียงคนที่ปกติไม่ค่อยแสดงอารมณ์หัวเราะราวกับขบขันเสียเต็มประดา
“หัวเราะอะไร อีตาบ้า” ไลลาพึมพำเบาๆ อย่างแน่ใจว่าคนที่กำลังหัวเราะคงจะไม่ได้ยิน ขณะเดินตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ซึ่งอยู่คนละฟากห้องนั่งเล่นกับห้องนอนของอีกคน
ไลลาเดินเข้ามาในครัวหลังตื่นนอนในตอนเช้าเพื่อหาอาหารเช้าให้ตัวเอง รู้สึกผิดหวังนิดๆที่วันนี้ในครัวเงียบกริบ ไร้ร่องรอยของผู้จัดการไร่หนุ่มดังเช่นทุกวัน หญิงสาวเดินตรงไปยังหม้อต้มกาแฟที่ดูเหมือนจะถูกใช้งานไปแล้วรอบหนึ่ง ขณะกำลังตวงกาแฟบดใส่ลงไปในกรวยนั้นเอง หญิงสาวสังเกตเห็นจานอะไรบางอย่างซึ่งถูกปิดไว้ด้วยกระดาษฟอยล์เพื่อเก็บกักความร้อน พร้อมกับโน้ตเล็กๆอ่านได้ความว่า
‘ผมทำแพนเค้กมากไปหน่อย เลยเหลือเผื่อคุณด้วย มันมีประโยชน์กว่าขนมปังแค่สองแผ่นนะ’
ไลลาอดยิ้มให้กับลายมือเป็นระเบียบบนโน้ตแผ่นเล็กๆนั้นไม่ได้ นึกถึงผู้ชายที่มีใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์แทบจะตลอดเวลา แต่ก็มีน้ำใจมากพอที่จะทำแพนเค้กไว้ให้เธอ แม้เขาจะบอกว่าทำมากเกินความต้องการจนเหลือก็ตาม ผู้จัดการไร่สาวจัดการแกะกระดาษฟอยล์ออก เปิดตู้เก็บอาหารแห้งเพื่อค้นหาเมเปิลไซรัป และเมื่อพบสิ่งที่ต้องการก็หยิบมาราดลงบนแพนเค้ก รินกาแฟใส่ถ้วย และยกอาหารเช้าที่หนักกว่าทุกวันไปนั่งกินบนเคาน์เตอร์ครัว ตามปกติเธอจะไม่มีวันกินแพนเค้กชิ้นยักษ์ขนาดนี้เป็นอาหารเช้าแน่ แต่เพราะมีคนทำไว้ให้ จะให้เธอใจดำไม่แตะต้องเลยก็กระไรอยู่
หลังจัดการกับอาหารเช้าและเก็บจานชามเรียบร้อย หญิงสาวรินกาแฟใส่กระบอกเก็บความร้อนและเดินตรงไปยังห้องทำงาน วันนี้ท่าทางจะเป็นวันที่มีอะไรให้ทำมาก และเธอก็ไม่สามารถทำงานโดยปราศจากกาแฟซะด้วยสิ
“เอาล่ะ ขุดหลุมลึกประมาณฟุตครึ่ง ห่างกันหลุมละ 8 นิ้ว แต่ละแถวห่างกัน 9 นิ้ว ให้แต่ละแถวหันไปทางนี้” ชายหนุ่มบอกคนงานที่พร้อมลงมือขุดหลุมสำหรับปลูกองุ่น พร้อมชี้ไม้ชี้มือประกอบคำสั่ง โดยมีโจอี้ เด็กฝึกงานยืนอยู่ใกล้ๆอย่างสนใจ สีหน้ากระตือรือร้น
“ทำไมต้องหันแถวไปทางนี้ล่ะครับนาย” โจอี้ถาม
“เพื่อให้แถวองุ่นขนานไปกับทิศทางลม เพื่อที่ลมจะได้ช่วยทำให้ใบแห้งเร็วขึ้นหลังฝนตก จะได้ลดความชื้นและความเสี่ยงที่จะเกิดเชื้อรา” ผู้จัดการไร่หนุ่มอธิบายยืดยาว พร้อมทั้งมองเด็กหนุ่มที่ถามคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆอย่างพอใจ ชายหนุ่มมองเห็นความตั้งอกตั้งใจในแววตาของโจอี้ ทำให้นึกถึงตนเองเมื่อสมัยที่มีอายุเท่าๆกัน ในตอนนั้นเขาก็อยากจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการปลูกองุ่น และตั้งอกตั้งใจหาความรู้จนมายืนที่จุดนี้ จุดที่นอกจากราฟาเอลแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่จะรู้ดีไปกว่าเขาในเรื่องการปลูกองุ่น ทั้งนี้ไม่นับบิดาและคุณฟาบิโอ เพราะสองคนนั้นเรียกว่าเป็นระดับตำนานเลยทีเดียว
“ด้วยระยะห่างเท่านี้ ในหนึ่งเอเคอร์จะมีทั้งหมด 605 หลุม เราจะปลูกทั้งหมด 20 เอเคอร์ คำนวณเอาว่าจะต้องใช้หลักไม้ทั้งหมดเท่าไหร่” ชายหนุ่มบอกเด็กหนุ่มซึ่งกำลังจดลงไปบนสมุดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาได้รับมอบหมายให้ทำรายงานการจัดซื้อวัสดุสำหรับหลักไม้และค้างเพื่อส่งให้กับผู้จัดการไร่สาว และต้องการที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องแม่นยำที่สุด
มาร์โคใช้เวลาทั้งวันทำงานในไร่ โดยหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันช่วงสั้นๆเท่านั้น ซึ่งเป็นแซนด์วิชที่เขาเตรียมมาจากบ้านเมื่อเช้านี้ เพราะไม่อยากเสียเวลากลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านอีก เนื่องจากบริเวณที่จะลงองุ่นรุ่นแรกนี้อยู่ห่างจากตัวบ้านพอสมควร และเมื่อได้ลงมือทำงาน เขาก็จะทำงานอย่างจริงจังเสมอ
ชายหนุ่มอยู่บริเวณแปลงองุ่นจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานของคนงาน เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับแล้วชายหนุ่มจึงเตรียมตัวกลับบ้าง และขณะที่เดินไปบนทางเดินโรยกรวดในไร่นั้นเอง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่เงียบเสียงทั้งวันก็ดังขึ้น
โทรศัพท์สายนั้น ทำให้ผู้จัดการไร่หนุ่มขับรถออกจากไร่ในเวลาที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า โดยที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน
“อ้าว โจอี้ มีอะไรจ๊ะ” ไลลาเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาในห้องทำงาน และพบว่าเป็นโจอี้ เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานที่เธอส่งไปช่วยงานผู้จัดการไร่หนุ่มเมื่อเช้านี้ ในมือของเขามีแฟ้มเอกสารบางอย่างอยู่ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่คุ้นตานัก
“ผมเอารายงานการจัดซื้อมาให้ครับ” เด็กหนุ่มกล่าวนอบน้อม
“จากมาร์โคเหรอจ๊ะ” หญิงสาวถาม ท่าทางมาร์โคคงจะให้โจอี้ช่วยทำงานเอกสารกระมัง
“ครับ ในนี้จะเป็นรายการหลักไม้ และลวดสำหรับทำค้าง” เด็กหนุ่มอธิบาย พลางยื่นแฟ้มให้หญิงสาว ไลลารับแฟ้มมาวางบนโต๊ะก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะจ๊ะโจอี้ ไม่มีอะไรแล้ว ไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ” บอกอย่างใจดี เด็กหนุ่มจึงส่งยิ้มให้ผู้จัดการไร่สาว ก่อนจะแจ้งข่าวที่มาร์โคฝากบอกเธอ
“มาร์โคฝากบอกว่าวันนี้ไม่อยู่ทานข้าวเย็นนะครับ”
“อ้าว เหรอจ๊ะ บอกมั้ยว่าจะไปไหน” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจ เขาไม่ได้มีท่าทางว่าจะไปไหนนี่นา หรือว่ามีธุระกะทันหัน
“ไม่ได้บอกครับ”
“อ่อ จ้ะ ขอบใจนะ” หญิงสาวพึมพำขอบคุณเด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือและเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาค่อนข้างเย็นแล้วจึงเก็บงานบนโต๊ะและลุกขึ้น
“ไปกันเถอะจ้ะโจอี้” พูดพลางเดินตามเด็กหนุ่มออกจากห้องทำงาน ก่อนที่จะแยกเดินกลับไปยังที่ตั้งของบ้านหลังใหญ่ ในขณะที่โจอี้เดินกลับไปยังแกรนนี่แฟลตข้างคอกม้าที่อาศัยอยู่
เขาไปไหน หญิงสาวถามตัวเองในใจ ก่อนที่จะรำลึกได้ว่าเขาจะไปหรือจะมามันก็ไม่ใช่ธุระกงการของเธอ บางทีเขาอาจจะไม่อยากกินอาหารฝีมือเธอก็ได้ ก็เลยไปหาอะไรกินในเมืองคนเดียว และเมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสลัดความคิดเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้อาศัยร่วมบ้านออกจากสมอง และเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น ก่อนที่จะเข้าครัวเพื่อทำอาหารเย็น.. กินคนเดียว..
[1] TAFE: (Technical and Further Education) วิทยาลัยวิชาชีพของรัฐบาล